ทำเกินไปแล้ว

 

 

 

 

แม่น้ำหนึ่งสายไหลทะยานออกมาจากกลางเทือกเขาทอดยาว คดโค้งเพียงครั้งที่ทางแคบสายหนึ่ง จากนั้นไหลเข้าสู่ที่ราบลุ่มเบื้องหน้า 

 

 

กลางทางน้ำพลันมีเสียงตู้มดังขึ้นเสียงหนึ่ง เงาคนสายหนึ่งไหลตามน้ำออกมาจากร่องภูเขา เคลื่อนไหวรุนแรงจนละอองน้ำแวววาวกระเซ็นออกมาเต็มท้องฟ้า 

 

 

จิ่งเหิงปัวลอยอยู่ในแม่น้ำ นางเช็ดหยาดน้ำบนใบหน้าออกก่อนจะเบนสายตามองดูทัศนียภาพบนที่ราบลุ่มทั้งสี่ทิศด้วยสีหน้าท่าทางงงงวยอยู่บ้าง 

 

 

นางยังนึกไม่ถึงว่าจะสลัดกงอิ้นออกไปได้อย่างราบรื่นขนาดนี้จริงๆ! 

 

 

เมื่อครู่ก่อน นางก็ให้เฟยเฟยไปมอมเมากงอิ้น ยังไม่รู้ว่าเฟยเฟยใช้วิธีอะไร กงอิ้นที่กำลังนั่งย่างกวางโรก็พลันล้มลงไปอย่างช้าๆ เฟยเฟยพลันห้อตะบึงไปพลางใช้กรงเล็บทำสัญญาณบอกนาง นางมองแล้วเข้าใจความหมายนั้นว่าจำต้องรีบไปทันที ไม่อย่างนั้นอีกไม่นานกงอิ้นจะตื่นขึ้นมา นางจึงหอบห่วงยางหนังสัตว์เอาไว้อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วกระโดดลงแม่น้ำเสียงดังตู้ม 

 

 

ก่อนหน้านี้พวกเขาเดินเลียบตามแม่น้ำที่ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตลอดสายนี้ เมื่อวานนางได้ยินกงอิ้นเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจว่าแม่น้ำนี้คงจะตรงทะลุไปถึงนอกภูเขา อีกทั้งปากภูเขาก็อยู่ไม่ไกลแล้ว 

 

 

เป็นดังที่คาดไว้ เมื่อกลั้นลมหายใจดำน้ำครู่หนึ่งว่ายน้ำครู่หนึ่งในสายน้ำไหล ทัศนียภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากหน้าผากลายเป็นที่ราบ นางหนีออกมาได้แล้ว! 

 

 

จิ่งเหิงปัวหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วปีนขึ้นบนฝั่ง เฟยเฟยลงมาจากบนหัวไหล่ของนางด้วยร่างเปียกปอน มันสะบัดน้ำบนหางสีขาวที่ยุ่งเป็นกระเซิง 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูป่าโล่งกว้างทั้งสี่ด้านด้วยจิตใจเบิกบานมีความสุข อุ้มเฟยเฟยเอาไว้แล้วจุ๊บแรงๆ ไปครั้งหนึ่งพลางกล่าวว่า “แผนใหญ่ลุล่วง มาจุ๊บสักที!” 

 

 

เฟยเฟยเปล่งเสียงเล็กเสียงน้อยอยู่บนหัวไหล่นาง จิ่งเหิงปัววิ่งไปยังริมกำแพงผาด้านหนึ่งอย่างดีใจจนเนื้อเต้น พลางกล่าวเสียงดังว่า “มา! สลักหน่อยว่าต้าปัวมาเที่ยวที่นี่!” 

