บทที่ 381 การจากไป

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 381

การจากไป

หลายวันที่ผ่านมานี้หลินหยางไม่ได้ฝึกตนอย่างหนักกลับเอาแต่เขียนอะไรอยู่

มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าถึงแม้หลินหยางจะบอกว่าเขาจะจากไปแต่เขาเองก็ไม่แน่ใจดังนั้นเขาจึงเอาแต่เขียนความรู้ที่ตัวเองรู้ เพื่อที่จะช่วยในเรื่องการจัดการดินแดนและโลกให้ดีหลังจากที่เขาจากไปแล้ว

องครักษ์ชุดดำทั้งห้าไม่มีพูดอะไรอีก โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นต้นฉบับร่างของหลินหยาง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยน้ำตาแล้วชายทั้งห้าก็ร้องไห้ออกมา

หลินหยางเกิดมาเพื่อเป็นองค์จักรพรรดิและผู้ปกครอง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถเห็นได้จากต้นฉบับเหล่านี้ว่าโลกอันกว้างใหญ่ในความคิดของหลินหยางนั้นมหัศจรรย์เพียงใด เพียงแค่ว่าคนคนนั้นบอกว่าอยากที่จะจากไปและพวกเขาจะตามไปอีกไม่ได้แล้ว นี่จะเป็นการจากชั่วนิรันดร

แต่หลังจากช่วงเวลานี้ผ่านไป พวกเขาเองก็จะเข้าใจความจริง โลกนี้เล็กเกินไปสำหรับองค์จักรพรรดิที่จะพัฒนา พระองค์เหมาะกับโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้

ถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจว่ามันจะเป็นโลกแบบไหน สถานที่ที่จักรพรรดิสามารถติดตามได้ต้องเป็นเวทีที่กว้างและมีมนต์ขลังมากกว่าโลกของพวกเขา

หลินหยางเห็นคนพวกนั้นร้องไห้แต่กลับยังรู้สึกเศร้าในใจอย่างอธิบายไม่ได้ ยังไงซะพวกเขาก็เป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา เขาไม่เคยมองคนพวกนี้เป็นลูกน้องเลย เขาอยากที่จะเรียกคนพวกนี้ว่าครอบครัวมากมาย

มู่หรงเองก็รู้สึกตื้นตันอยู่นิดหน่อย นี่คือมิตรภาพที่แท้จริง

เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับในชีวิตที่แล้วแต่ทุกอย่างมันก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้งแล้วและเธอเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องไปในทิศทางที่ดีขึ้น นี่จะต้องเป็นอนาคตที่ดีกว่าเดิม

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

สุดท้ายพวกเขาก็ไปถึงยอดเขา องครักษ์ชุดดำทั้งห้าไม่ได้ตามพวกเขาขึ้นมาด้วย ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันถัดมาหลินหยางก็ยื่นต้นฉบับร่างให้พวกเขาพร้อมทั้งสัมภาระและอาหาร พร้อมด้วยพระราชกฤษฎีกาแล้วบอกให้พวกเขาลงเขาไป

ก่อนหน้านี้มู่หรงเสวี่ยยังพูดเรื่องนี้ไว้เป็นพิเศษแล้วว่าเรื่องนี้อาจจะล้มเหลว ยังไงซะก็ไม่มีใครการันตีได้ว่าเธอจะได้พบกับพวกท่านหลังจากที่อุโมงค์ห้วงเวลาเปิดออก

หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ องครักษ์ชุดดำทั้งห้าก็ไม่ค่อยเต็มใจที่จากไปเท่าไร สุดท้ายพวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะรออยู่ที่ตีนเขา ถ้าหลังจากนี้หนึ่งเดือนพวกเขาไม่เห็นหลินหยางกลับลงมา พวกเขาก็จะกลับไป

อันที่จริงพวกเขาต่างก็หวังให้หลินหยางลงมา ดังนั้นพวกเขาจึงรออยู่ที่ตีนเขาอย่างมีความหวัง องค์จักรพรรดิควรที่จะอยู่กับพวกเขา

อย่างไรก็ตามองค์จักรพรรดิไม่ยินดีที่จะอยู่เท่าไร

หลินหยางและมู่หรงเสวี่ยกำลังยืนอยู่บนยอดเขา เดิมที มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะเรียกเฟิงจือหลิงออกมาด้วยแต่เขายังขังตัวเองอยู่ในห้อง ดูเหมือนว่าจะมีสัญญาณของการพัฒนาบางอย่างดังนั้นเธอจึงไม่ได้เรียกเขาออกมา

