ในฐานะที่เป็นคนสำคัญของหนังสือพิมพ์ประจำสัปดาห์ของเกรย์คาสเซิล สายข่าวของฮันนี่นั้นมีอยู่ทั่วทุกที เรียกได้ว่าเธอมีความได้เปรียบของโลก้ากับเมซี่อยู่ในตัวคนเดียว ต้นมะกอกที่อยู่ในสวนด้านหลังปราสาทนั้นเป็นเหมือนกับฐานบัญชาการขอเธอ การจะหลบหนีสายตาของเธอนั้นไม่ใช่เรื่องงายเลย

ทว่ามันไม่ได้มีแค่นั้น

เพราะว่าเธอมักจะเป็นคนแรกที่รู้เรื่องที่น่าสนใจภายในเมือง ด้วยเหตุนี้ตอนที่มีการรวมตัวกัน เธอจึกมักจะดึงดูดพี่น้องแม่มดให้มาอยู่ข้างกายได้เป็นจำนวนมากเหมือนอย่างเช่นในตอนนี้

ไม่เพียงแต่ลูน่ากับทีมนักสืบของเธอเท่านั้น แต่ยังมีไนติงเกล เวนดี้กับบุ๊คซึ่งไม่ใช่คนที่เธอจะหลอกล่อได้ง่ายอยู่ด้วย แม้แต่ลีฟที่ไม่ได้ปรากฏตัวเป็นเวลานานอยู่มายืนอยู่ในกลุ่มของพวกเธอด้วย เหมือนว่าเธอกำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่กับฮันนี่

‘ต้องปิดบังความลับที่ตัวเองรู้ ขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องความลับเอาไว้’

ซิลเวียเหลือบมองไปทางอันนาที่อยู่อีกด้านหนึ่ง พร้อมกับคิดถึงคำขอของอันนาขึ้นนา ตอนนี้เธอมีแต่ต้องลุยเข้าไปแล้ว

“นกพวกนี้เป็นยังไงบ้าง?” เสียงของลีฟดังมาเข้าหูเธอทันที “ตอนที่อยู่ในป่าเร้นลับ ข้าเจอนกชนิดใหม่ ขนาดของพวกมันไม่ใหญ่ แต่กลับบินได้เร็วมาก แถมยังใจกล้ามากด้วย มันตัวเดียวกล้าที่จะสู้กับเหยี่ยวที่จะมาขโมยรังของมัน ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะใช้มันได้ ก็เลยพาพวกมันกลับมาด้วย”

เธอเห็นบนไหล่ของเธอมีนกตัวเล็กสามตัวเกาะอยู่ พวกมันกำลังไซร้ไปบนแก้มของลีฟอย่างสนิทสนม ดูแล้วไม่ได้ดุดันเหมือนอย่างที่เธอพูดเอาไว้เลย

“แน่นอน ขอบใจเจ้ามากนะ” ฮันนี่ยื่นมือไปประคองนกเอาไว้อย่างดีใจ “ไม่เจอกันนานขนาดนี้ รู้สึกเหมือนเจ้าจะกลายเป็นครูฝึกนกไปแล้วนะเนี่ย”

“น่าจะเป็นเพราะพวกมันมองว่าข้าเป็นส่วนหนึ่งของป่าล่ะมั้ง” ลีฟพูดยิ้มๆ “แต่จะว่าไป การเปลี่ยนแปลงภายในเมืองทำเอาข้ารู้สึกตกใจจริงๆ นะเนี่ย….ไม่เพียงแต่จะมีตึกเพิ่มขึ้นมาหลายตึก แถมยังมีของแปลกๆ อย่างหนังเวทมนตร์กับหนังสือพิมพ์ด้วย ถ้าไม่เป็นเพราะการบุกเบิกป่าเร้นลับก็มีเรื่องที่น่าสนใจเหมือนกัน ข้าจะต้องรู้สึกอิจฉาพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

“เจ้าน่าจะกลับมาเมืองบ่อยๆ นะ” เวนดี้พูดอย่างอ่อนโยน “ทุกคนต่างก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน”

“ข้าก็คิดถึงพวกท่านเหมือนกัน…” ลีฟทำตาละห้อย “แต่ตอนนี้ในป่าเร้นลับมีแต่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือเท่านั้นที่อยู่ในการควบคุมของหัวใจแห่งป่า ข้าจำเป็นต้องรวมเป็นหนึ่งกับป่าเป็นระยะเวลานานถึงจะชินกับการรับรู้ที่ขยายขึ้นไม่หยุดได้ ถ้าอยากจะควบคุมป่าให้ได้ก่อนที่สงครามจะมาถึง ก็มีแต่ต้องแข่งกับเวลาเท่านั้น…”