 

 

เมื่อนางหยิบมีดน้อยที่กงอิ้นให้นางออกมาแล้วเริ่มสลักอักษร ก็พลันได้ยินเสียงดังซู่ๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่งที่เหนือศีรษะ คล้ายมีวัตถุอะไรสักอย่างลอยมาถึงเหนือศีรษะแล้ว นางเงยหน้ามองไปอย่างปลาบปลื้มสุดขีดพลางกล่าวว่า “ลมข้างนอกนี่ช่างเป็นอิสระนัก พัดผ่านมายังไม่เหมือนกัน…เอ๊ะ? เอ๊ะ!” 

 

 

สิ่งของยุ่งเหยิงหลากหลายสีสันเหนือศีรษะนางกำลังพุ่งทวนลมลงมาปานกระสุนปืนใหญ่ ลมพัดขนด้านบนของเจ้าสิ่งนั้นจนลอยพุ่งทวนลมขึ้นมาเบ่งบานเป็นรูปทรงดอกต้าลี่[1] ขาน้อยเรียวยาวสีแดงดุจตะเกียบคู่หนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคล้ายจะทิ่มตรงดิ่งไปถึงดวงตาของจิ่งเหิงปัว 

 

 

“ต้นโพธิ์มิใช่ไม้ คันฉ่องใสใยส่องหน้า เบื้องล่างสัตว์แปลกตา เปิดทางมาให้ข้าเสีย!” 

 

 

เสียงดังประดุจฆ้องผุสะเทือนจนแก้วหูแทบจะหนวก จิ่งเหิงปัวชะงักค้าง ตกตะลึงร้องขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เจ้าหมาโง่!” 

 

 

สิ่งที่โน้มพุ่งลงมาจากยอดหน้าผาราวกับซูเปอร์แมนนั้นกลับเป็นซูเปอร์เบิร์ดเจ้าหมาโง่ เพียงแต่ตอนนี้สีหน้าท่าทางของมันคล้ายไม่ได้ดีใจระคนแปลกใจเท่าจิ่งเหิงปัว นัยน์ตาเท่าเม็ดถั่วเขียวกะพริบด้วยความตกตะลึงไร้ที่สิ้นสุด ร่างพุ่งดิ่งไปเบื้องล่างอย่างไร้หนทางควบคุมร่างกาย แรงโน้มถ่วงมหาศาลทำให้มันจนปัญญาที่จะเหยียบฝั่งหน้าผาไว้แล้ววิ่งหนีอย่างรวดเร็ว ร่างกายพุ่งออกไปสู่พื้นดินปานกระสุนปืนใหญ่… 

 

 

เจ้าหมาโง่จะท่องกลอน แต่ก็นึกไม่ออกแล้วจึงได้แต่ร้องอย่างน่าเวทนาว่า แม่งเอ๊ย ช่วยด้วยโว้ย! 

 

 

เสียง พลั่ก! ดังขึ้น เจ้าหมาโง่กระแทกเข้ากับความอ่อนนุ่มที่คุ้นเคยกลุ่มหนึ่งสมปรารถนา มันส่งเสียงร้องครวญครางออดอ้อนอ่อนแอเสียงหนึ่งออกมา กรงเล็บเกี่ยวตำแหน่งเดิมไว้เพียงครั้งหัวเอียงซบครั้งหนึ่ง 

 

 

ทว่ามันมิอาจเอียงซบเข้าไปตามใจปรารถนา 

 

 

กรงเล็บข้างหนึ่งยื่นออกมาหิ้วเจ้าหมาโง่ขึ้น มันสั่นอยู่ในกรงเล็บเพียงครั้ง ร่างพุ่งตรงไปยังพงหญ้าเบื้องหน้าดัง ฟิ้ว! 

 

 

เจ้าหมาโง่ลอยลิ่วสามจั้ง ปีกห้าสีรีบสยายกลางอากาศ จึงฝืนรักษาร่างกายที่เอนเอียงสั่นไหวลงถึงพื้น ร่างยังไม่ทันได้ยืนให้มั่นคงก็อ้าปากด่าว่าชุดใหญ่ว่า “แคว้นล่มเหลือชลผา วสันต์หญ้าหนากำแพง ไอ้โง่จากไหนแม่ง กล้ากำแหงใส่มารดา?” 

