TB:บทที่ 152 การไปสู่อีกขั้นหนึ่งของกู่เฟ่ย
เมื่อกลืน “หินแห่งแสง” ลงไปแล้ว ร่างทั้งร่างของกู่เฟ่ยพลันเปล่งแสงสีขาวออกมา รังสีสีขาวที่ปล่อยออกมาจากตัวของกู่เฟ่ยเปล่งออกมาเรื่อยๆ มันค่อยๆเคลื่อนมาคลุมตัวของกู่เฟ่ยไว้คล้ายกับเป็นดักแด้
เพราะแสงสีขาวที่ห่อหุ้มตัวกู่เฟ่ย เฉินหลงจึงไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในด้วยตาของเขา เฉินหลงตรวจสอบข้อมูลของกู่เฟ่ยได้ด้วยเครื่องตรวจสอบ
เขาเห็นว่าข้อมูลต่างๆของกู่เฟ่ยว่าค่อยๆพัฒนาขึ้นอย่างช้าๆ โดยเฉพาะพลังจิตใจเขาที่เริ่มจะพุ่งสูงขึ้น
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป พลังจิตใจของเขาทะยานไปถึงหนึ่งพันแล้วหยุดลง
เฉินหลงคิดว่าพลังที่พัฒนาอยู่นี้จะจบไป ทว่าในขณะนั้นเอง แสงสีขาวที่สว่างรอบตัวกู่เฟ่ยพลันสั่นไหวอย่างผิดสังเกต
ค่าพลังแห่งจิตวิญญาณของกู่เฟ่ยเริ่มที่จะผันแปรเพิ่มลดไปมาระหว่างหนึ่ง หนึ่งพัน หนึ่งร้อย และเก้าสิบเก้า
เมื่อได้เห็นพลังจิตวิญญาณของกู่เฟ่ยแล้วเฉินหลงได้เข้าใจอย่างกระจ่างชัดว่า ค่าหนึ่งพันเป็นเลขสูงสุดของระดับปรมาจารย์ขั้นสูงกับขอบเขตกำเนิด และตราบใดที่ตัวเลขยังเปลี่ยนอย่างฉับพลันได้ก็สามารถไปถึงระดับขอบเขตกำเนิดได้
“กู่เฟ่ย สู้หน่อย ผ่านมันไปให้ได้ ต้องยึดมันไว้นะ”
เฉินหลงเติมน้ำมันให้กับหัวใจของกู่เฟ่ย
แม้เฉินหลงจะมองไม่เห็นตัวกู่เฟ่ยแต่เขารู้ว่าในตอนนั้นกู่เฟ่ยกำลังเจอกับความเจ็บปวดแสนสาหัสและความกดดันอย่างมาก ในท้ายที่สุดแล้วการพัฒนาเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลานาน การพัฒนาในเวลาที่กล่าวได้ว่าสั้นๆเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่จินตนาการถึงได้ยากยิ่ง
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา พลังของกู่เฟ่ยยังคงไม่สามารถก้าวไปถึงขอบเขตกำเนิด
จากนั้นสอง และ สามชั่วโมงผ่านไป
เฉินหลงยังอยู่ตรงนั้นกับกู่่เฟ่ย เขาหวังว่าลูกน้องที่แสนซื่อสัตย์ของเขาจะไปถึงขอบเขตกำเนิดได้ เฉินหลงให้กำลังใจเขามากที่สุดเท่าที่ทำได้
ในตอนเดียวกัน เฉินหลงยังมีแผนสำรองอยู่คือหากกู่เฟ่ยทำไม่สำเร็จเขาจะหยุดการใช้“หินแห่งแสง”กับคนไปชั่วคราวและจะทดลองกับสัตว์ก่อน
เฉินหลงใช้ประโยชน์จากการพัฒนาของกู่เฟ่ย เขาเจอหนังสือเกี่ยวกับสกิลในระบบที่ชื่อว่า “สูตรกระบวนท่าอสูรทั้งหมื่น” การทำงานของหนังสือนี้คือการควบคุมอสูรหนึ่งหมึ่นตนและปล่อยพวกมันให้ผู้ควบคุมจัดการ ราคาค่าแต้มแลกเปลี่ยนของหนังสือเล่มนี้ต้องการห้าหมื่นแต้ม
จริงๆแล้วเฉินหลงมีแต้มแลกเปลี่ยนห้าหมื่นแต้มให้แลกได้ ทว่าเขาไม่ใช้แต้มพวกนั้นซื้อในทันที
เขาต้องการรอให้กู่เฟ่ยออกมาก่อนเพื่อให้เขารู้ผลและวางแผนได้
