บทที่ 380
แผนการที่จะหนี
“ไม่ ข้าล้อเล่นน่า เจ้าไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก” มู่หรงพูด
“ขอโทษนะที่ข้ามันเลว” หลินหยางพูด
“ไม่นะ เจ้าจะเอาผลไม้เพิ่มอีกใช่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“ใครอยากจะกินผลไม้ของ…เดี๋ยวนะ ทำไมผลไม้ของเจ้าถึงอร่อยขนาดนี้ล่ะ?” หลินหยางถามอย่างสงสัย
“บอกเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก มันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้าใจได้” มู่หรงพูด
“ถ้าเจ้าไม่บอกแล้วข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะ? บอกมาเถอะ ยังไงตอนนี้มันก็น่าเบื่ออยู่แล้ว”
“เจ้ารู้ไหมว่าในผลไม้นี่มีแสงออร่าอยู่ด้วย ลองดูที่ผลไม้สิ” มู่หรงโบกมือ พลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ก็ปรากฏขึ้น แล้วก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็กลายเป็นเถ้าถ่านในทันที
หลินหยางลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่มีพลังมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
เขาลองดูบ้างแต่ก็พบว่าทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม
“เจ้านี่โง่จริงๆ ที่นี่เจ้าจะเชื่อหรือยังล่ะว่าในนี้มีพลังแห่งจิตวิญญาณ เพียงแค่ว่าโลกข้างนอกกดพลังแห่งจิตวิญญาณของข้าไว้ทุกอย่างก็เลยกลายเป็นแบบนี้” มู่หรงพูดเสียงเรียบ
“อยากทำอะไรก็ทำแล้วกัน ข้าจะไปพักก่อน อีกนานกว่าที่จะได้ออกไปข้างนอก” มู่หรงพูด
หลินหยางกะพริบตา โลกนี้แค่นอนก็กลายเป็นพระเจ้าได้แล้ว แม้แต่หลินหยางเองก็ไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆเขาก็ได้รู้จักอีกโลกหนึ่ง
กลายเป็นว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ในโลกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะมู่หรงเสวี่ย เขาคงไม่มีวันได้รู้จัก
เวลาในมิติลับผ่านล่วงเลยไปวันแล้ววันเล่า หลินหยางไม่ได้พูดอยู่หลายวัน เขากำลังพยายามที่จะคิดอยู่
“เสี่ยวเสวี่ย ข้าเองก็อยากที่จะมอบตัวเองให้กับมิติลับนี้ และก้าวเข้าสู่การฝึกตนเหมือนกับเจ้าบ้าง” หลินหยางพูด
มู่หรงขมวดคิ้ว “แต่เจ้าเป็นองค์จักรพรรดิอยู่ที่นี่นะ เจ้าจะจากไปงั้นเหรอ?”
“ข้าก็คิดเรื่องนี้อยู่ ที่นี่ก็ถูกรวมเป็นหนึ่งแล้ว ดังนั้นก็ไม่เหลือเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องอยู่ต่อแล้ว” ก้าวต่อไปคือต้องตามหาคนที่เหมาะสม
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกแต่ถ้าเจ้าจากมาข้ากลัวว่าราชสำนักจะต้องวุ่นวายแน่ๆ” ถ้าเป็นแบบนี้ ความพยายามก่อนหน้านี้ทั้งหมดของพวกเธอก็จะต้องสูญเปล่าหรือเปล่า?!