มันสำคัญมากที่จะต้องผ่านจุดวิกฤตินี้ไม่ให้ได้ บางคนเมื่อถูกขัดจังหวะอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายพื้นฐานของการฝึกตนได้และสุดท้ายพวกเขาก็จะไม่สามารถทำลายกำแพงที่ดีที่สุดของชีวิตได้

“ถึงแล้วล่ะ” หลินหยางก้มหัวลงและพูดกับมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและจับมือเขา

ไม่มีใครรู้ว่าการข้ามอุโมงค์ห้วงเวลาจะเป็นยังไง ถ้าพวกเธอไม่จับกันไว้ให้แน่นตอนที่ข้ามพวกเธอก็อาจจะหลงกันได้ บางทีอาจจะไปโผล่คนละห้วงเวลาอีกเพราะกระแสของห้วงเวลา

มันไม่สำคัญหรอกว่าเธอจะไปที่ไหนแต่เพราะระดับการฝึกตนของหลินหยางในตอนนี้ ถ้าเขาหลุดเข้าไปในดินแดนของการฝึกตน เธอก็เกรงว่าเขาจะกลายเป็นพวกชนขั้นล่างขึ้นมาทันที

หลินหยางกรีดนิ้วตัวเองด้วยกริซ แล้วก็วาดรูปอักษรรูนแปลกๆในอากาศ เลือดสีแดงลอยอยู่ในอากาศ เมื่อหลินหยางเขียนอักษรรูนเสร็จแสงสีทองก็แวบออกมาและลำแสงก็เปล่งลงมา

“ประตูแห่งห้วงเวลาเปิดแล้ว!” หลินหยางตะโกน

เสียงของมังกรดังขึ้นมา “กรร!”

เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ปีกขนาดใหญ่พัดจนเกือบจะเป่ามู่หรงเสวี่ยกระเด็น

เหล่าองครักษ์ชุดดำที่อยู่ที่ตีนเขาต่างก็เงยหน้ามองขึ้นมาบนยอดเขาด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ถ้าพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง พวกเขาก็คงจะไม่เชื่อแน่ๆ ที่ด้านบนคือมังกรสีทองขนาดใหญ่กำลังบินล่องอยู่บนท้องฟ้า ดูทรงพลังและดุดันอย่างมาก แล้วหลุมหลากสีขนาดใหญ่ก็ค่อยๆถูกเปิดออก

มู่หรงจับมือหลินหยางไว้แน่น ปีกของมันใหญ่มากๆ เท้าของมันสั่นคลอนอยู่เล็กน้อย

หลินหยางกอดไปที่เอวของมู่หรงเสวี่ย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องประเพณีอะไร

คนทั้งสองคนมองดูรูที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในอากาศ พร้อมกับเสียงคำรามที่ทำให้หูหนวกได้ หัวใจของมู่หรงเต้นรัวด้วยความกังวล จะสำเร็จหรือเปล่าขึ้นอยู่กับช่วงเวลานี้แล้ว

“รอเดี๋ยว อย่าขัดขืนและอย่าปล่อยมือข้า” มู่หรงพูด

หลินหยางพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขารับรู้แล้ว

ไม่นานทันใดนั้นพวกเขาก็ถูกดูดเข้าไปในหลุมบนท้องฟ้าด้วยแรงดูดมหาศาล หลินหยางกอดมู่หรงไว้แน่น

ภายในวัฏจักรของโลกคือรัศมีที่มีสีสันแวบเข้าตาจะพร่ามัวไปหมด

มู่หรงแทบจะไม่กล้าที่จะลืมตาด้วยซ้ำ หลินหยางก็ด้วย ร่างของทั้งสองแนบชิดกันแน่น มือที่จับกันแน่นจนน่าทึ่ง มู่หรงเสวี่ยพยายามไม่ปล่อยให้ตัวเองสลบภายใต้แรงอันยิ่งใหญ่นี้แต่สุดท้ายก็สลบไปจนได้ พวกเขาล่องลอยไปรอบๆอุโมงค์

องครักษ์ชุดดำทั้งห้าคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมทั้งเฝ้ามองพระมหากรุณาธิคุณขององค์จักรพรรดิด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา น้ำตาล่วงลงกับพื้นแล้วก็หายไปในทันที

เสียงของมังกรค่อยๆจางหายไปช้าๆ หลุมขนาดใหญ่ก็ค่อยๆปิดลงด้วยเช่นกัน

ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาเลย

ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่พวกเขาถืออยู่ในมือ พวกเขาก็คงจะสงสัยว่าตัวเองฝันไปหรือเปล่า

