วันถัดมาหลังพิธีราชาภิเษก โรแลนด์ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ทุกคนเป็นครั้งที่สามในห้องประชุมของปราสาท
เนื้อหาหลักในการประชุมก็คือการจัดสรรอำนาจซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ทุกคนให้ความสนใจมาที่สุด
ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนฝั่งที่ถูกต้อง นี่ย่อมต้องเป็นช่วงเวลาที่พวกเขารอคอยมานานอย่างไม่ต้องสงสัย การทำงานให้ผู้ปกครองดินแดนกับการทำงานให้พระราชานั้นเป็นคนละเรื่องกัน โดยเฉพาะหลายๆ คนที่เคยทำงานอยู่ในสำนักงานเมืองมาก่อนย่อมต้องเข้าใจแนวคิดการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของราชาองค์ใหม่มาคร่าวๆ แล้ว การเลื่อนขั้นในครั้งนี้จึงมีความสำคัญสำหรับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้เปลี่ยนจากคนที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นเจ้าหน้าที่คนสำคัญของเกรย์คาสเซิล สิ่งที่พวกเขาต้องดูแลก็ไม่ใช่แค่ดินแดนตะวันตกเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป อิทธิพลของพวกเขาเรียกได้ว่ามากกว่าขุนนางใหญ่ๆ ในอดีตเสียอีก
โรแลนด์ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ความรู้สึก ‘ทะเยอทะยานที่จะปีนขึ้นไปบนฟ้า’ เช่นนี้เกิดขึ้นภายในใจของเจ้าหน้าที่ของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดถึงเรื่องกฎเกณฑ์ตั้งแต่เริ่มประชุม “อันดับแรก ข้าขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารระดับสูงของเกรย์คาสเซิล ในเวลาหลายสิบปีต่อจากนี้ พวกเจ้าจะปกครองอาณาจักรแห่งนี้ไปด้วยกันกับข้า”
“มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บารอฟพูดขึ้นมาเป็นคนแรก เขาเอามือทาบไว้บนหน้าอกพร้อมก้มตัวลง “การได้ทำงานให้ฝ่าบาทนับเป็นเกียรติของพวกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอพระองค์ได้โปรดสั่งการมา พวกกระหม่อมจะพยายามทำเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ!”
ถึงแม้จะพูดถ่อมตัว แต่บนใบหน้าของหัวหน้าสำนักงานเมืองนั้นยิ้มจนหน้าย่นไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขารอคอยเวลานี้มานานมาก
โรแลนด์พยักหน้ายิ้มๆ หลังบอกให้ทุกคนนั่งลงแล้ว เขาจึงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องพูดให้ทุกคนเข้าใจก่อน ที่เรายึดอำนาจศักดินาคืนมาจากพวกขุนนางก็เพื่อที่จะให้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานแทน และการจะรักษาความรุ่งเรืองของอาณาจักรๆ หนึ่งไว้มันก็ขึ้นอยู่กับว่ามีคนที่ีมีความสามารถอยู่กี่คนที่ต่อสู้เพื่อมัน ดังนั้นข้าจึงไม่อยากเห็นพวกเจ้ากลายเป็นขุนนางในอีกรูปแบบหนึ่ง”
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ…” บารอฟรีบพูด “ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าคนรุ่นหลังจะมีความสามารถแบบเดียวกัน ทุกตำแหน่งจึงควรจะคัดเลือกเอาคนที่มีความสามารถที่สุดมารับผิดชอบพ่ะย่ะค่ะ”
หลายๆ คนแสดงออกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของบารอฟทันที
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า โรแลนด์มักจะรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่สำนักงานเมืองชุดนี้นั้นเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้ไม่น้อยทีเดียว แม้แต่คำพูดประจบประแจงก็ฟังดูรื่นหูขึ้น เมื่อมองไปในดวงตาของพวกเขาก็จะเห็นได้ถึงความเคารพยำเกรง ความรู้สึกแตกต่างนี้ทำให้เขาแอบรู้สึกดีอยู่ในใจ
นี่น่าจะเป็นประโยชน์ของการพิธีการล่ะมั้ง
ไม่แปลกที่ทำไมทอว์ฟิคกับการ์เซียถึงได้ทำสงครามกันจนวุ่นวายครึ่งค่อนอาณาจักรเพื่อตำแหน่งนี้