 

 

เงาสีขาวกะพริบวูบ เฟยเฟยปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าเจ้าหมาโง่แล้วงอกรงเล็บบิดข้อมือแกว่งหมัดขวาดังกร๊อบแกร๊บๆ ระลอกหนึ่ง 

 

 

“เฮ้ย! เอากระบวนท่าหมาโง่ไปกินซะ!”เจ้าหมาโง่ตอบโต้รวดเร็ว บินขึ้นมาเล็งคว้าหัวของเฟยเฟยไว้ นกตัวหนึ่งกับเฟยเฟยหนึ่งตัวเปิดศึกกันทันทีโดยไม่รีรอ ขนนกปลิวว่อนเศษหญ้ากระเด็นทั่วทิศ จิ่งเหิงปัวมองดูจนปากอ้าตาค้าง…ต้องขนาดนี้เลยเหรอ? สองตัวนี้พอเจอหน้าก็ตีกันเหรอ? หรือว่านี่คือศัตรูโดยธรรมชาติ ไม่ถูกกันแบบในตำนานเหรอ? 

 

 

“ว้าก! ผู้ชราโกรธายิ่งนัก!” เจ้าหมาโง่ถูกเฟยเฟยตบออกไปในกรงเล็บเดียว จนต้องท่องทำนองเสนาะเศร้าสลดกลางอากาศ เฟยเฟยตามขึ้นไปคว้าขานกของมันไว้เพียงครั้งแล้วดึงลงมา จับคอของเจ้าหมาโง่นำปากนกโค้งงอของมันเคาะๆๆ เคาะๆ ทิ่มพื้น… 

 

 

“พอแล้ว…” จิ่งเหิงปัวปิดตาไว้ด้วยทนดูไม่ได้ 

 

 

ไม่รู้ว่าเหตุใด มองดูเจ้าหมาโง่จอมโอหังถูกเฟยเฟยจอมเ**้ยมโหดจัดการเรียบร้อยไปรอบหนึ่ง นางจึงนึกถึงตนเองกับกงอิ้น… 

 

 

เฟยเฟยสะบัดเจ้าหมาโง่ไปด้านหนึ่งก่อนย่ำเท้าสองก้าวบนร่างมัน ยังฉวยโอกาสดึงขนสีแดงเส้นหนึ่งบนหัวที่เจ้าหมาโง่หวงแหนราวสิ่งล้ำค่ามาปักไว้บนหัวตน เสร็จแล้วถลาไถลเพียงครั้งกลับมายังข้างกายจิ่งเหิงปัวพลางถูไถน่องขานาง หางยุ่งเหยิงขนาดใหญ่ตบลงบนหลังเท้าของนางพลางกะพริบนัยน์ตางามอ่อนโยนน่ารักใคร่ด้วยแววตาบริสุทธิ์ไร้ความผิดให้นางอย่างเชื่องช้า 

 

 

หากไม่ใช่เพราะขนนกของเจ้าหมาโง่เกลื่อนไปทั่วพื้น จิ่งเหิงปัวก็เกือบจะนึกว่าฉากหนึ่งเมื่อครู่นี้คือภาพลวงตา 

 

 

นางเหน็บหนาวสั่นสะท้าน ยืนห่างจากเฟยเฟยออกมาอีกหน่อย 

 

 

ด้านหลังพลันแว่วเสียงเรียกตกตะลึงว่า “ต้าปัวหรือ?” 

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงนี้แล้วชะงักงัน จากนั้นจึงรู้สึกตัวขึ้นมา แย่แล้ว! 