“เจ้าคงลำบากแย่เลยนะ” บุ๊คลูบหัวเธออย่างเอ็นดู “ต่อไปก็ให้ไลต์นิ่งเอาหนังสือพิมพ์ส่งไปให้เจ้าก็ได้ เจ้าจะได้รู้ข่าวที่เกิดขึ้นในเมืองเนเวอร์วินเทอร์บ้าง”

“นี่เป็นความคิดที่ดี” ลูน่าพูดขึ้นมา “แต่ว่าสิ่งที่ัเขียนอยู่บนหนังสือพิมพ์นั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้กัน ถ้าเทียบกับอันนี้แล้ว ข้าอยากจะรู้เรื่องความลับที่มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้มากกว่า” เธอมองไปทางฮันนี่ “ถ้าเจ้าเจออะไรเข้า อย่าลืมมาบอกทีมนักสืบนะ พวกเรามีนักสืบที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ รับประกันเลยว่าจะต้องช่วยเจ้าไขปริศนาทั้งหมดได้แน่นอน”

เมื่อได้ยินคำว่าความลับ หัวใจซิลเวียพลันเต้นแรงขึ้นมา

เจ้าโง่นี่ ถามอะไรตรงๆ แบบนั้น! เธอต้องทำยังไงถึงจะเบี่ยงเบนประเด็นได้เนี่ย? ไม่สิ….ถ้าอยากจะพาลูน่าออกมาโดยไม่ทำให้ไนติงเกลกับเวนดี้สังเกตเห็นนั้นถือเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับเธอ!

“อื้อ ก็มีอยู่หลายอันนะ…” ฮันนี่เอียงหัวพูด

“โอ้?” ลูน่าหรี่ตา แล้วรีบถามต่อว่า “อย่างเช่น?”

แย่แล้ว ซิลเวียเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา จะแกล้งเป็นลมหรือแกล้งเมาดี? ตัวเองไม่มีความสามารถในการแสดงแบบนั้นซะด้วยสิ…ขอโทษด้วยนะอันนา ข้าทำเต็มที่แล้ว

“เอ่อ ถึงแม้ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ข้าพูดมันออกมาไม่ได้” ฮันนี่่แลบลิ้นออกมา “โดยเฉพาะห้ามบอกฝ่าบาทโรแลนด์ นี่เป็นคำขอของพี่เวนดี้ นางบอกว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรแปลกๆ ขึ้น ก็ต้องมารายงานนางก่อน”

“เอ๋?” ลูน่ามองเวนดี้อย่างแปลกใจ “นี่ไม่ยุติธรรม!”

เวนดี้กระแอมเล็กน้อย “ที่ข้าทำก็เพื่อสโมสรแม่มด เรื่องบางเรื่อง เจ้าอย่ารู้มันจะดีกว่า”

ซิลเวียถอนหายใจออกมา

เช่นนี้อันตรายสุดท้ายก็กำจัดออกไปได้แล้ว

อย่างนี้เธอก็ถือว่ารักษาความลับเอาไว้ได้สำเร็จ…ใช่ไหม?

ในที่สุดซิลเวียก็ผ่านงานเลี้ยงที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตเธอไปได้

…..

หลังงานเลี้ยงจบลง โรแลนด์พาอันนากลับมาที่ห้องนอน

ตอนนี้ที่นี่ถูกตกแต่งให้กลายเป็นห้องหอของทั้งสองคน ภายใต้แสงเทียนที่วูบไหวไปมา ภาพของหญิงสาวที่มงกุฎสีทองและชุดสีแดงที่สลัวขึ้นกว่าเดิม แต่มันกลับให้ความรู้สึกงดงามที่แปลกออกไป

เขาเดินเข้าไปแล้วถอดมงกุฎที่อยู่บนหัวเธอออกแล้วปล่อยผมเธอลงมา ดวงตาของทั้งสบกัน

ในดวงตาสีน้ำเงินที่เหมือนทะเลสาบ เขามองเห็นคลื่นความรักที่กระเพื่อมอยู่ในนั้น

“เรียกชื่อหม่อมฉันได้ไหมเพคะ?”

“อันนา?”

“ไม่ใช่เพคะ” เธอกะพริบตา “ชื่อเต็มของหม่อมฉัน”

“อันนา วิมเบิลดัน”

“อีกครั้งเพคะ”

“อันนา วิมเบิลดัน”

“เรียกหม่อมฉันสิบครั้งได้ไหมเพคะ?”

โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา “จะให้เรียกกี่ครั้งก็ได้”

เมื่อได้ยินเขากระซิบที่ข้างหูเช่นนี้ สุดท้ายอันนาก็ก้มหน้าลงไปอย่างอายๆ “หม่อมฉันทำแบบนี้….มันแปลกๆ ไหมเพคะ?”

