บทที่ 136 ยกระดับ
“อ้าก !”
ซูเฉินกุมหัวของเขาและกรีดร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด พลังต้นกำเนิดกระจายออกมาจากร่างกายของเขาพร้อมพลังแห่งการทำลายล้างอย่างเกรี้ยวกราด เปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดบนร่างของเขาให้เป็นเถ้าถ่านในพริบตา ทำให้หัวใจของผ้าเท่อลั่วเค่อเต้นรัวด้วยความตกใจ
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตไม่เคยเป็นเรื่องเล็ก ซูเฉินกล่าวเหมือนมันดูเป็นเรื่องง่าย แต่ในความเป็นจริงการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่เล็ก ๆ นี้ กลับสามารถทำให้ใครบางคนกลายเป็นคนพิการได้ง่ายหากพวกเขาไม่ระวัง
แต่ซูเฉินยังคงเลือกที่จะทำมันโดยไม่ลังเล ผ้าเท่อลั่วเค่อรู้ดีว่านั่นเป็นเพราะความหลงใหลในการค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง ที่มีอยู่ในใจของอีกฝ่าย
ในฐานะเพื่อนนักวิจัย อดีตผู้เชี่ยวชาญของอาร์คาน่าจากอาณาจักรอาร์คาน่า เขาความรู้สึกนี้ของซูเฉินได้เป็นอย่างดี
เพื่อทำความเข้าใจความลับอันมหัศจรรย์ของโลกที่ไม่รู้จัก เพื่อค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่ต้องการ เพื่อให้ได้แนวทางแก้ไขปัญหา พวกเขายินดีที่จะใช้ทุกวิถีทางแม้ว่าจะเสี่ยงชีวิตของตนเองก็ตาม
ผลึกวิญญาณนั้นไม่สามารถให้คำตอบกับซูเฉินได้ แต่มันช่วยเพิ่มความสามารถในการค้นหาคำตอบเหล่านั้นของเขาได้อย่างมาก
หากการลงมือครั้งนี้ประสบความสำเร็จ นอกเหนือจากดวงตาของเขา นี่อาจเป็นอีกหนึ่งในเครื่องมือที่มีประโยชน์ที่สุดของซูเฉิน
แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่เคยบอกผ้าเท่อลั่วเค่อเกี่ยวกับเนตรมองโลกจุลภาคของเขา แต่อีกฝ่ายก็นับว่าติดตามซูเฉินมานาน ถ้าเขาไม่สามารถบอกได้ว่าดวงตาของนายเขาถ้าเขาพิเศษ ผ้าเท่อลั่วเค่อก็คงโง่เง่าเกินไป
และเพราะเขาไม่ใช่คนโง่เง่า แม้เขาจะไม่เคยถาม แต่เขาก็ไม่ได้แกล้งโง่หรือทำเป็นไม่รู้
ทุกอย่างเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“อ้ากกก ! อึก !… อ้าก !… ”
ซูเฉินยังคงกรีดร้องคร่ำครวญอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เสียงของเขาจะค่อย ๆ เบาลง
ดวงตาของเขาเหลือกขึ้นจนเห็นแต่ตาขาวราวกับคนจมน้ำ ร่างกายเองก็เปียกชุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ
เขายังตะโกนร้องและคร่ำครวญอยู่สักพัก ก่อนที่ร่างกายของเขาจะเริ่มกลับสู่สภาวะปกติในที่สุด
ซูเฉินหยุดบีบศีรษะของตน และนั่งนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น
“ซูเฉิน ! ซูเฉิน !” ผ้าเท่อลั่วเค่อตะโกนเสียงแห้ง ประหนึ่งกำลังพยายามปลุกคนที่หลับด้วยความเกรงใจ
“อืม” ซูเฉินพึมพำเสียงต่ำ
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เมื่อเขาได้ยินอีกฝ่ายตอบผ้าเท่อลั่วเค่อก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
“ช่างเป็นประสบการณ์ที่แย่มาก” ซูเฉินตอบ
เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน
เสื้อผ้าของเขาถูกเผาจนเกลี้ยง ร่างกายของซูเฉินมีกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกเหมือนนักบุญจาง ๆ ออกมา ทำให้ผ้าเท่อลั่วเค่อรู้สึกประหลาดใจ
เห็นได้ชัดว่าเป็นพลังจิตของเขาที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง แต่กลับเป็นร่างกายของเขาที่เปลี่ยนไปและมีกลิ่นอายแปลก ๆ ที่ชวนให้หลงใหล
ไม่ ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นดวงตาของเขาที่ปล่อยพลังงานเฉพาะตัวที่ดูพิเศษออกมา จนแม้แต่ผ้าเท่อลั่วเค่อที่เป็นร่างวิญญาณก็ยังได้รับผลกระทบจากมัน
“ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องเหลือเชื่อบางอย่างเกิดขึ้น ?” ผ้าเท่อลั่วเค่ออดไม่ได้ที่จะถาม
“โอ้ จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่ออะไรขนาดนั้น พลังจิตของข้าเพียงแค่ยกระดับขึ้น” ซูเฉินตอบแบบสบาย ๆ
“ยกระดับ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อตกตะลึง “พลังจิตของเจ้ายกระดับ ?”
การยกระดับพลังจิตเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในเผ่าวิญญาณ พูดง่ายๆ ก็คือวิญญาณของเขาได้การพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง มันคือวิธีการพัฒนาที่พิเศษและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเผ่าวิญญาณ
การยกระดับพลังจิตนั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง แม้แต่ตัวเผ่าวิญญาณเองก็นับว่าน้อยตนมากที่จะสามารถทำได้ แต่ซูเฉินทำมันได้โดยไม่ได้ตั้งใจ
“อืม ข้าก็็ไม่ได้คาดคิดว่าพลังจิตของข้าจะยกระดับขึ้นเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะข้าได้กลืนความทรงจำของเผ่าวิญญาณมากก่อน ข้าก็คงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ซูเฉินตอบพร้อมส่ายหัว
“ถ้าอย่างนั้นความแข็งแกร่งของพลังจิตเจ้าตอนนี้… ? ” ผ้าเท่อลั่วเค่อถาม
ซูเฉินเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “น่าจะประมาณ 2,000 หน่วย”
“สองเท่า … ” ผ้าเท่อลั่วเค่อตกตะลึงอีกครั้ง
“อาจจะไม่มีใครในเผ่ามนุษย์มีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าเจ้าอีกแล้ว ตอนนี้เจ้าเองก็สามารถถอนจิตออกจากร่างได้ ก็คงจะเรียกว่าอมตะได้แล้วกระมั้ง มันควรจะเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด่านหยั่งรู้ฟ้าดินถึงจะทำได้ แต่เจ้ากลับทำได้แล้ว” เสียงของเต็มไปด้วยความอิจฉาและนับถือในเวลาเดียวกัน
“ถึงท่านจะพูดอย่างนั้น แต่ข้าก็ยังคงอยู่แค่ด่านทะลวงลมปราณอยู่ดี” ซูเฉินตอบ
ระบบการฝึกฝนของมนุษย์มีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเอง และการที่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งจะสามารถควบคุมพลังจิตของพวกเขาได้จริง ๆ จัง ๆ ก็หลังจากที่ไปถึงด่านผลาญจิตวิญญาณเท่านั้น
ร่างกายก่อนจากนั้นค่อยเป็นวิญญาณ นั้นคือหลักการพัฒนาความแข็งแกร่งภายใต้ระบบนี้
อาจกล่าวได้ว่าซูเฉินได้ทำลายกฎเหล่านี้ไปสิ้น ก่อนที่พลังต้นกำเนิดของเขาจะพัฒนาจนถึงถึงระดับที่เหมาะสม พลังจิตของเขากลับพัฒนาล้ำหน้าไปอย่างก้าวกระโดด จากมุมนี้นับได้ว่าซูเฉินหลุดออกจากระบบรูปแบบเดิมแล้วจริง ๆ
“หากมีคนปฏิบัติต่อเจ้าอย่างที่ปฏิบัติต่อผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั่วไปแล้วล่ะก็ พวกมันคงจะต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่อย่างแน่นอน” ผ้าเท่อลั่วเค่อกล่าวอย่างขัดใจ
ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “ก็จริง”
“แล้วการก่อร่างเป็นอย่างไรบ้าง ?” เขาไม่ลืมที่จะถามเรื่องนี้เพราะยังไงซะมันก็คือความตั้งใจดั้งเดิมของซูเฉิน
“เสร็จแล้ว” ซูเฉินชี้ไปที่หัวของเขา ก่อนจะพูดต่อ