“ข้าเชื่อในตัวเพื่อนๆของข้า” หลินหยางพูด
เขาไม่สู้เพื่อชิงดินแดนมาตามลำพัง แต่ร่วมสู้พร้อมกับเหล่าพี่น้องที่ดีหลายคน เขายังเชื่อใจในตัวเหล่าพี่น้องที่ดีพวกนั้นอยู่ เขาเชื่อว่าพวกเขาจะปกป้องดินแดนได้เป็นอย่างดี
“ลองคิดเอาเองแล้วกัน” มู่หรงเสวี่ยไม่พูดอะไรมาก นี่เป็นทางเลือกของเขา เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะแนะนำอะไรมาก
“ข้าคิดมาดีแล้ว” หลินหยางลุกขึ้นและพูดอย่างหนักแน่น
“ในเมื่อเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว และก็ยังมีเวลาเหลือก่อนที่จะต้องกลับออกไป งั้นเจ้าก็ลองดูแล้วกันแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนนะที่เหมาะกับการฝึกตน” มู่หรงเสวี่ยยื่นตำราวิธีการฝึกตนขั้นพื้นฐานให้เขา
คนบางคนทั้งชีวิตก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงเส้นทางการฝึกตนได้
หลินหยางรับตำราวิธีการฝึกตนขั้นพื้นฐานมาถือในมืออย่างระวัง เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะขอให้มู่หรงเสวี่ยพาเขามาถึงประตูขนาดนี้ ยังไงซะของพวกนี้ก็ล้ำค่าอย่างมาก ตอนแรกเขาอยากที่จะหาวิธีเพื่อที่จะฝึกด้วยตัวเอง
สามเดือนต่อมา หลินหยางก็ก้าวข้ามมาถึงระดับชั้นที่ห้าของการระยะการฝึกตนแล้ว ยังไงซะในมิติลับก็มีแสงออร่ามากพอ
วันหนึ่ง มู่หรงเพิ่งจะตื่นขึ้นมา เธอก็เห็นองครักษ์ชุดดำทั้งห้ากำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น ที่ยืนอยู่ข้างๆคือหลินหยางพร้อมด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“มีเรื่องอะไรกันเหรอ?” มู่หรงเดินออกมาและถามอย่างอ่อนโยน
“ได้โปรดกลับไปด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ชุดดำทั้งห้าพูดอย่างหนักแน่น
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าข้าคือองค์จักรพรรดิ?” หลินหยางพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“พวกเราไม่กล้าหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่กล้าอะไร? พวกเจ้าไม่ฟังคำสั่งข้าด้วยซ้ำ พวกเจ้าจะไปที่ไหนก็ได้ที่อยากจะไปและต่อไปก็ไม่ต้องติดตามข้าแล้ว” หลินหยางเดินไปทันทีพร้อมทั้งสะบัดมือ
มู่หรงเสวี่ยเดินตามไปพร้อมทั้งพูดออกมา “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? เจ้าทะเลาะกับพวกเขาได้ยังไงกัน? ปกติแล้วพี่น้องพวกนี้เป็นคนดีมากนิ พวกเขาต่างก็สงบปากสงบคำและทำตามที่เจ้าสั่ง ต่อให้ไม่เป็นจักรพรรดิก็เถอะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เรื่องที่ข้าจะจากไป พวกเขาไม่เห็นด้วยเท่าไร” หลินหยางกำมือแน่นพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างอดกลั้น
“ต้องมีเรื่องผิดพลาดแน่ๆ ข้าเพิ่งจะบอกเจ้าไปไม่ใช่เหรอว่ามันไม่ง่ายหรอกนะที่เจ้าจะทิ้งเรื่องวุ่นวายไว้ข้างหลังแบบนี้” มู่หรงพูด
นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้ราชสำนักสนับสนุน หลินหยางและยังประชาชนทั่วไปอีก
“ไม่มีจิตสำนึก เจ้าจะพูดกับข้าแบบนั้นใช่ไหมล่ะ?” หลินหยางมองมาที่เธอ สายตาไม่ได้ดีเหมือนกับน้ำเสียงที่พูด
“ข้าใจดีพอที่จะบอกความจริงกับเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้คิดดูให้ดีต่างหากล่ะ” มู่หรงพูด
“ไม่ต้องล่ะ ขอบคุณ ข้ารู้ว่าเจ้ามองเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก ไปให้พ้นเลยนะ” หลินหยางมองไปที่เธออย่างไม่พอใจพร้อมทั้งพูดออกมา
“เจ้าคิดถี่ถ้วนแล้วแต่ปัญหาก็ยังมีให้แก้” มู่หรงพูด
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ออกไปได้แล้ว” หลินหยางมองไปที่เธออีกครั้ง
“แต่ เจ้าก็เห็นว่าพวกเขายังนั่งคุกเข่ากันอยู่เลย อย่างน้อยก็บอกให้พวกเขาลุกขึ้นก่อนเถอะ” มู่หรงพูด