ที่อีกด้าน

“แม่คะ แม่คะ ตรงนี้มีคนอยู่ด้วยสองคน” เด็กสาวร้องบอก อายุน่าจะประมาณ 16

“ชูว์ เบาเสียงลงหน่อย” หญิงสาวรีบเดินเข้ามาและเอามือปิดไปที่ปากของเด็กสาว

ด้วยท่าทางที่ซูบผอมของหญิงสาวก็มองออกเลยว่าชีวิตของพวกเธอคงจะไม่สุขสบายเท่าไร

“ไปกันเถอะ อย่าไปสนใจเรื่องที่ไม่ควรสนใจเลย” น่าเสียดายที่ชายหญิงที่นอนอยู่กับพื้นกอดกันแน่น จึงไม่รู้ว่าตายแล้วหรือยัง อีกอย่างในสถานที่แบบนี้ ทุกครั้งที่มีคนนอกเข้ามามันจะต้องไม่ใช่เรื่องดี ตอนนี้ปีศาจกำลังอาละวาด จึงควรที่จะสนใจแค่เรื่องตัวเองและอย่าไปสนใจเรื่องอื่น เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเสียอะไรไปบ้าง

ยังไงซะพวกเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีฝีมือในเรื่องการฝึกตน ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบมากมายขนาดนี้

ถึงแม้ท่าทางของคนทั้งสองจะไม่ได้ดูโหดร้ายหรือร้ายกาจอะไร แต่ก็ไม่มีใครรับรองได้ว่าพวกเขาจะไร้พิษสง

ครอบครัวของเขาทนรับปัญหาอะไรเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว ครั้งที่แล้วที่พวกเป็นเซียนแวะมา สามีของเธอช่วยคนพวกนั้นตามหาหินแห่งจิตวิญญาณ และเมื่อพวกเขาเจอแค่เพียงไม่กี่ก้อน พวกเซียนก็หักขาเขาในทันที หลังจากนั้นชีวิตก็พวกเธอก็ลำบากมาตลอด

ดังนั้นพวกเธอจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องความเป็นความตายของคนอื่นหรอก

“แม่คะ แต่พวกเขาน่าสงสารมากเลยนะ…” เด็กสาวพูด

เธอมองไปที่ผู้ชายที่กำลังนอนอยู่ที่พื้นอย่างอึกๆอักๆ ส่วนผู้หญิงอีกคนเธอแทบจะไม่สนใจเลย

เธอไม่เคยเห็นผู้ชายที่หล่อเหลาขนาดนี้มาก่อน

ในหมู่บ้านมีแต่พวกผู้ชายที่ตากแดดตากลมมาอย่างยาวนาน จึงไม่มีใครที่จะดูดีได้เหมือนกับหลินหยาง

“แม่คะ แม่คะ ถ้าเราช่วยแค่ผู้ชายล่ะ? แบบนั้นได้ไหม?” เด็กสาวอ้อนวอน

หญิงสาวเขกไปที่หน้าผากของเด็กสาวหลายครั้ง “สองคนนี้ดูเหมือนจะเป็นสามีภรรยากันนะ ไม่ต้องคิดอย่างอื่นเลย” เธอเป็นแม่แล้วจะไม่รู้ว่าลูกสาวกำลังคิดอะไรได้ยังไง จึงเฝ้าจับตามอง พวกเด็กสาวมักจะหลงไปกับรูปร่างภายนอก

เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาดีก็ต้องหวั่นไหวได้ง่ายๆ แต่เมื่อผู้หญิงขึ้นมาถึงอายุที่ไม่สนใจเรื่องรู้ร่างหน้าตาแล้วแบบเธอ ความหล่อจะช่วยอะไรได้? ความหล่อมันกินไม่ได้ ต้องหาคนที่ขยันทำงานสิ

“ไม่ ไม่ได้ ทุกคนในครอบครัวเราต่างก็ต้องทำงาน ถ้าเราช่วยเขา เขาก็คงจะไม่สำนึกบุญคุณด้วยซ้ำ” เธอพูดอย่างไม่ลังเลในขณะที่เดินไป

หญิงสาวขมวดคิ้ว แค่นี้ครอบครัวของเธอก็ลำบากมากแล้ว แต่เมื่อดูจากเสื้อผ้าของพวกเขาก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มาจากแถวนี้แน่ๆ เธอรู้สึกว่าไม่ควรที่จะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับเรื่องพวกนี้ และหลังจากที่คิดอยู่สักพัก หญิงสาวก็ยังส่ายหัว “ไม่ ไปกันเถอะ”

เด็กสาวเบ้ปาก เธอไม่อยากที่จะแต่งงานกับไอ้วัวโง่ที่เป็นหัวหน้าของหมู่บ้าน ไอ้วัวโง่ไม่ได้สูงอย่างที่เธอคิด ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยแผล

ถึงแม้เธอจะบอกว่าตัวเองไม่ใช่เทพธิดา แต่เธอก็เป็นเด็กสาวที่หน้าตาดีที่สุดในหมู่บ้าน