เพียงแต่โรแลนด์ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในอารมณ์แบบนี้นานนัก ถึงแม้จะเป็นราชาที่อยู่สูงเหนือทุกคน แต่ดินแดนที่เขาปกครองก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในทวีปอันกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าเขาพึงพอใจแค่เท่านี้ อย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพวกผู้นำเกาะเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจนไม่มีใครเคยได้ยินชื่อ
โลกนั้นกว้างใหญ่ เขาอยากจะเห็นมัน
“สิ่งที่เจ้าว่ามามันเป็นแค่หนึ่งในเรื่องที่เป็นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น” โรแลนด์มองไปรอบๆ “ความจริงแล้วไม่มีใครที่จะรับประกันได้ว่าจะได้อยู่ในตำแหน่งได้ตลอดไปหรือเปล่า! ความยั่วยวนจากโลกภายนอก การหยุดนิ่งทางความคิด แล้วก็กิเลสที่ขยายตัวอยู่ในใจล้วนแต่สามารถดับอนาคตของคนๆ หนึ่งได้! พวกเจ้า….เองก็ไม่เว้นเหมือนกัน”
เมื่อเขาพูดเสียงดังขึ้น เหล่าเสนาบดีต่างพากันก้มหน้าลงไปทันที
“ดังนั้นการเข้ามาอยู่ในศูนย์กลางการปกครองนี้จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ในทุกปีความสามารถและผลงานของพวกเจ้าต้องถึงมาตรฐานที่กำหนดเอาไว้ หลังจากนั้นจะได้เลื่อนขั้นหรืออยู่ที่เดิม ข้าก็จะใช้มันเป็นตัวตัดสิน” โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “แต่แน่นอนว่ายังมีผลลัพธ์ที่เลวร้ายมากกว่านั้น อย่างเช่นคนที่รู้ตัวว่าไม่มีความสามารถ แต่กลับยังสร้างความเสียหายให้กับอาณาจักร คนๆ นั้นจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง แล้วก็ส่งไปให้ศาลตัดสิน!”
“ฝ่าบาท…” บารอฟถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “ไม่ทราบว่าใครจะเป็นคนเขียนรายงานประเมินนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนั้นเอง” โรแลนด์มองไปทางเขา “ยังมีคำถามอะไรไหม?”
ถึงแม้คนที่จะทำการตรวจสอบจริงๆ จะเป็นไนติงเกลของหน่วยรักษาความปลอดภัย แต่มันจะดีกว่าถ้าเขาบอกทุกคนไปว่าเขาจะเป็นคนจัดการเอง
“ไม่ กระหม่อม…ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้ว่าในใจของทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่” เขาพูดต่อว่า “กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เดิมมันควรจะเป็นเวลาในการกอบโกยผลประโยชน์ แต่ถ้าหลังจากนี้เราต้องมานั่งห่วงหน้าพะวงหลัง แล้วก็พยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้คนจับได้ อย่างนั้นประโยชน์ของการเป็นเจ้าหน้าที่ส่วนกลางมันอยู่ตรงไหนล่ะ สิ่งที่ข้าอยากจะพูดก็คือจริงๆ แล้วเราสามารถทำให้ผลประโยชน์กับการทำงานนั้นมันไม่ขัดแย้งกันได้ ขอเพียงพวกเจ้าทำงานที่ข้ามอบหมายให้สำเร็จ ข้าก็ไม่รังเกียจที่พวกเจ้าจะไปหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง มันก็เหมือนกับการแบ่งขนมปัง ขนมปังยิ่งก้อนใหญ่ ต่อให้ได้รับส่วนแบ่งน้อยแค่ไหน มันก็ยังทำให้อิ่มท้องได้ แต่ถ้าขนมปังมันยิ่งเล็ก ต่อให้กินมันไปทั้งหมดคนเดียวมันก็ไม่มีทางอิ่มได้ ซึ่งคนที่ยิ่งยืนอยู่ใกล้ขนมปังก็จะยิ่งได้รับส่วนแบ่งได้ง่าย ข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะเข้าใจหลักการอันนี้นะ”
ทรัพยากรที่เจ้าหน้าที่จะได้รับนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่เงินเดือนอย่างที่เห็นเท่านั้น แต่มันยังมีเส้นสายและอำนาจที่เป็นต้นทุนที่เหนือกว่าเงินเดือนอยู่ด้วย ถ้าแม้แต่แนวคิดนี้ก็ยังมองไม่เห็น เขาก็ไม่ต้องการคนแบบนี้มาทำงานอยู่ในสำนักงานเมือง
หลักการขับเคลื่อนด้วยท่อนไม้และหัวไชเท้านั้นได้รับการพิสูจน์มาแล้วในประวัติศาสตร์ ถึงแม้มันจะใช้แล้วค่อนข้างติดขัด แต่โรแลนด์ก็เริ่มรู้สึกเคยชินกับมันแล้ว
“ก่อนที่ข้าจะประกาศเรื่องการเลื่อนตำแหน่ง พวกเจ้าสามารถเลือกที่จะลาออกจากตำแหน่งได้ คนที่ลาออกจะได้รับเงินชดเชยก้อนใหญ่ จำนวนของมันมากพอจะให้เจ้าใช้ได้ทั้งชีวิต แต่ถ้าพวกเจ้าเลือกจะอยู่ต่อ พวกเจ้าก็ต้องจำเอาไว้ว่าบนหลังของพวกเจ้านั้นมีภาระหน้าที่อยู่ เอาล่ะ ตอนนี้ตัดสินใจได้!”