อีกอย่างแค่นี่ก็น่าเบื่อพอแล้ว นอกจากการฝึกตนแล้ว หลินหยางก็อยู่คนเดียวตลอด ถ้าเธอไม่คุยกับเขาอีกแล้วใครจะเข้ามาคุยกับเขา
“ถ้าพวกเขาอยากจะคุกเข่า ก็ปล่อยให้คุกเข่าไป!” อันที่จริงใจเขาเองก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร เดิมทีแค่การที่จะต้องจากไปคนเดียวก็ยากมากพอแล้ว ถ้าพวกเขาเลือกที่มาด้วยก็คงจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้เกิดในห้วงเวลานี้ เขายอมรับเลยว่าตัวเองไม่มีความรู้สึกผิดอะไรกับสิ่งที่ทำในโลกนี้เลย อย่างน้อยเขาก็ได้มีส่วนช่วยพัฒนาโลกอย่างที่เขาพูดไว้ตั้งแต่แรก ให้ราษฎรดำเนินชีวิตตามระบอบประชาธิปไตย
เขาทำมามากพอแล้วและควรจะสามารถไล่ตามสิ่งที่เขาต้องการได้แล้ว ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มาครึ่งปี เขาก็เริ่มที่จะเบื่อวงจรชีวิตแบบนี้แล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยกระตือรือร้นในการแสวงหาอายุขัย ในฐานะผู้ชายเขาชอบไล่ตามสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าเสมอ
องครักษ์ชุดดำหลายคนยังไม่ขยับ ถ้าพวกเขาคุกเข่า พวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนใจและคุกเข่าไปตลอดชีวิต จักรพรรดิแบบนี้ควรที่จะอยู่ในห้วงเวลาของพวกเขา
พวกเขายังต้องการที่จะเห็นการพัฒนาของช่วงเวลาไปสู่ศตวรรษใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่องค์จักรพรรดิบอกว่าพระองค์ต้องการที่จะจากไปและทิ้งโลกนี้ไว้กับพวกเขา แบบนั้นพวกเขาจะทนได้ยังไง องค์จักรพรรดิแบบนี้จะเป็นตำนานสำหรับพวกเขาไปชั่วนิรันดร์
มู่หรงเด็ดผลไม้มาสองสามผลและกินเข้าไป เธออยากจะรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ตอนนี้พ่อแม่ของเธอเป็นไงบ้างแล้วน่ะ?
เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้ ถึงแม้ช่วงนี้เธอมักจะปวดหัวอยู่บ่อยๆ แต่เธอก็เห็นเพียงแค่ด้านหลังของผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้นแต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ยังไงซะเธอก็ต้องเดินหน้าต่อ
“ยังไงซะ นายก็ต้องจัดการกับเรื่องพวกนี้ที่นี่” มู่หรงพูดต่อ
“เจ้าก็พูดง่ายสิ เจ้ายังเป็นองค์ราชินีอยู่ เจ้ายังไปไม่ได้ ว่าแต่ข้าลืมไปเรื่องหนึ่ง ถ้าข้าไปไม่ได้เจ้าก็ไปไม่ได้ด้วยเหมือนกัน” หลินหยางพูด
เขาพูดออกมาโดยไม่ได้รู้สึกผิด ทำไมเขาต้องวุ่นวายเรื่องนี้อยู่คนเดียวด้วย พวกเขายังเป็นเพื่อนกันอยู่งั้นพวกเขาก็ควรที่จะแบ่งเบาภาระเมื่อต้องเจอกันปัญหาด้วย
“เจ้า เจ้าไม่, เจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น” มู่หรงพูด
“ฮ่ะ ข้าต้องขอโทษจริงๆ ข้าเป็นคนแบบนั้นแหละ” หลินหยางพูด
ที่ห่างตาของเขาเห็นว่าคนทั้งห้ายังนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ห่าง จู่ๆเขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เขากระโดดลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
มู่หรงกัดแอปเปิลคำสุดท้ายเสร็จแล้วเดินเข้าไปหาคนทั้งห้าที่นั่งคุกเข่าอยู่
“ลุกขึ้น พวกเจ้าคุกเข่าไปเขาก็ไม่เห็นหรอก”
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า จักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ของพวกเขาก็คงจะไม่จากไป พวกเจ้าจ้องมาที่เธอโดยไม่ได้มีความรู้สึกอะไร
“มันคงไม่เห็นแก่ตัวเกินไปใช่ไหมถ้าข้าจะบอกว่าพวกเจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้ว?” มู่หรงนั่งอยู่ที่อีกด้านของก้อนหินและพูดออกมาเสียงเรียบ
คนทั้งห้าไม่ได้ตอบสนองอะไรและทำราวกับว่า มู่หรงเสวี่ยเป็นอากาศธาตุ
แล้วมู่หรงก็พูดออกมาอีก “พวกเจ้าไม่คิดเหรอว่า องค์จักรพรรดิน่าสงสารมากๆ?”