 

 

เหตุใดถึงลืมไปเลยว่าในเมื่อเจ้าหมาโง่อยู่แถวนี้ เช่นนั้นชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยก็น่าจะอยู่แถวนี้ด้วยเช่นกัน ในเมื่อคืนที่ถูกโจมตีนั้นกงอิ้นเตรียมรับมือไว้นานแล้ว ดังนั้นตอนนั้นต่อให้ได้กุญแจมา ชุ่ยเจี่ยและจิ้งอวิ๋นก็หนีไม่พ้น ในเมื่อพวกนางหนีไม่พ้น พวกนางก็น่าจะยังอยู่ด้วยกันกับเหล่าองครักษ์ของกงอิ้น 

 

 

เหล่าองครักษ์ของกงอิ้นไม่กล้าเข้าไปตามหาในป่าเขาด้วยกลัวว่าทั้งสองฝ่ายจะคลาดกัน ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือทิ้งกำลังพลแล้วรอคอยที่ปากภูเขาหลายแห่ง ขอเพียงกงอิ้นกับนางเดินทางออกมา ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องได้พบกัน… 

 

 

เพิ่งออกมาจากถ้ำเสือ ก็เข้ารังหมาป่าอีกแล้ว! 

 

 

เมื่อคิดจนเข้าใจเรื่องเหล่านี้ นางก็เตรียมจะหันหลังคิดหนี ทว่าสายไปเสียแล้ว 

 

 

“ที่แท้ฝ่าบาทอยู่ที่นี่เอง นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมาโง่ไล่ตามผลไม้ร่วงจากหน้าผายังเผอิญพานพบฝ่าบาทอีก” เชือกบนหน้าผาแกว่งไกว บุรุษคุ้นตาผู้หนึ่งโรยตัวลงมา ดวงตาเรียวยาวจ้องมองนางไว้ ปากก็เอ่ยว่า “ฝ่าบาทบอกข้าทีได้หรือไม่ว่าราชครูอยู่หนใด” 

 

 

จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าเขาคือหัวหน้าองครักษ์ผู้ผอมคนนั้นของกงอิ้น 

 

 

“เขาหรือ?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยว่า “สิ้นชีพแล้ว” 

 

 

สีหน้าองครักษ์นั้นแข็งทื่อเพียงครั้งเอ่ยว่า “อะไรนะ?” 

 

 

“หากจะกล่าวแล้วก็ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง” จิ่งเหิงปัวบทจะร้องไห้ก็ร้องขึ้นมาจนน้ำตาคลอเบ้า ปากกล่าวว่า “พวกเราถูกมัดในตาข่ายไร้หนทางเคลื่อนไหว จมลงไปในแม่น้ำแล้วพบเจอเสือดาวที่ริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อปกป้องข้าเขาจึงถูกเสือดาวจับกินเสียแล้ว เฮ้อ เขาช่างเป็นคนดีจริงแท้…ฮือๆๆ …” 

 

 

“ราชครูจะถูกเสือดาวจับกินได้อย่างไร!” ผู้ผอมเอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวาย 

 

 

“พวกเราถูกตาข่ายรัดไว้แล้วอย่างไรเล่า” จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างมองเขา กล่าวพลางทำท่าทำทางว่า “ยามนั้นเป็นได้เพียงฝ่ายถูกกระทำถูกโจมตี เพื่อที่จะปกป้องข้า เขาผู้น่าสงสารก็พุ่งมาบนกายข้าเฉกเช่นต่งฉุนรุ่ย[2] เสือดาวจึงขย้ำเอวของเขาจนขาดสะบั้นในคำเดียว โอ๊ย เสียงใสไพเราะเช่นนั้นดังกังวานเช่นนั้น! ได้ยินเพียงเสียง ‘กร๊อบ!’ เสียงเดียว…” 

 

 

ผู้ผอมยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งแข็งทื่อ สีหน้าสยองขวัญ พลันปากก็ขัดจังหวะคำพูดของนางว่า “ทูลถามฝ่าบาท ต่งฉุนรุ่ยคือผู้ใด” 

 

 

“สหายบ้านใกล้เรือนเคียงกับข้าเอง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญหรอก” จิ่งเหิงปัวโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวว่า “สิ่งสำคัญคือเพื่อจะปกป้องข้า เขาก็ถูกเสือดาวเคี้ยวกินทีละคำเสียแล้ว เขาแข็งแกร่งดั่งเหลยเฟิง[3] จวบจนสิ้นชีพก็ยังไม่ได้เปล่งเสียงออกมา เสือดาวนั้นหลังจากกินอิ่มแล้วจึงจากไป เขากุมมือของข้าทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้…” 

 

 

สีหน้าผู้ผอมตึงเครียดขึ้นมา ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกัดฟันกรอดเอ่ยถามว่า “คำสั่งเสีย…ว่าอย่างไร?” 