“ก็นิดหน่อย” โรแลนด์บีบจมูกเธอเบาๆ “ต่อไปเจ้าจะได้ยินชื่อนี้จนเบื่อเลย ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีนามสกุลนี้ เจ้าก็ยังเป็นภรรยาข้าอยู่ดี”

ในโลกเดิมก่อนหน้านี้ การแต่งงานไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนามสกุล ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวิธีเรียกหลังแต่งงานมากนัก

“ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่หม่อมฉันกลับรู้สึกว่าแบบนี้ตัวเองถึงจะถือว่าสมบูรณ์แบบ…” อันนาเอามือกุมอกตัวเองไว้ “เหมือนกับว่าหม่อมฉันไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว นี่น่าจะเป็นความสำคัญของพวกพิธีการล่ะมั้งเพคะ…ไม่ว่าจะเป็นการสวมมงกุฎหรือว่าเปลี่ยนวิธีเรียก พวกเราก็ล้วนใช้การเปลี่ยนแปลงจากภายนอกมาทำให้ตัวเรารู้ว่าเราเป็นใคร ถึงแม้ความรู้สึกของคนเราจะไม่จำเป็นต้องใช้พิธีการมาพิสูจน์ แต่ถ้าขาดมันไป ในตอนที่ิคิดถึงมันอีกครั้งก็คงจะต้องรู้สึกเสียใจและเสียดายแน่นอนเพคะ”

“….” โรแลนด์ยื่นมือไปโอบเธอเอาไว้

ในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว

หลังทั้งสองคนคลอเคลียกันครู่หนึ่ง อันนาจึงพูดขึ้นมาว่า “โรแลนด์ หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอพระองค์หน่อยได้ไหมเพคะ?”

ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอร้องเขา

“อื้อ เจ้าว่ามาสิ”

“หม่อมฉันอยากจะรับหน้าที่เป็นหัวหน้ากองอุตสาหกรรมของพระองค์เพคะ”

โรแลนด์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “นี่มันไม่เป็นปัญหาหรอก แต่ว่าทำไมจู่ๆ เจ้าถึง…”

“เพราะว่าหม่อมฉันเป็นแค่หญิงสาวธรรมดาที่มาจากบ้านนอกน่ะสิเพคะ” อันนายิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ตอนนี้จู่ๆ หม่อมฉันก็ได้กลายเป็นราชินีของเกรย์คาสเซิล คงจะมีหลายๆ คนที่รู้สึกไม่พอใจใช่ไหมล่ะเพคะ?”

“วางใจได้ ไม่มีใครกล้ามาพูดมากเรื่องนี้หรอก” โรแลนด์พูดปลอบ

“ถ้าทุกเรื่องต้องให้พระองค์เป็นคนจัดการล่ะก็ มันก็จะเกิดความสงสัยแบบนี้ขึ้นมาไม่หยุด” เธอส่ายหัว “หม่อมฉันไม่อาจเอาแต่หลบอยู่ด้านหลังพระองค์แบบเหมือนก่อน แล้วก็มีความสุขอยู่แต่กับเรื่องที่ตัวเองสนใจได้เพคะ หม่อมฉันอยากจะทำมากกว่านั้น ทำให้คนอื่นไม่อาจพูดอะไรได้อีก”

จากแม่มดที่ไม่มีคนรู้จักกลายเป็นคนที่รับผิดชอบกองอุตสาหกรรมงั้นเหรอ? โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา ข้าก็ไม่เคยคิดที่จะให้เขาอยู่แต่ในสวนด้านหลังที่คับแคบตรงนั้นซักหน่อย…

“อย่างนั้นก็ได้ตามที่เจ้าต้องการเลย ที่รัก”

“ขอบพระทัยที่ทรงตามใจหม่อมฉันเพคะ” อันนาเขย่งเท้าขึ้นมา ก่อนจะจูบเบาๆ ไปที่หน้าผากของเขา “อ้อ ใช่แล้ว พระองค์ยังอยากรู้เรื่องที่หม่อมฉันคุยกับไนติงเกลคืนนั้นอยู่ไหมเพคะ?”

“เอ่อ…” โรแลนด์ชะงักไปเล็กน้อย “ถ้าจะบอกไม่อยากรู้ก็คงไม่ใช่ แต่ว่า…”

“ไม่เป็นไรเพคะ” เธอพูดยิ้มๆ “นั่นเป็นแค่ข้อตกลงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันก็สิ้นสุดลงแล้วด้วย ตอนนี้…อุ้มหม่อมฉันขึ้นไปบนเตียงเถอะเพคะ”

เทียนไขถูกไฟสีดำทำให้ดับลง ความมืดเป็นเหมือนกับผ้าบางๆ ที่บดบังร่างของทั้งสองคนเอาไว้

นี่เป็นค่ำคืนที่มืดสลัวแต่สวยงาม