องค์จักรพรรดิจะน่าสงสารได้ยังไง? พระองค์เป็นจ้าวของโลกแล้วคนที่ครองทั้งโลกจะน่าสงสารได้ยังไง คนทั้งห้าก้มหัวต่ำ และไม่ได้สนใจสิ่งที่มู่หรงพูดเลยสักนิด
“พวกเจ้าคงจะคิดว่าเขาเป็นองค์จักรพรรดิคงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องสงสาร แต่พวกเจ้าลองคิดดูดีๆแล้วหรือยัง? บางทีหลินหยางอาจจะไม่ได้อยากที่จะเป็นองค์จักรพรรดิก็ได้ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาไขว่คว้า” มู่หรงพูดออกมาพร้อมทั้งมองไปที่พวกเขา
องค์จักรพรรดิ ชายผู้อยู่เหนือโลกแล้วแบบนี้จะมีใครที่ไม่อยากเป็นได้ยังไง? พวกเขาไม่อยากที่จะเชื่อ
“ทำไม พวกเจ้าไม่เชื่องั้นเหรอ?! อนิจจา น่าสงสาร หลินหยางจริงๆ เขาทำงานเพื่อดินแดนนี้อย่างหนักแต่ก็ยังไม่ดีพอ เขาทำงานอย่างหนักตลอดทั้งวันเพื่อที่จะเป็นองค์จักรพรรดิ เขาขัดคำสั่งพวกผู้อาวุโสมากมาย หลินหยางผู้น่าสงสารจริงๆ” มู่หรงทำเป็นเช็ดน้ำตาที่ไม่มีจริงแล้วพูดต่อ
“พวกเจ้ามันโหดร้าย ข้าไม่อยากที่จะบอกหรอกนะ ยังไงซะพวกเจ้าเองก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมเหมือนกัน พวกเจ้าบอกว่าเพื่อความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิแต่จริงๆแล้วพวกเจ้ามันเห็นแก่ตัวจริงๆ” มู่หรงเห็นคิ้วของคนพวกนั้นเริ่มที่จะคลายจึงพูดออกมาเสียงเรียบ
แล้วเธอก็ลุกขึ้นและเดินออกไป หลินหยางคงจะต้องมีวิธีของตัวเอง
หลินหยางไม่ได้พูดอะไรตอนที่เขาเห็นเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ เขาเพียงแค่หลับตาลงเล็กน้อย เขาคงจะเบื่อที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต เหมือนอย่างที่เขาพูดกับมู่หรงเสวี่ยบนรถม้าก่อนหน้านี้ เขาเต็มไปด้วยความสับสนเกี่ยวกับอนาคต
หลายวันต่อมา เหล่าองครักษ์ชุดดำไม่ได้อ้อนวอน หลินหยางแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของมู่หรงเสวี่ยที่แกล้งแสดงออกมาหรือการที่หลายวันนี้หลินหยางไม่พูดอะไรเลยที่จู่ๆก็เปลี่ยนท่าทีของเหล่าองครักษ์ชุดดำ
อย่างไรก็ตามพวกเขาดูเหมือนจะเงียบอย่างมาก ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะเงียบแต่ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ก็ทำให้รู้สึกหดหู่ราวกับว่าสูญเสียชีวิตชีวาไป บรรยากาศที่อึมครึมกระจายตัวไปทั่วทั้งห้วงมิติ
องค์จักรพรรดิที่พวกเขาอยากจะติดตามกำลังจะไป แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีความสุขแต่องค์จักรพรรดิก็ดูเหมือนไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่เลย
หลังจากที่คิดอยู่หลายวัน พวกเขาก็ไม่อยากที่จะยอมรับความจริงเท่าไรแต่องค์จักรพรรดิก็ไม่ยอมพูดอะไรกับพวกเขา ไม่มีคำสั่งใดๆเลยด้วยซ้ำและนั่นทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
หลินหยางขี้เกียจที่จะมองหน้าพวกเขา เขารู้จักผู้คนที่อยู่รอบๆเขาดีที่สุด อย่างมากพวกเขาก็จะสู้อยู่แค่สองสามวันและสักวันพวกเขาก็จะเข้าใจเขาเอง
เขาอยู่ในห้วงมิติลับนี้มาสองสามปีแล้ว หากจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกอะไรเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้
แต่ถ้าเขาบอกว่าเขาจะกล่าวลา เขาก็จะไม่เปลี่ยนใจ
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเป็นพี่น้องและเพื่อนที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเขาจะจากไปอย่างสงบสุขแบบนี้