 

 

“เขาน้ำตาคลอ กุมมือของข้าไว้แล้วเอ่ยขอโทษข้า” จิ่งเหิงปัวเช็ดน้ำตาพลางกล่าวว่า “เขาเอ่ยว่าเขาไม่ควรจับข้ามา ไม่ควรบังคับข้า ไม่ควรฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของข้า บังคับข้าไปเป็นราชินีองค์นั้นที่ข้าไม่อยากเป็น ยามนี้ที่เขาสิ้นชีพอย่างน่าเวทนาเช่นนั้นก็ล้วนเป็นเพราะกรรมตามสนอง บอกข้าว่าไม่ต้องเก็บศพให้เขา ไม่ต้องแก้แค้นให้เขา ไม่ต้องรู้สึกผิดในจิตใจใดๆ และไม่ต้องไปเป็นราชินีองค์นั้นอีก นับแต่บัดนี้ข้าเป็นอิสระแล้ว ท้องนภาสูงใหญ่แล้วแต่วิหคจะโบยบิน ท้องสมุทรกว้างใหญ่แล้วแต่มัจฉาจะว่ายวน…” 

 

 

“ช้าก่อน” ผู้ผอมใบหน้ากระตุกเอ่ยว่า “ราชครูเอ่ยว่าท่านเป็นอิสระแล้ว?” 

 

 

“เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร?” จิ่งเหิงปัวมองเขาด้วยสายตาสั่นไหว แล้วกล่าวว่า “ก่อนสิ้นชีพเขาเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำจึงปล่อยข้าเป็นอิสระ เจ้าคือผู้ใต้บัญชาของเขาย่อมต้องปฏิบัติตามปณิธานก่อนสิ้นใจของผู้เป็นนาย นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้ากับพวกเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก อ้อ จริงสิ จิ้งอวิ๋น ชุ่ยเจี่ยและยงเสวี่ยก็ไปกับข้าด้วย พวกเจ้าควรจะทำสิ่งใดก็จงไปทำสิ่งนั้นเถิด” 

 

 

นางหิ้วเจ้าหมาโง่ขึ้นมาพลางอุ้มเฟยเฟยไว้ เดินไปข้างหน้าตามทางคดเคี้ยวของหน้าผาเตี้ย สายตามองเห็นกระเป๋าของตนเองที่ไม่รู้ว่าหามาจากไหนวางอยู่บนรถม้าข้างหน้า เช่นนั้นก็ดีอกดีใจจนลืมตัววิ่งไปหยิบกระเป๋าของตนเองลงมา ร้องเรียกจิ้งอวิ๋น ชุ่ยเจี่ยและยงเสวี่ยที่มีสีหน้าตกตะลึงให้ลงมาจากรถม้าว่า “ไปเถอะ!” 

 

 

“ช้าก่อน…” องครักษ์ที่เหลือคล้ายยังสับสนงงงวยอยู่ด้วยไม่รู้ว่าต้องเชื่อฟังวาจาไร้แก่นสารของสตรีนางนี้หรือไม่ ผู้ผอมนั้นครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนก้าวขึ้นไปขวางนางพลางเอ่ยว่า “พระองค์ห้ามไป…หากว่านายท่าน…” 

 

 

เขาขวางจิ่งเหิงปัวไว้ ใบหน้าหันหาปากทางร่องเขาพอดี ดวงตาแข็งทื่อโดยพลัน วาจาที่จะเอ่ยก็หยุดชะงักไป 

 

 

จิ่งเหิงปัวรออยู่ครู่หนึ่งเห็นเขายังงงงวยอยู่จึงเขี่ยเขาออกไปด้วยรำคาญ กล่าวว่า “เฮ้อ เจ้ากล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งเสียของเจ้านายเจ้า?” 

