ภาคที่ 4 บทที่ 137 วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 137 วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์

“ …ดีมาก …น้ำเดือดแล้ว …ใส่หญ้าผันผวนเพิ่มลงไป …ไม่ มากเกินไปน้อยกว่านี้หน่อย …น้อยลงอีก …พอ ใส่ลงถังผสมแล้วคนให้เข้ากัน… ”

ซูเฉินยืนสอนทหารถึงวิธีเตรียมยาที่จำเป็นในการสร้างโทเทมโลหิตสลายอยู่หน้ากระโจมหลัก

แม้ว่าเขาจะได้ให้สูตรไปแล้ว แต่การผลิตสิบกว่าขวดในครั้งเดียวก็ยังคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ซูเฉินจึงต้องมาคอยดูอยู่ด้านข้างและให้คำแนะนำเป็นครั้งคราว

ความสามารถในการคำนวณที่เพิ่มสูงขึ้นที่ผลึกวิญญาณมอบให้ซูเฉิน ได้ปรับปรุงความสามารถในการวิเคราะห์สถานการณ์ของเขาให้ดีขึ้นอย่างมาก เขาไม่รู้สึกอึดอัดกับตัวเลขจำนวนมากที่ต้องคำนวณเลย หากเขาสามารถทำยา 1 ขวดได้ เขาก็ทำยา 1 หม้อได้ และหากส่วนผสมวัตถุดิบต่างหรือสถานที่เอื้ออำนวยพอ แม้แต่สระยาเขาก็ทำได้

ภายใต้คำแนะนำของชายหนุ่ม ยาในหม้อก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อยตามที่ควร ทุกขั้นตอนการทำต่างก็อยู่ในการคำนวณของซูเฉิน

โดยไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างถูกผสมเข้าด้วยกันอย่างแม่นยำและรอบคอบ

“เอาล่ะ ยกหม้อขึ้นได้ !” ซูเฉินตะโกน

ทหารดับไฟอย่างรวดเร็วและเทยาลงในชามแต่ละใบ

ยาชนิดนี้เป็นที่แพร่หลายมากในอาณาจักรมนุษย์ แต่เนื่องจากมันเป็นยาใหม่ อัตราความสำเร็จในการปรุงยาจึงค่อนข้างต่ำเพราะยังขาดผู้ชำนาญ ทุกครั้งที่การปรุงตัวยานี้ประสบความสำเร็จ พวกมันจะถูกเก็บไว้อย่างระมัดระวังและปิดผนึกในขวดหยกเพื่อนำไปขายในราคาสูง อย่างไรก็ตาม ในที่แห่งนี้ยาที่ว่านั้นได้ถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนมากโดยหม้อขนาดใหญ่ และยังถูกเก็บในชามธรรมดา หากคนที่บ้านเกิดเหล่าทหารได้เห็นสิ่งนี้พวกเขาอาจจะช็อกตายก็เป็นได้

ยาปรุงสำเร็จที่เตรียมไว้จะถูกแจกจ่ายไปยังกองพันในทันที เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกอบรมจะมีหน้าที่ช่วยสลักอักขระให้พวกทหาร ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเก็บยาอย่างถูกต้อง

“เอาล่ะ ทุกคนจากกองทหารเขาใต้สมุทรทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว” เฉิงเถียนไห่กล่าว

“กองทหารเขามังกรด้วย” จวินโม่เสียกล่าว

“กองทหารขุนเขาซ่อนเร้นก็เช่นกัน” หลินเฉ่าเซวียนกล่าว

“กองทหารภูผาครามยังขาดเหลืออีก 48 ส่วน” ฉู่อิงหว่านกล่าว

“เมื่อเราทำยาหม้อนี้เสร็จแล้ว ทุกอย่างก็เรียบร้อยโดยไม่มีอะไรเสียของ” ซูเฉินหัวเราะ

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการคำนวณของเขา

“เด็กดี ! เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ” ฉู่อิงหว่านหัวเราะคิกคักขณะที่นางตีแขนของซูเฉิน

เรื่องที่เขาถูกเห็นในสภาพล่อนจ้อนได้ผ่านไปแล้วและไม่มีใครสนใจมัน พวกเขาทั้งหมดเป็นทหารย่อมล้วนผ่านการนองเลือดมาก่อนแล้ว พวกเขาไม่สนใจแม้แต่ชีวิตของตัวเอง ดังนั้นการเห็นก้นเปลือยเปล่าของคนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทางที่ใครจะสนใจ ฉู่อิงหว่านเห็นก้นของทหารมาแทบทั้งกองแล้ว ไฉนเลยจะใส่ใจก้นเปล่าเปลือยของซูเฉินกัน

“ด้วยโทเทมโลหิตสลายความแข็งแกร่งของทหารจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 ใน 10 นับเป็นเรื่องดีต้องขอบใจความช่วยเหลือของเจ้าแล้ว !” หลี่ฉงซานกล่าวด้วยความยินดี

