“เจ้าเป็นของนางแล้วรึ?”
ปิงหวูชิงเสียงแข็งนางจ้องซือหยูราวกับมองศัตรู
ซือหยูตกใจเล็กน้อยเขาสัมผัสที่ระหว่างคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขาขมวดคิ้ว
“เจ้าพูดถึงปิงหวูชิงอีกคนรึ?”
“เจ้าไปเจอนางมาจริงๆ ด้วย!”
ปิงหวูชิงโกรธแค้นนางกระชับกระบี่ในมือราวกับจะฟันมันใส่ซือหยู
กงซุนหวูซื่อเบิกตากว้างนางจ้องซือหยูด้วยความตกใจและสงสัย นางพูดเบา ๆ
“พี่หยูเซี่ยนนอนกับผู้หญิงคนนั้นมาจริงหรือ?ไม่รู้สึกผิดต่อพี่หวูชิงบ้างรึ?”
ทั้งสองเอาจริงเอาจังในขณะที่ซือหยูยังสับสนอยู่
“ที่ข้าทำก็แค่บ่มเพาะสองเดือนในสมบัติภูติของนางมันมีปัญหาอะไรกัน?”
โชคร้ายที่คำพูดของซือหยูให้ปิงหวูชิงไม่พอใจนางหัวเราะด้วยความโกรธแค้น
“เจ้ายังคิดจะปิดบังอยู่อีก!ตั้งแต่ที่ปิงหวูชิงครอบครองสมบัติภูติ นางก็ไม่เคยให้บุรุษใดก้าวเข้าไปข้างใน! เจ้าคิดรึว่าข้าจะเชื่อว่าเจ้าเข้าไปบ่มเพาะที่นั่นสองเดือน? แล้วที่หน้าผากเจ้าก็มีกลิ่นอายที่นางทิ้งเอาไว้ นางจะบอกข้าว่าเจ้าเป็นผู้ชายของนางแล้ว ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องเจ้า!”
ปิงหวูชิงไม่คิดเลยว่าซือหยูจะไปบ่มเพาะอยู่กับปิงหวูชิงอีกคนเป็นระยะเวลาสองเดือน
ซือหยูเข้าใจความตั้งใจของปิงหวูชิงอีกคนแล้วดูเหมือนว่านางแค่แตะหน้าผากเขา แต่มันคือการสร้างความบาดหมางระหว่างปิงหวูชิงคนนี้
ซือหยูอธิบาย
“ใจเย็นก่อนอย่างแรก ระหว่างข้ากับนางไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น อย่าตกหลุมพรางที่นางดักไว้”
แต่ปิงหวูชิงกำลังบ้าคลั่ง
“ก็ได้เช่นนั้นบอกข้ามา ทำไมเจ้าต้องไปบ่มเพาะในสมบัติภูติของนาง? อย่าบอกข้าว่าเจ้าหลงนางนะ”
ทำไมน่ะรึ?ก็แน่ล่ะสิ ก็แค่ตกลงกับปิงหวูชิงอีกคนไว้ และข้าก็ถูกบังคับด้วย เขาย่อมอธิบายเหตุผลที่แท้จริงไม่ได้
“ข้าบอกเจ้าไม่ได้แต่ข้าไม่ได้โกหกเจ้า”
ซือหยูตอบ
ปิงหวูชิงมองซือหยูด้วยความผิดหวังนางพูดอย่างเย็นชา
“ข้ามันตาบอดที่เลือกเจ้า!”