เมื่ออีกสามชั่วโมงผ่านไป แสงสีขาวรอบตัวของกู่เฟ่ยสั่นไหวน้อยลง และหลังจากสี่ชั่วโมงผ่านไปในที่สุดแสงได้สั่นไหวต่างไปจากเดิมอีกครั้ง
แสงสีขาวเริ่มต้นที่จะกลายเป็นกระแสวนทีละน้อย และแล้วเฉินหลงก็ได้รู้สึกถึงเส้นทางของมวลอากาศแห่งสรวงสรรค์และแผ่นพสุธาที่ดูดแสงเข้าไปในกระแสอากาศวน ทันใดนั้นแสงสีขาวได้เข้าไปสู่ร่างของกู่เฟ่ย
เมื่อแสงสีขาวผ่านไปแล้ว จิตวิญญาณแห่งสรวงสรรค์และพสุธาก็ถูกแสงสีขาวกลืนไป เมื่อเข้าไปในร่างของกู่เฟ่ยแล้วตัวเขาและแสงสีขาวได้เริ่มพัฒนาระดับพลังในร่างกายกู่เฟ่ยด้วยกัน
การจะก้าวไปสู่ระดับขอบเขตกำเนิดจำเป็นต้องเข้าใจการรับพลังของจิตวิญญาณแห่งสรวงสรรค์และพสุธา
ในตอนแรกการไปสู่ระดับขอบเขตกำเนิดเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้สำหรับพลังของกู่เฟ่ย ดังนั้นเมื่อได้รับ “หินแห่งแสง”เข้าไปจึงยังติดอยู่ที่ค่าพลังสูงสุดและผ่านมันมาไม่ได้
เฉินหลงได้เห็นสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นคือพลังของ “หินแห่งแสง” ที่เปลี่ยนแปลงไปเอง เฉินหลงจึงคิดว่าหากพลังของเขาไม่อาจข้ามขั้นได้ในทันที เฉินหลงจะเพิ่มพลังเพื่อช่วยเสริมเอง
เมื่อเขาแน่ใจแล้วเขาจึงช่วยเพิ่มพลังฉีแห่งสวรรค์และแผ่นดินให้กับจิตวิญญาณของกู่เฟ่ย ในที่สุดค่าพลังของกู่เฟ่ยได้ทะลุผ่านหนึ่งพันไปและเพิ่มขึ้นอีกอย่างช้าๆ
“การผ่านพ้นขอบเขตกำเนิดแล้ว” เมื่อเฉินหลงเห็นค่าพลังจิตวิญญาณของกู่เฟ่ยที่ได้ข้ามหนึ่งพันไปแล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้น
ในที่สุดเฉินหลงมีลูกน้องคนแรกที่เป็นระดับขอบเขตกำเนิดแล้ว
แล้วเฉินหลงกครุ่นคิดถึงการไปสู่อีกขั้นของกู่เฟ่ย
เมื่อปรมาจารย์ระดับสูงก้าวข้ามสู่ระดับขอบเขตกำเนิดพวกเขามักต้องเข้าใจการทำงานของฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาก่อน แล้วพวกเขาจึงจะสามารถรับฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาได้ รวมถึงผ่านไปยังระดับกำเนิด
ตัวของผู้มีพลังที่ไม่อาจเข้าใจถึงฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาได้นั้นก็ไม่สามารถก้าวไปสู่ระดับขอบเขตกำเนิดได้ และนี่คือเหตุผลที่กู่เฟ่ยไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่อีกขั้นแม้มีหินแห่งแสงช่วยอยู่แล้วก็ตาม
พลังของ“หินแห่งแสง”รู้ได้เองว่ากู่เฟ่ยข้ามไปอีกขั้นไม่ได้ มันจึงดึงฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาที่จำเป็นต่อการก้าวข้ามไว้ และเมื่อกู่เฟ่ยมีฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาในร่างกายเขาแล้ว ร่างกายเขารู้ได้ทันทีว่ามีฉีแห่งสรวงสรรค์และพสุธาจากภายนอกเข้ามาทำให้ระดับของเขาก้าวไปสู่ระดับขอบเขตกำเนิดได้
เมื่อกู่เฟ่ยข้ามไปสู่ระดับกำเนิดแล้ว เขาก็พัฒนาได้สำเร็จ ในขณะนั้นเองแสงสีขาวรอบตัวเขาเริ่มที่จะค่อยๆหริบหรี่ลง