“แค่ 2 ใน 10?” ซูเฉินออกจะไม่พอใจอยู่พอควร

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ – โทเทมโลหิตสลายมีประโยชน์ก็จริง แต่สำหรับกองทัพกำลังสวรรค์ที่รวมเอาเหล่าทหารชั้นยอดซึ่งเคยร่วมงานกันมาแล้วเอาไว้ จึงมีรูปแบบการต่อสู้เพิ่มเติมอยู่เพียงไม่กี่ตัวเลือกเท่านั้นที่โทเทมโลหิตสลายจะให้ได้ ประสิทธิภาพในการเพิ่มพลังของทักษะร่วมเองก็มีขีดจำกัด เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าโทเทมโลหิตสลายนั้นเป็นสิ่งไร้ประโยชน์สำหรับผู้ฝึกตนระดับสูง ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นจึงอยู่ที่ประมาณ 2 ใน 10 เท่านั้น

สำหรับหลี่ฉงซานนั้น 2 ใน 10 นี้นับว่าน่าพอใจมากแล้ว แต่ซูเฉินนั้นรู้สึกว่ามันยังดีไม่พอ

โชคดีที่เขาไม่ได้วางแผนที่จะพึ่งพาเพียงแค่อักขระโทเทมเท่านั้น

“ถ้าเช่นนั้นก็เพิ่มสิ่งนี้ไปด้วย” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาดึงหนังสือเล่มเล็ก ๆ ออกมา

“นี่คืออะไร ?” หลี่ฉงซานถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“มันเรียกว่าวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ มันเป็นวิธีการบ่มเพาะจิตใจแบบหนึ่งที่ข้าพัฒนาขึ้น” ซูเฉินตอบ

“มันทำอะไรได้บ้าง ?” ทุกคนถามพร้อมกัน

หลังจากรู้จักซูเฉินมาสักพักใหญ่ ทุกคนก็ค่อย ๆ เข้าใจตัวเขามากขึ้น อะไรก็ตามที่เขาหยิบออกมามันย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

อย่างที่พวกเขาคาดไว้ คำตอบของซูเฉินไม่ได้ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย “มันสามารถช่วยให้ผู้ฝึกตนรับรู้การมีอยู่ของพลังต้นกำเนิดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และดูดซับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น …ที่ข้าหมายถึงคือ มันจะช่วยปรับปรุงความสามารถในการดูดซับพลังต้นกำเนิดและเพิ่มความเร็วในการฝึกฝน”

พวกเขาเริ่มหันไปคุยกันในทันทีที่ฟังจบ

ตั้งแต่แรกเริ่มความสามารถในการดูดซับและใช้ประโยชน์จากพลังต้นกำเนิดนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดแตกต่างไปจากคนทั่วไป แม้ว่าในทางทฤษฎีนั้นไม่ว่าใครก็สามารถดูดซับพลังงานเหล่านี้และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ แต่แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย ความจริงที่ว่าเกือบทุกคนในกองทัพกำลังสวรรค์ยังคงเป็นผู้ฝึกยุทธ์อยู่ก็เป็นตัวพิสูจน์ได้แล้ว

ตลอดหลายสิบล้านปีที่ผ่านมา มนุษย์ได้พยายามพัฒนาวิธีการเพื่อดูดซับและนำพลังต้นกำเนิดมาใช้ทุกรูปแบบทุกประเภท แม้ว่าความเร็วในการดูดซับพลังจะเพิ่มขึ้น แต่พวกมันก็ยังคงมีขีดจำกัด

ซูเฉินมีเนตรมองโลกจุลภาค ดังนั้นความสามารถในการดูดซับพลังต้นกำเนิดจึงเร็วกว่าคนส่วนใหญ่อยู่หลายเท่า ไม่เพียงแค่นั้นในเวลาว่างของเขา ชายหนุ่มมักจะพยายามใช้เนตรมองโลกจุลภาคของตนเพื่อสังเกตพลังที่ไหลผ่านอากาศ และพยายามปรับปรุงแก้ไขวิชาบ่มเพาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับพลังต้นกำเนิดอยู่เสมอ

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อตัวเขาเอง ในแง่หนึ่งอาจกล่าวได้ว่าซูเฉินรู้สึกทึ่งและสนใจพลังงานพวกนี้ แต่อีกแง่มุมหนึ่งนั่นเพราะเขาต้องการหาวิธีให้มนุษย์ทุกคนฝึกฝนได้เร็วขึ้น

เพราะชายหนุ่มสามารถเฝ้าสังเกตพลังต้นกำเนิดได้โดยตรง พรสวรรค์ในการวิจัยของซูเฉินจึงไม่มีใครเทียบได้ ถึงแม้เขาจะไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ลองทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ตั้งใจก็ยังสามารถทำให้เขาได้ข้อมูลต่าง ๆ ที่น่าสนใจได้มากมายและเข้าใจถึงวิธีใช้ประโยชน์จากพลังต้นกำเนิดที่หลากหลาย

เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าวิชาไหนมีอัตราความสำเร็จสูงสุดหรือประสิทธิภาพดีที่สุด

ท้ายที่สุดแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าใจหลักการสำคัญในการใช้พลังต้นกำเนิดได้ดีไปกว่าเขา

วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์นี้เป็นการรวบรวมทุกสิ่งที่ซูเฉินรู้และสะสมตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาได้ตัดแต่งและปรับปรุงจนมันกลายมาเป็นวิชาบ่มเพาะอย่างเป็นทางการ

“วิธีการนี้ช่วยลดความจำเป็นของพรสวรรค์ให้เหลือน้อยที่สุด หากผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูงสุดของด่านหลอมกายาได้ฝึกฝนมัน พวกเขาน่าจะสามารถเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณได้ภายในหนึ่งเดือน” ซูเฉินกล่าว

“ทะลวงเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณได้ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ?” หลี่ฉงซานตกใจ

ความเร็วระดับนี้ มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ?

“ใช่” ซูเฉินตอบอย่างมั่นใจ

“การกินอาหารที่ทำจากเนื้ออสูรร้ายจำนวนมากเป็นตัวช่วยเสริมด้วยจะเป็นการดีที่สุด นอกจากนี้มันยังใช้ได้ผลกับผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น ข้ายังไม่สามารถพัฒนาที่คล้ายกันสำหรับด่านก่อเกิดลมปราณขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นยังคงเพียงสิ่งที่ข้าศึกษาในเวลาว่างเท่านั้น และไม่ใช่ทางหลักในการวิจัยของข้า”

เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ซูเฉินก็รู้สึกอายเล็กน้อย

ทว่าเมื่อทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็แทบจะร้องไห้ออกมา

แค่วิชาบ่มเพาะที่เขาค้นคว้าในเวลาว่าง ก็สามารถช่วยลดเวลาที่ใช้ในการทะลวงจากระดับสูงสุดของด่านหลอมกายาเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณได้อย่างมากแล้ว ? เช่นนั้นผลลัพธ์ของทางหลักในการวิจัยที่เขาตั้งใจศึกษาเล่าจะเป็นอย่างไร ?

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทหารส่วนใหญ่ในกองทัพกำลังสวรรค์ ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูงสุดของด่านหลอมกายากันทั้งสิ้น !

ปราการลุ่มน้ำทองนั้นได้รับการปกป้องโดยเหล่าหัวกะทิ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับต่ำสุดก็ยังอยู่ในขั้น 8 หรือ 9 และส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ในระดับสูงสุดของด่านหลอมกายากันหมด ด้วยเหตุนี้ทุกปีจึงมีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากที่กลายไปเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เชี่ยวชาญในกองทัพจะมีมากพออยู่เสมอ

กลุ่มผู้อยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณ ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ระดับต่ำสุดของกองพัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทรงพลังเป็นพิเศษแต่ก็สำคัญยิ่ง พวกเขาทั้งหมดมีการทำงานเป็นทีมยอดเยี่ยมสมกับเป็นหัวกะทิที่ได้รับการฝึกฝนมา ไม่เพียงแค่นั้นมันยังมีเรื่องของความแข็งแรงส่วนบุคคลและคุณสมบัติความเป็นผู้นำด้วย

และด้วยวิธีการของซูเฉิน ความแข็งแกร่งพื้นฐานของกองทัพกำลังสวรรค์จะได้รับการยกระดับเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณโดยตรง นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างยิ่งยวด

มันเทียบเท่ากับทหารทุกคนในกองทัพจะมีความแข็งแกร่งระดับเดียวกับกองทหารภูผาคราม

ดวงตาของหลี่ฉงซานและคนอื่นๆ แทบจะโผล่ออกจากเบ้า “เจ้าแน่ใจใช่ไหม ?”

ซูเฉินพยักหน้า “หากท่านสามารถรับประกันได้ว่าเนื้ออสูรมีเพียงพอ ผลลัพธ์ก็ควรจะเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ไม่มีช้าลง”

“เหตุใดเจ้าถึงไม่เอามันออกมาให้เร็วกว่านี้กัน ? นี่มันของดียิ่งนัก !” เฉิงเถียนไห่ที่ค่อนข้างหุนหันพลันแล่นอยู่เป็นนิจ รีบคว้ามือคู่มือจากไปจากมือซูเฉินและประคองมันเอาไว้ราวกับสมบัติล้ำค่า

ซูเฉินกล่าวด้วยความเขินอาย “ข้าเพิ่งจะเรียบเรียงมันเสร็จเมื่อไม่นานนี้เอง”

ด้วยตัวช่วยคำนวณอันใหม่ของเขา วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์นี้จึงถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกของซูเฉิน การจัดระเบียบและรวบรวมความรู้เป็นสิ่งที่จิตคำนวณของเขาถนัดอย่างยิ่ง