นางจะไปเชื่อเขาได้อย่างไรในเมื่อเขาบอกแม้แต่เหตุผลในการบ่มเพาะในสมบัติภูติของปิงหวูชิงอีกคนไม่ได้?เมื่อนางคิดถึงสิ่งที่ซือหยูทำกับนาง โดยเฉพาะกับคำสั่งของปิงหวูชิงอีกคน นางคิดว่ามันลักลั่นสิ้นดี ปิงหวูชิงไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว นางรีบเดินออกไป
กงซุนหวูซื่อกระทืบเท้ารีบเดินตามปิงหวูชิงไปนางลดเสียงลงเมื่อเดินผ่านซือหยู
“พี่ซือหยูอย่าโทษพี่หวูชิงเลย นางอ่อนไหวกับเรื่องปิงหวูชิงอีกคนเกินไป นางคงจะไม่ใจเย็นลงในเร็ว ๆ นี้หรอก”
ซือหยูตอบ
“นางจะคิดยังไงก็ช่าง”
เขาไม่ชอบที่ปิงหวูชิงมักจะใช้กำลังอยู่แล้วและนางก็ใจร้อนทุกครั้งเมื่อจัดการกับเรื่องราวต่าง ๆ นางโกรธง่ายเกินไป คงจะยากที่จะจับกลุ่มกับนางหากเวลามาถึง
ซือหยูส่ายหน้าตอนนี้ห้องว่างแล้ว เขาไปที่ข้างไป่ชานเหลียงและเริ่มตรวจดูร่างกายของเขา หลังจากแน่ใจแล้วว่าไป่ชานเหลียงมีบาดแผลแค่จากฝ่ามือ ซือหยูเริ่มใช้ทรายดาราทางช้างเผือกแค้นเอาพลังภูติผีออกมา
ซือหยูคุ้นเคยกับการรักษาในลักษณะนี้พลังภูติผีส่วนน้อยถูกดูดในครึ่งชั่วโมงต่อมาฝ่ามือดำสนิทเริ่มจางลง คิ้วขมวดแน่นของไป่ชานเหลียงดูผ่อนลง
ในระหว่างการดูดซับควันพิษในตัวไป่ชานเหลียงลดลงไปตามพลังภูติผีที่ลดลง ควันพิษที่ผิวกายกลับเข้าสู่กระแสเลือด แต่ควันพิษอ่อน ๆ ยังคงเหลืออยู่นอกร่าง มันอยู่ใกล้กับเสื้อผ้าของเขา
ซือหยูเหลือบมองและแอบตกใจเขาปวดตาเล็กน้อยเมื่อเหลือบมองมัน พิษนี้แข็งแกร่งจนแค่มองก็เจ็บปวด จากที่เขาดู พิษนี้คงจะแข็งแกร่งจนจ้าวเทวะระดับแปดต้านไม่ไหว
หลังจากไตร่ตรองดูซือหยูหยิบขวดหยกขึ้นมาและรวบรวมควันพิษที่ยังหลงเหลือเอาไว้ เพราะคงจะเป็นปัญหาหากมีใครได้สัมผัสกับมัน เมื่อผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ฝ่ามือภูติผีบนอกไป่ชานเหลียงหายไปจนหมด ที่เหลือมีเพียงรอยของกรงเล็บ พลังที่กัดกร่อนร่างของไป่ชานเหลียงหายไปหมดแล้ว
จากนั้นไป่ชานเหลียงได้ตื่นจากกาหลับใหล เขาลืมตาด้วยความสับสน เขามองเพดานด้วยแววตาว่างเปล่า จากนั้นเขาก็เตรียมจะลุกขึ้น
“พี่ชานเหลียงตอนนี้เราอยู่ในตำหนัก” novel-lucky
เสียงเบาๆ อันอ่อนโยนดังมาจากด้านข้าง
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยไป่ชานเหลียงหันไปมองผู้พูดทันที สีหน้ากังวลคลายลงไป เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ข้ากลับมาถึงตำหนักแล้วสินะ”
แววตาเขายังมีสัมผัสของความกลัว
ซือหยูพูด
“พี่ชานเหลียงเล่าเรื่องที่เจอให้ข้าจะได้หรือไม่? ไปเจอกับกระดูกโลหิตได้ยังไง?”