“ตอนนี้ทะเลความรู้ของข้าถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ที่เป็นอิสระต่อกันแต่พวกมันสามารถมีโต้ตอบกันได้ ด้านหนึ่งคำนวณได้ดีกว่าและสามารถบันทึกข้อมูลทั้งหมดที่ข้าได้รับจากการทดลองได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้มันยังสามารถจำลองและคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ของการทดลองใหม่ได้อีกด้วย ไม่เพียงแค่มีประโยชน์ในการจัดเก็บความรู้กับความจำ แต่ยังสามารถใช้วิเคราะห์สิ่งที่ไม่รู้จักได้ด้วย แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นสิ่งที่สามารถคำนวณได้”
“แค่นั้นก็น่าทึ่งมากแล้ว” ผ้าเท่อลั่วเค่อถอนหายใจ
ด้วยเนตรมองโลกจุลภาคกับจิตคำนวณนี้ เส้นทางของซูเฉินเป็นเส้นทางที่ไปได้ไกลกว่าที่คนจากเผ่าอาร์คาน่าคนไหนเคยเดินมา
“แต่มันก็ยังคงใช้พลังงานจิตจำนวนมากอยู่ดี” ซูเฉินถอนหายใจ “เดิมทีพลังจิตของข้าควรจะเพิ่มไปมากกว่านี้ แต่การก่อร่างนี้จำเป็นต้องใช้พลังงานจิตมากกว่าที่คาดไว้ ข้าเลยต้องจ่ายออกไปเล็กน้อยเพื่อรักษามันไว้”
“นี่นับว่าเป็นตอนจบที่ดีมาก คงไม่สามารถคาดหวังอะไรที่ดีไปกว่านี้ได้แล้ว”
“นั่นก็จริง” ดวงตาของซูเฉินเปล่งประกายด้วยความคาดหวัง
“ท่านรู้ไหมตอนนี้ข้าสามารถคำนวณคำตอบนับไม่ถ้วนได้ในวินาทีเดียว มีส่วนผสมทั้งหมด 37 อย่างอยู่บนแท่นประดิษฐ์ของข้า ซึ่งสามารถกลั่นเป็นยาที่ต่างกันได้ถึง 128 ชนิด แต่มีเพียงสูตรเดียวเท่านั้นที่ส่วนผสมเหล่านั้นจะถูกใช้งานอย่างเต็มที่โดยไม่สูญเสียอะไรเลย ระยะห่างระหว่างท่านกับข้าคือ 3 ฉื่อ 6 ชุ่น เชื้อเพลิงที่เหลืออยู่ในตะเกียงผลึกแก้วตรงนั้นเพียงพอที่จะอยู่ต่อไปอีก 1 ชั่วยามครึ่งกับอีก 2 เค่อ มีมด 12 กำลังคลานตามขาโต๊ะตรงนั้น กลุ่มทหารเพิ่งผ่านกระโจมไป ทหารคนที่ 2 ที่อยู่ในแถว มีอาการบาดเจ็บที่เท้า …”
เมื่อเสียงของเขาเงียบลงหลังพูดจบ ดวงตาของเขาทอประกายวาววับด้วยความปีติยินดี
ความสามารถในการซึมซับสภาพแวดล้อมใกล้เคียง และทำการวิเคราะห์พวกมันอย่างแม่นยำนี้ยอดเยี่ยมมากเกินไปแล้ว
ไม่เพียงแค่สามารถใช้ในการวิเคราะห์การทดลองได้เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ในการต่อสู้ได้อีกด้วย
ผ้าเท่อลั่วเค่อที่ได้ฟังตกตะลึงไปโดยสมบูรณ์
“เจ้าแน่ใจ ?”
“อยากให้ข้าพิสูจน์ไหม ? มีคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ และจะเข้ามาหลังจากที่ข้านับสาม 1 … 2 … 3 … ”
พรึบ
ทางเข้ากระโจมถูกเปิดออก จากนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้านใน เป็นฉู่อิงหว่าน
“ซูเฉิน …โอ้สวรรค์ !”
ฉู่อิงหว่านรีบหันกลับในทันทีทันใด
ทำให้ซูเฉินตระหนักขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย
“เวรเอ้ย …ขอเวลาข้าแปบหนึ่ง” ซูเฉินรีบคว้าเสื้อผ้ามาใส่อย่างทุลักทุเล
“ข้าคงต้องพูดว่า ใต้สวรรค์ไม่มีสิ่งใดที่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง… ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเป็นตามที่เจ้าคาดเอาไว้เสมอไป” ผ้าเท่อลั่วเค่อหัวเราะคิกคัก