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาแสงสีขาวจึงดับไปทั้งหมด
ดวงตาใสซื่อเปิดขึ้นช้าๆ
“เจ้านาย” แม้กู่เฟ่ยจะไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาเพื่อพัฒนาไปเท่าใด แต่กู่เฟ่ยรีบเหลือบมองเฉินหลงที่ยังอยู่กับเขาในทันที
“ทำดีแล้ว ขั้นแรกต้องคุ้นชินกับพลังก่อนแล้วค่อยลุกขึ้นไปกับฉัน” เฉินหลงมองกู่เฟ่ยด้วยความพึงพอใจ
เป็นเวลาที่สมควรกับการพัฒนาแล้ว
เจ้าของดวงตาซื่อพยักหน้าและเริ่มต้นใช้พลังของตน
ในตอนนี้การควบคุมพลังของกู่เฟ่ยต้องใช้มากกว่าเดิมถึงสิบเท่าจากที่เคย นั่นคือหนึ่งพันห้าร้อยเมตร
ในส่วนของการควบคุมพลัง กู่เฟ่ยยังไปถึงขั้นหนึ่งของการควบคุมพลังทั้งหมดที่ใช้เพียงจิตของเขา และแม้เมืองนี้จะมีสิ่งแวดล้อมอันเป็นจุดกำเนิดที่แข็งแกร่งแต่มันมีผลกระทบอย่างมากต่อพลังนี้และทำให้ความแข็งแกร่งของพลังลดลงไปถึงสามขั้น
ทว่า ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของกู่เฟ่ยยังได้พัฒนาไปถึงขั้นปรมาจารย์ขั้นสูงแล้วด้วย
ดังนั้นแล้วแม้ความแข็งแกร่งนี้จะพบกับจุดกำเนิดแห่งพลังก็ตามแต่พลังของเขาจะไม่อ่อนแอลง
เมื่อกู่เฟ่ยคุ้นเคยกับพลังแล้ว เฉินหลงได้พาเขาไปยังจุดนัดหมาย
และเมื่อเฉินหลงขับรถไปยังโรงเรียนเขาก็เห็นไป๋ชิงเหวินยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนล้าบนใบหน้า
เด็กผู้หญิงบางคนแอบมองไป๋ชิงเหวินอยู่ไม่ไกล แน่นอนว่าพวกเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและถ่ายรูปเขาไว้เพื่อเมื่อกลับไปแล้วจะได้เลียหน้าจอ
การที่ได้เห็นไป๋ชิงเหวินและแม้จะรู้ดีว่าเขาเป็นปิศาจแต่เฉินหลงก็ยังคิดว่าเขาเป็นคนที่ดีมากๆอยู่
หลังจากที่เฉินหลงและกู่เฟ่ยลงรถมาแล้ว ไป๋ชิงเหวินยิ้มให้เฉินหลงและกล่าวว่า “คุณเฉิน คุณมาจริงๆ”
“ผมนัดคุณไว้นี่ ผมไม่ผิดนัดแน่นอน นี่ คุณไป๋ อาหารมื้อนี้คุณต้องจริงจังนะ” เฉินหลงว่า
“ถึงเวลานัดของคุณแล้ว คุณเฉินหลง” ไป๋ชิงเหวินว่าด้วยรอยยิ้ม
“ขึ้นรถมาเถอะครับ” เฉินหลงทำท่าเชิญชวนไป๋ชิงเหวิน
เมื่อไป๋ชิงเหวินไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทเฉินหลงจะทำตัวไม่สุภาพก่อนทำไมกัน
เมื่อไป๋ชิงเหวินขึ้นรถมาแล้ว เฉินหลงได้พาเขาไปภัตตาคารเพื่อทานอาหารค่ำ และเพราะเขาเป็นคนชวนเขาจึงจำต้องกินอาหารด้วย
เมื่อขึ้นรถแล้วไป๋ชิงเหวินมองกู่เฟ่ย นั่นเพราะความเงียบของกู่เฟ่ยทำให้เขารู้สึกกลัว
เมื่อพวกเขามาถึงร้านไก่เผ็ดเจ้าดังแล้วเฉินหลงสั่งอาหารให้ทุกคน
ตอนที่อาหารมาเสิร์ฟเฉินหลงได้บอกให้ไป๋ชิงเหวินและกู่เฟ่ยกิน
“คุณไป๋ ทำไมคุณถึงอยากคุยกับเราในที่เล็กๆเช่นนี้” เฉินหลงตักไก่ชิ้นหนึ่งเข้าปากและเคี้ยว เมื่อกลืนแล้วเขาจึงพูดกับไป๋ชิงเหวิน