ภูติผีนั่นโกรธแค้นชิงชังซือหยูอย่างร้ายแรงถ้าหากเขาไม่ระวัง มันคงจะเป็นภัยครั้งใหญ่
ไป่ชานเหลียงขมขื่น
“มันไม่ใช่การได้เจอพวกเราถูกซุ่มโจมตี!” “เทียนเหรินเหยาข้า กับจ้าวเทวะชั้นกลางจากตำหนักในหลายคนถูกตำหนักส่งให้มุ่งหน้าไปที่บ่อน้ำแห่งหนึ่งเพื่อสืบเรื่องภูติผิที่ยังเหลืออยู่ในจิวโจว”
เขาพูด
“จากที่ตำหนักสั่งพวกเราแค่ต้องรับผิดชอบในการหาข่าว พวกเราไม่จำเป็นต้องให้ศัตรูรู้ตัวส แต่พอพวกเราไปถึงก็ได้เจอกับมัน ไม่มีผู้เฒ่าคนไหนรอดชีวิต”
“เทียนเหรินเหยากับข้าหนีคนละทางข้ามีพลังสายโลหิตถึงป้องกันไม่ให้พลังของมันทำลายข้าไปมากกว่านี้ ข้าเลยหนีกลับมา ข้าไม่รู้ว่าเหรินเหยาเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง ไม่รู้ด้วยว่าโดนจับไปหรือไม่”
ซือหยูขมวดคิ้วมันฟังดูไม่แปลกในทีแรก แต่เมื่อคิดให้ดี มันมีบางอย่างที่แปลกมาก นอกจากพวกเขาแล้วจะมีใครรู้เส้นทางได้เล่า? พวกเขาบังเอิญเจอกับกระดูกโลหิตแล้วถูกสังหารหรือ? จะต้องมีคนแอบบอกเส้นทางกับกระดูกโลหิต! “พี่ชานเหลียงพักก่อนเถอะ”
“เจ้าตำหนักม่อจะหาทางจัดการกับมัน”
นางคงจะออกจากตำหนักไปเพราะเรื่องนี้
ไป่ชานเหลียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“หากเจ้าตำหนักม่อลงมือเองก็คงจะดีหวังว่านางจะช่วยเทียนเหรินเหยาได้ แต่ตอนนี้ข้ายังพักไม่ได้ แดนมณีกำลังจะมาแล้ว ข้าจะต้องเดินทางในอีกไม่กี่วัน”
ซือหยูถาม
“พวกเราควรไปหาที่รอแดนมณีหรือไม่?”
จากที่กงซุนหวูซื่อบอกเมื่อแดนมณีมาถึง หนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์ทั้งหมดในทวีปจะถูกเรียกตัวไป พวกเขาต้องเดินทางไปที่ไหนสักแห่งไม่ใช่รึ?
“เอิ่มเจ้าไม่รู้หรือ? ดินแดนพรสวรรค์มีสิทธิ์จำกัด ทุกคนที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องเข้าร่วมการประลอง?” ไป่ชานเหลียงตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่
ซือหยูผงะเขาถามด้วยความสงสัย
“พวกเราจะไม่ได้รับการแนะนำจากตำหนักเมื่อมีสี่ล้านคะแนนหรอกหรือ?”
ไป่ชานเหลียงกระแอมเขาอธิบายอย่างอดทน
“เจ้ายังไม่เข้าใจสี่ล้านคะแนนก็แค่เงื่อนไขที่ตำหนักโลหิตวางเอาไว้ อีกเงื่อนไขก็คือการมีพลังในร้อยลำดับแรกของดินแดนพรสวรรค์”
“มีแค่คนที่ได้สี่ล้านคะแนนในตำหนักเท่านั้นที่จะได้อยู่ในร้อยลำดับแรกการให้หาสี่ล้านคะแนนก็เพื่อทดสอบความภักดีของศิษย์ เพราะมีเพียงคนที่อยู่ในตำหนักมานานเท่านั้นที่จะมีคะแนนจำนวนมากมายเท่านี้”
“มิเช่นนั้นหากศิษย์ที่ไม่รู้ที่มาได้สิทธิ์ที่ควรจะเป็นของศิษย์คนอื่นไป มันคงจะไม่ยุติธรรม”
เขาอธิบาย “ตามกฎที่เซียนมณีตั้งไว้ในอดีตอสูรเนรมิตรหนึ่งคนจะแนะนำได้แค่ห้าสิบคน เจ้าตำหนักม่อกับบุรุษแห่งเมฆาม่วงเป็นอสูรเนรมิตรแค่สองคนในดินแดนพรสวรรค์ ดังนั้นจึงมีแค่ร้อยคนที่จะถูกแนะนำ”