 

 

“เจ้านายข้า…” ผู้ผอมเอ่ย 

 

 

“ทว่าจะกล่าวไปแล้ว” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกลอกกลิ้งไปมาครั้งหนึ่ง กล่าวสืบต่อว่า “เจ้านายเจ้าวรยุทธ์สูงส่งแข็งแกร่ง อภินิหารเลิศล้ำ แปลงกายเจ็ดสิบสองท่า[4]ไม่มีท่าใดไม่อัศจรรย์ เรื่องที่เขาถูกเสือดาวขย้ำอาจจะเป็นเรื่องลวงกระมัง? เขาอาจจะยังมิสิ้นชีพ? พวกเจ้าเป็นองครักษ์ควรจะรีบเร่งเข้าไปตามหาสักหน่อยถึงจะถูก ข้าจะบอกเจ้าเองว่าอยู่ที่ใด เขาก็อยู่ในพงไพรรกทึบที่ลึกเข้าไปในภูเขา เดินไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราวสิบวัน…” 

 

 

“เขาอาจจะยังไม่สิ้นชีพ…” ผู้ผอมเหม่อลอยจ้องมองฝั่งตรงข้ามของภูเขา 

 

 

“นั่นสิ เขาก็อาจจะยังไม่สิ้นชีพ เจ้ารีบไปตามหาเขาสิ” จิ่งเหิงปัวแทบอยากจะให้เจ้าพวกนี้รีบหลีกไปเสียที หรือไม่ก็หลงทางอยู่ในเทือกเขาลึกแห่งนี้ตลอดไปเลยน่าจะดี 

 

 

“รีบไปตามหาเขา…” ผู้ผอมคล้ายกลับกลายคล้อยตามโดยพลัน 

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวพบว่าเขาผิดปกติอยู่บ้าง เช่นนั้นจึงชำเลืองมองสายตาเหม่อลอยของเขาอย่างสงสัย แล้วมองตามสายตาของเขาไปทางด้านหลัง 

 

 

ด้านหลังนั้นก็คือร่องเขา น้ำในแม่น้ำไหลทะลักออกมาจากปากเขา ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน 

 

 

“มารเข้าแทรกหรือ?” นางยักไหล่อย่างไม่เข้าใจ แล้วผลักผู้ผอมที่ขวางทางออกไป ลากกระเป๋าเดินทางของตนเอง ปากก็ตะโกนร้องเรียกผู้คนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ด้านหลังนั้นว่า “ไปเถอะ!” 

 

 

ชุ่ยเจี่ยตามขึ้นไปโดยพลัน ส่วนยงเสวี่ยเมื่อมองดูองครักษ์ไม่ได้มีท่าทีขัดขวางก็ตามไปเช่นกัน จิ้งอวิ๋นยืนงงงวยอยู่ที่เดิมมองปากเขาแล้วมองเหล่าองครักษ์ 

 

 

“จิ้งอวิ๋น เหตุใดจึงยังไม่ไปอีก?” จิ่งเหิงปัวหันหน้ามาเรียกนาง พลางขมวดคิ้วขยิบตาให้นางสุดชีวิต…ถ้ายังไม่ไปอีกเดี๋ยวองครักษ์พวกนี้เปลี่ยนใจขึ้นมาจะหนีไม่พ้นแล้วนะ! 

