“ก่อนแดนมณีจะเริ่มจะมีงานชุมนุมครั้งใหญ่ที่เรียกว่าเฟิงหยุน ศิษย์จากสำนักในดินแดนพรสวรรค์จะต้องเข้าร่วมงานนี้”
ไป่ชานเหลียงกล่าว
“ตราบเท่าที่สามารถต่อสู้จนได้ร้อยลำดับแรกในงานชุมนุมคนผู้นั้นถึงจะได้สิทธิ์”
ในภาวะปกติมักจะมีศิษย์จากตำหนักโลหิตและเมฆาม่วงเท่านั้นที่ได้ร้อยลำดับแรก ในทุกครั้งที่ผ่านมา สองสำนักใหญ่นี้ได้ปล้นเอาผู้มีพรสวรรค์ทั้งหมดจากสำนักอื่นทั้งสิบหกผ่านการคัดเลือกภายใน แล้วสำนักอื่นจะเทียบกับสองสำนักใหญ่ยักษ์นี้ได้หรือ? มันยิ่งยากกว่าสำนักอื่นที่จะมาแข่งขันกัน
แต่ซือหยูไม่ประมาทเขาเคยไปยังสถานที่อย่างเขาวิญญาณจรัสและเมืองเทียนหยามาแล้ว เขาไม่สงสัยว่ามีคนเก่ง ๆ มากมายแฝงตัวอยู่ การได้ร้อยลำดับแรกในดินแดนพรสวรรค์นั้นเป็นเรื่องท้าทายมาก เพราะเขาจะต้องได้ลำดับมาโดยไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
“ขอบคุณพี่ชานเหลียงที่ชี้แนะ…”
ซือหยูพูด
ไป่ชานเหลียงถอนหายใจ
“เป็นข้าไม่ใช่หรือที่ต้องขอบคุณเจ้า”
เขาหมดสติไปในตอนที่ซือหยูรักษาแต่เขาก็เห็นได้แม้จะไม่ชัดว่าใครเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตเขา
“ข้ายินดีศิษย์พี่ พักก่อน ข้าจะไปรายงานตำหนัก พวกเขามีคำถามอยู่เยอะแน่”
ซือหยูออกจากสวนปิงหวูชิงไปอยู่ที่ใดมิอาจทราบได้ เหลือเพียงกงซุนหวูซื่อที่นั่งขมวดคิ้วอยู่ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของซือหยู กงซุนหวูซื่อพูดในทันที
“ออกมาสักที!พี่ชานเหลียงเป็นยังไงบ้าง?”
“เขาปลอดภัยแล้วหวูชิงไปไหน? นางโกรธจนหนีออกไปรึ?” ซือหยูขมวดึิ้วเล็กน้อย
“หรือว่านางจะเก็บอามณ์ไม่ได้แล้วไปหาปิงหวูชิงอีกคน?”
ด้วยอารมณ์ร้อนของปิงหวูชิงที่เขาพูดนั้นมีความเป็นไปได้
จากที่ซือหยูสังเกตปิงหวูชิงอีกคนปิงหวูชิงแห่งเขาอสูรมิใช่คู่มือของนาง โดยเฉพาะด้วยพลังสายโลหิตอันน่าสะพรึงกลัวนั่น มันคือพลังที่สามารถผนึกพลังของอีกฝ่ายได้ ถ้าหากไม่มีวิธีพิสดาร ปิงหวูชิงแห่งเขาอสูรก็คงจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้แน่นอน
กงซุนหวูซื่อหัวเราะเบาๆ
“สบายใจได้ถึงพี่หวูชิงจะไร้สมองหรืออกแบน นางก็ยังไม่เสียสติ”
ซือหยูเหลือบมองอกแบนราบของกงซุนหวูซื่อนางกล้าพูดออกมาได้อย่างไรกัน?