ไม่มีใครลุกขึ้น แม้แต่เคโม ชูอิลที่ตอนแรกร่ำร้องว่าอยากจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้ากองอุตสาหกรรมเคมีก็ยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าการรับตำแหน่งมาสองปีทำให้เขารู้ว่าถ้าอยากจะขอเงินงบประมาณมาจากบารอฟ ตำแหน่งหัวหน้ากองนั้นคือสิ่งที่สำคัญมาก
“ดีมาก” โรแลนด์ยิ้มมุมปาก “อย่างนั้นต่อไปก็จะเป็นคำสั่งแต่งตั้งของทุกคน!”
เมื่อเทียบกับสำนักงานเมืองในอดีตแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของระบบการปกครองใหม่ก็คือการเอาเมืองต่างๆ เข้ามาอยู่ในกรอบการดูแลด้วย
เขาจะใช้วิธีการแบ่งของยุคสมัยปัจจุบัน ด้วยการตั้งให้เมืองใหญ่ๆ เหล่านั้นเป็นมณฑล แล้วคอยดูแลอำเภอและหมู่บ้านที่อยู่รอบๆ คนที่ดูแลมณฑลคือผู้ว่าการมณฑล ระดับของตำแหน่งนั้นเท่าเทียมกับหัวหน้ากอง ทุกๆ มณฑลต้องมีการตั้งสำนักบริหารระดับมณฑลขึ้นมา ซึ่งจะอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักบริหารส่วนกลางของเมืองเนเวอร์วินเทอร์
การเปลี่ยนแปลงนี้มีประสบการณ์จากการตั้งสำนักงานเมืองหนึ่ง สอง สามก่อนหน้านี้เป็นฐานให้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ยุ่งยากเท่าไร เพียงแต่งานของหัวหน้าสำนักบริหารจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ในทางกลับกัน อำนาจของเขาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
บารอฟนั้นได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นหัตถ์พระราชาอย่างที่เขาหวังเอาไว้ นอกจากจะคอยดูแลกองการคลังแล้ว เขายังรับผิดชอบประสานงานกับทุกกองด้วย ในฐานะที่เป็นผู้บริหารกลุ่มแรกของเมืองชายแดน อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าสำนักงานเมืองที่ผลิตคนที่มีความสามารถขึ้นมาเยอะแยะมากมาย ตำแหน่งนี้จึงเหมาะกับเขามากที่สุด คำพูดที่พูดขึ้นมาเล่นๆ เมื่อ 4 ก่อน ในที่สุดตอนนี้ก็กลายเป็นจริงแล้ว
นอกจากสำนักบริหารส่วนกลางของเมืองหลวง กองทัพ หน่วยรักษาความปลอดภัย สโมสรแม่มดแล้ว โรแลนด์ยังได้ตั้งหน่วยงานขนาดใหญ่หน่วยงานใหม่ขึ้นมาด้วย นั่นคือ ‘กองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่’
สิ่งที่กองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่แตกต่างจากทีมที่ปรึกษาที่คอยให้คำแนะนำเรื่องการรบเพียงอย่างเดียวก็คือหน่วยงานนี้จะรับผิดชอบในการวางนโยบายนอกอาณาจักรด้วย ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘การวางกลยุทธ์’ ทางกองบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการวางแผนอย่างละเอียด เนื่องจากความแข็งแกร่งของเกรย์คาสเซิลที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสงครามแห่งโชคชะตาที่คืบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเกรย์คาสเซิลกับอาณาจักรดอว์น วูล์ฟฮาร์ท อีเทอร์นอลวินเทอร์และฟยอร์ดหลังจากนี้จะต้องมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งในส่วนนี้จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลมาคอยช่วยเขาควบคุมสถานการณ์
และคนที่จะมารับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองก็คือไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือ เอดิธส์ เคนท์