 

 

จิ้งอวิ๋นยังคงมีท่าทีชะงักงัน จิ่งเหิงปัวนึกว่านางสมองช้า จึงเดินขึ้นมาคว้านางไว้ แล้วลากนางไปเสียเลย 

 

 

จิ้งอวิ๋นคล้ายจะขัดขืนอยู่บ้าง จิ่งเหิงปัวจึงมองนางอย่างงงงัน จิ้งอวิ๋นหันหน้ามองปากเขาอีกครั้ง ครุ่นคิดชั่วครู่พลันเม้มปาก ไม่ได้ขัดขืนอีก 

 

 

จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้สังเกตสีหน้าท่าทางของนาง นางลากคนกลุ่มนั้นไว้แล้วรีบไปในครู่เดียว สายตาเห็นว่าองครักษ์ไม่ได้ตามมาจริงๆ จึงร้องอย่างยินดีเสียงหนึ่งว่า “เย้ เป็นอิสระแล้ว! พวกเราไปไหนต่อดี แถวนี้มีเมืองหรือไม่ ไปหาเที่ยวร้านค้ายามค่ำคืนสักร้านดีไหม” 

 

 

… 

 

 

เสียงร้องยินดีที่อยู่ห่างไกลของจิ่งเหิงปัวแว่วเข้ามาในหูขององครักษ์ทางฝั่งนี้อย่างเลือนรางรำไร สีหน้าท่าทางของพวกเขาก็ดูแปลกประหลาดอย่างยวดยิ่ง 

 

 

ทุกคนล้วนมองไปยังร่องเขา แล้วมองไปยังทิศทางที่จิ่งเหิงปัวหายไป 

 

 

ในร่องเขามีสายลมพัดมาอย่างเอื่อยเฉื่อย ทำให้ต้นเถิงหลัว[5]สั่นไหวเชื่องช้า น้ำในแม่น้ำหลั่งไหลสงบเงียบสาดสะท้อนฟองคลื่นสีขาวหิมะ 

 

 

ชายผ้าสีหิมะเช่นเดิมผืนหนึ่งลอยเงียบเชียบบนฟองคลื่น ฝีก้าวของผู้นั้นตั้งตระหง่านมั่นคงดุจผืนพสุธาภูผากว้างใหญ่ เดินออกมาจากกลางขุนเขาดุจเทพเซียนย่ำเหยียบโลกมนุษย์ 

 

 

เหล่าองครักษ์ล้วนคุกเข่าลง 

 

 

“นายท่าน!” 

 

 

กงอิ้นเดินออกมาจากหลังต้นเถิงหลัวอย่างแช่มช้า ดวงหน้าขาวราวหิมะข้างหลังใบเถิงหลัวเขียวขจีนั้นดุจหินอ่อนสลักลาย 

 

 

บนใบหน้าของเขาไม่ได้มีสีหน้าท่าทางอันใด ยื่นมือออกมาฉวยรับผ้าเช็ดมือที่องครักษ์ผู้ผอมส่งให้ เช็ดมือไปมาแล้วโยนทิ้งโดยพลัน 

 

 

เมื่อออกจากภูผาใหญ่กว้างแล้ว บรรยากาศสูงศักดิ์สงบเสงี่ยมสง่างามของเขาก็ปกคลุมสี่ด้านให้เงียบเชียบอีกครั้งไปชั่วขณะ 

 

 

“นายท่าน เหตุใดพวกเราไม่…” ผู้ผอมหันหน้ามองดูทิศทางที่จิ่งเหิงปัวหายไป ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่นายท่านก็ยืนอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่เปิดโปงสตรีที่เอ่ยวาจาเต็มไปด้วยเรื่องโกหกนั้น ซ้ำยังปล่อยให้นางหนีไป 

 

 

กงอิ้นนั่งลงบนผ้าสักหลาดบนพื้นที่องครักษ์ปูเสร็จแล้ว วักน้ำในลำธารล้างมือเชื่องช้า 

 

 

“ต้องให้โอกาสนางได้เดินทัศนาร้านค้ายามค่ำคืนเสียบ้าง” 

 

 

น้ำเสียงนั้นคล้ายไม่ได้ใส่ใจ สีหน้าท่าทางก็ปกติยิ่งนัก มองไม่ออกว่ามีโทสะใดๆ ทว่าเหล่าองครักษ์พลันรู้สึกมืดครึ้มอึมครึมเล็กน้อย จนอดจะเหน็บหนาวสั่นสะท้านมิได้ 