กงซุนหวูซื่อหน้าแดงเมื่อเห็นว่าถูกแอบมองนางมองซือหยูด้วยความโมโห
“ข้าพูดเข้าตัวสินะ!” ซือหยูหัวเราะ novel-lucky
“ไปหาไป่ชานเหลียงสิข้าจะกลับไปเตรียมตัว”
งานชุมนุมเฟิงหยุนคืองานที่จะมีผู้มากพรสวรรค์มารวมตัวกันเขาจะต้องไม่ประมาท
“เดี๋ยวก่อน!”
กงซุนหวูซื่อหยิบแหวนมิติขึ้นมา
“เซียนหลิงส่งคนมาส่งของนี้เมื่อหลายวันก่อนมันคือของแลกเปลี่ยนที่สองกับพี่ซือหยู พลังของจ้าวเทวะระดับห้า ห้าร้อยคน”
ซือหยูตาลุกวาวเขาคว้าแหวนเอาไว้และตรวจดูด้านใน เขาพบหยดวารีพลังมากมายด้านใน หยดวารีเหล่านั้นมีพลังอันเข้มข้นของจ้าวเทวะอยู่ มันไม่นับว่าเป็นพลังสุดยอด แต่มันก็คือพลังของจ้าวเทวะระดับห้า
หยดวารีเหล่านี้จะสลายเมื่อถูกแทงจากนั้นพลังจะหลั่งไหลออกมาในทันที พวกมันมีถึงห้าร้อยหยก แม้แต่จ้าวเทวะระดับเก้าก็ไม่มีพลังมากเช่นนี้ พลังเหล่านี้คือสิ่งที่เขาจะใช้อัดลงไปในผลึกเทพของเซียนมณีซือหยูอยากจะรู้มานานแล้วว่ามีความทรงจำใดอยู่ในผลึกเทพที่เขาได้มา
เขารอเป็นเวลาระยะหนึ่งก่อนจะได้พลังนี้มาเขาจึงคืนกลับไปด้วยหญ้าใจสลายตามจำนวนที่ตกลงกันไว้
“นี่คือสมุนไพรที่ตกลงกันไว้เจ้ามอบมันให้เซียนหลิงได้หรือไม่?”
กงซุนหวูซื่อยิ้ม
“ทำไมไม่ส่งให้นางเองเล่า?ท่านป้าคิดถึงพี่ซือหยูมากนะ อย่างไรพวกเราก็เคยเป็นทาสรักของพี่ซือหยูนี่”
“คิดถึงข้าเรอะ?นางอยากจะฆ่าข้าเสียมากกว่า!”
ซือหยูส่ายหน้าเบาๆ เขาไม่สนใจเสียงหัวเราะของกงซุนหวูซื่อและกลับเรือนตัวเอง
หลังจากปิดประตูหน้าต่างเขาเรียกเขาคุกเทวะห้าธาตุออกมา เขาจ้องมองมันและขมวดคิ้ว ในเวลาสองเดือนภายใต้การบ่มเพาะในการเร่งเวลาห้าร้อยเท่า มันเทียบได้กับเก้าสิบปี แต่ความเข้าในอักษรของเขาก็ไม่ถึงขั้นที่เขาคาดการ
เขาเพียงแค่เข้าใจมากขึ้นเก้าอักษรมันใช้เวลาเก้าสิบปีในการเพิ่มพูนความรู้เรื่องนี้ ยิ่งไปไกลเท่าใดก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น มันยากยิ่งกว่าอักษรในระดับก่อนหน้ารวมกัน
คำที่เก้าสิบเอ็ดใช้เวลาสามปี
คำที่เก้าสิบสองใช้เวลาหกปี
คำที่เก้าสิบสามใช้เวลาเก้าปี
และเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงคำที่เก้าสิบเก้า ซือหยูใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะเข้าใจได้
มันเป็นเวลามหาศาลในโลกความเป็นจริงแม้แต่วิชาระดับเซียน หากใช้เวลาหลายสิบปีบ่มเพาะ มันจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเวลาทั้งหมดนั้น เขาใช้มันทำความเข้าใจตัวอักษรตัวเดียว มันช่างสูญเปล่า แต่มันก็ทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป
นอกจากนี้แล้วเขายังได้บรรลุเรื่องผลของวารีชำระล้างในหม้อเก้ามังกรมาบ้าง
ตัวอักษรที่ร้อยใช้เวลาจากเขาไปนานมาก
เขาเหม่อลอยเป็นล้านๆ ครั้งในห้าสิบปีกับอักษรตัวนี้ แต่เขาก็ไม่เคยสำเร็จไปมากกว่าระดับนั้น เขามาถึงคอขวดของการบรรลุเรื่องธาตุทั้งห้า บางอย่างดูพลาดไป แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่าคือสิ่งใด
ตอนนี้เขากำลังจะออกเดินทางเขาไม่มีเวลาให้ใช้มากนัก
เขาเรียกตราสีม่วงขึ้นมามันคือตราผาบั่นภูติ
“ข้าคงจะได้สายในมังกรมากพอแล้วกระมัง?”