 

 

“เช่นนั้นนางจะเที่ยวได้อย่างสบายอุรายิ่งขึ้น” 

 

 

เหล่าองครักษ์รู้สึกว่ารอบด้านนั้นยิ่งเหน็บหนาวมากขึ้น…มีไอสังหาร 

 

 

“ข้าในฐานะที่เป็นผู้วายชนม์คนหนึ่ง สมแล้วที่สิ้นชีพด้วยกระทำผิดต่อนางจนกรรมตามสนอง ไม่มีหน้าไปแก้แค้น…” กงอิ้นเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย 

 

 

เหล่าองครักษ์โอบสองแขนแนบแน่น…ช่วยข้าด้วย 

 

 

“ควรจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะวิญญาณ” กงอิ้นเอ่ยว่า “ควรจะปรากฏกายอีกคราในยามที่ไม่ควรปรากฏกาย ถูกต้องหรือไม่?” 

 

 

เหล่าองครักษ์สั่นไหว…ทำเกินไปแล้ว 

 

 

กงอิ้นหยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขึ้นมาเล่นน้ำตามใจตน สายตาของเขาจดจ่อและออกแรงยวดยิ่ง เหล่าองครักษ์รู้สึกว่ากิ่งไม้นั้นช่างน่าสงสารยิ่งนัก 

 

 

“จินตนาการล้ำเลิศ” กงอิ้นคล้ายกำลังพึมพำกับตนเองว่า “ใช้กายปกป้องหรือ? สิ้นชีพในปากเสือดาวหรือ? ถูกเสือดาวขย้ำเอวสะบั้นในคำเดียวหรือ? ครุ่นคิดฉากสิ้นชีพงดงามจรุงใจเช่นนี้ออกมาได้ ในใจของนางย่อมต้องเฝ้าปรารถนามาเนิ่นนานแล้ว คงจะซักซ้อมมาหลายรอบแล้วกระมัง?” 

 

 

เหล่าองครักษ์ไม่กล้ารับวาจา ถอยหลังออกไปแช่มช้า…ชีวิตตนนั้นสำคัญกว่า 

 

 

“ขย้ำเช่นไรนะ? เช่นนี้หรือ” กงอิ้นโค้งงอกิ่งไม้ 

 

 

เหล่าองครักษ์รู้สึกว่าเอวของพวกตนเจ็บปวดยิ่งนัก 

 

 

“หรือว่าเช่นนี้?” พลิกกลับมาแล้วบิดอีกครา ประดุจบิดช่วงเอวอ่อนนุ่มของจิ่งเหิงปัว 

 

 

เหล่าองครักษ์ถอยออกมาไกลสามจั้งแล้ว… 

 

 

“หรือเช่นนี้?” นิ้วมือของกงอิ้นออกแรงหักเพียงครั้ง ทำให้กิ่งไม้หักสะบั้น 

 

 

เสียงใสไพเราะดังกังวาน เฉกเช่นเสือดาวขย้ำช่วงเอวขาดสะบั้นในคำเดียวกระนั้น 

 

 

กร๊อบ! 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ดอกต้าหลี่ หรือดอกรักแรก/ดอกรักเร่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Dahlia pinnata Cav. 

 

 

[2] ต่งฉุนรุ่ย เป็นวีรบุรุษสงคราม เสียสละชีวิตอย่างกล้าหาญในสงครามปลดแอกอำเภอหลงฮว่า 

 

 

[3] เหลยเฟิง ทหารสังกัดกองทัพปลดแอกประชาชนของสาธารณรัฐประชาชนจีน ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ 

 

 

[4] แปลงกายเจ็ดสิบสองท่า เป็นกระบวนท่าของซุนหงอคงในเรื่องไซอิ๋ว 

 

 

[5] ต้นเถิงหลัว หรือวีสเตียเรีย ชื่อวิทยาศาสตร์ Wisteria villosa Rehder