ก่อนหน้านี้เขาได้ให้แก้วสามสิบล้านดวงกับชายสวมหน้ากากสีเงิน แต่เขายังไม่ได้ข่าวมาจนถึงวันนี้ เขาคิดว่าชายหน้ากากเงินคงจะมาถึงในอีกไม่นาน หากเขาได้สายใยมังกรและขอให้เทพปีศาจช่วยบ่มเพาะกายามังกรปราณแรกให้ถึงขั้นสูง ตอนนั้นกำลังกายของเขาคงจะแข็งแกร่งมากกว่านี้
จากนั้นซือหยูใจเต้น เขาได้ยินเสียงเรียกจากส่วนลึกของหัวใจ
เขาเหลือบมองมุกวิญญาณเก้าหยกในแขนด้วยความตื่นเต้นเขาเรียกเสี้ยววิญญาณเข้าไปยังมุกวิญญาณเก้าหยก ทันทีที่เขาเข้าไปก็ได้พบกับคลื่นความร้อนอันน่าตกตะลึง
ทุกที่ในมุกวิญญาณเก้าหยกร้อนจนเริ่มลอยขึ้นเล็กน้อย
ซือหยูยืนอยู่หน้าดวงตะวันม่วงดวงยักษ์สุริยาม่วงนี้มีความร้อนที่เข้มข้นและเพลิงร้อนแรงที่เผาทำลายได้ทั้งฟ้าดิน แม้แต่อสูรเนรมิตรที่เพิ่งจะเลื่อนระดับมาก็ทนเพลิงนี้ไม่ไหว
ท่ามกลางกองเพลิงสุริยาสีม่วงกิเลนน้อยน่ารักถูกเพลิงสามสายรายล้อมรอบกายเพลิงเหล่านั้นรวมตัวกันเป็นผนึกแปลก ๆ ผนึกนี้มีเอกลักษณ์มาก
ไม่นานกิเลนน้อยก็หยุดรวมพลังมันอ้าปากดูดเพลิงสีม่วงจำนวนมากเข้าไปจนไม่เหลือสิ่งใด เพลิงทั้งหมดกลับสู่ท้องของกิเลนน้อย
เพลิงสามสายได้เผยสิ่งที่อยู่ภายในออกมากระบี่ยาวหนึ่งคืบส่องแสงสีเงินประกายอย่างงดงาม
กระบี่เหล่านี้บางราวกับปีกจักจั่นมันปล่อยความเยือกเย็นที่สามารถทำลายวิญญาณและชีวิตของผู้คนได้ออกมา
มันยังมีร่องรอยของสายฟ้าหลากสีที่ตัวกระบี่
ที่กลางกระบี่นั้นมีลวดลายหัวกิเลนอยู่บางๆ มันราวกับปรมาจารย์ช่างตีดาบที่สลักนามของตัวเองลงบนอุปกรณ์ที่ตีเอาไว้กำกับ
ซือหยูเข้าไปใกล้เมื่อรังสีความร้อนเลือนหายเขามองกระบี่สีเงินด้วยความคาดหวัง เวลาผ่านไปมากพอตัวและสุดท้าย กระบี่ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ก็ถูกตีขึ้นมาสำเร็จ!
��