เธอเพ้อฝันถึงวันที่จะมีเจ้าชายรูปงามขี่ม้าขาวมาหาเธอมาตลอด วันนี้เธอได้เจอกับเขาแล้ว ถึงแม้จะไม่มีม้าสีขาวแต่เขาก็หน้าตาดีอย่างมาก ถ้าเธออยากที่จะแต่งงาน เธอก็ควรที่จะได้แต่งกับผู้ชายแบบนี้

“แม่ ข้าจะไม่ไป” เด็กสาวยื้อต้นไม้ใหญ่ไว้ไม่ยอมที่จะไปไหน

หญิงสาวดึงมือเธออย่างรุนแรง “เจ้าไม่ไป ไม่เชื่อฟังแม่แล้วใช่ไหม? ถ้าไม่ไปงั้นแม่จะหักขาเจ้าเดี๋ยวนี้เลย” เธอหยิบไม้ยาวมาจากที่ข้างถนนและทำท่าที่กำลังจะตีเธอ

เด็กสาวเกาะต้นไม้และร้องออกมาตลอดเวลา แม่จะตีเธอจริงๆได้ยังไง แท่งไม้แตะไปที่ร่างของเด็กสาวเบาๆซึ่งไม่เจ็บปวดเลยสักนิด

เด็กสาวร้องไห้โหยหวนราวกับว่าตัวเองกำลังจะตาย หญิงสาวมองไปที่ลูกสาวตัวเองอย่างปวดหัวและโทษตัวเองที่ตามใจเธอมากเกินไป ตอนนี้เธอก็โตเกินกว่าที่จะสั่งสอนได้แล้ว

เสียงร้องไห้ดังมากและถ้ามีใครผ่านมาก็คงจะดึงดูดความสนใจได้ไม่ยาก

“ก็ได้ๆ แม่ลูกสาว โอเค ไม่ต้องร้องไห้แล้ว เจ้าอยากจะทำอะไรก็ตามใจเลย”

เด็กสาวหยุดร้องไห้และเช็ดน้ำตาด้วยหลังมือตัวเอง “ขอบคุณท่านแม่” ชาติที่แล้วเธอคงจะติดค้างเด็กสาวนี่ไว้มากแน่ๆ

หญิงสาวเดินตรงไปที่หลินหยางและมู่หรงเสวี่ยที่กำลังนอนอยู่ที่พื้น พยายามที่จะแยกพวกเขาออก แต่ทั้งสองกอดกันแน่นจนแยกไม่ออกเลย

ทั้งสองเป็นคนรักกัน หญิงสาวขมวดคิ้วและเริ่มที่จะคิดว่าตัวเองไม่อยากที่จะสร้างปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง

เด็กสาวกระทืบเท้าพร้อมทั้งกัดปาก ผู้หญิงคนนี้สวยมาก

“แม่หนู ลืมซะเถอะ ไปกันเถอะ สองคนนี้เป็นคู่รักกัน ต่อให้เราช่วยพวกเขาแล้วเราจะทำอะไรได้?” เมื่อกี้เพราะมู่หรงเสวี่ยหันหลังให้พวกเขา เธอจึงเห็นหน้าตาของเธอไม่ชัด เธอนั่งยองๆลงและมองอย่างใกล้ชิด แล้วเธอก็ได้เห็นว่าชายหนุ่มกอดร่างนี้ไว้แน่นและลูกสาวของเธอก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ไม่มีหวังเลยสักนิด

“ไม่ ท่านแม่ ข้าเป็นเมียน้อยเขาก็ได้” เธอยอมเป็นเมียน้อยเขาดีกว่าตั้งไปเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลดาเนี่ยล

หญิงสาวจ้องไปที่เธออย่าดุดันพร้อมทั้งพูดออกมา “ไม่รู้จักละลายใจบ้างเลยนะ ข้าบอกได้เลยนะว่าจะมีแต่คนเขาหัวเราะเยาะเอาได้”

เด็กสาวเบ้ปาก ผิวขาวนวลของเธอดูสวยและน่ารักมาก

“แม่พูดกับข้าว่าไงนะ? แม่ไม่เห็นหรือไงว่าที่ผู้หญิงคนนี้ยังเกาะผู้ชายเลย” สิ่งที่สำคัญคือเธอคิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะต้องเป็นสามีในอนาคตของเธอ ต่อให้พวกเขาเป็นสามีภรรยากันก็เถอะ

มู่หรงเสวี่ยและหลินหยางยังไม่ฟื้นเพราะแรงกระแทกจำนวนมากของกระแสห้วงเวลาและมิติ

“มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่สามารถยึดเกาะกันได้ อีกอย่างพวกเขากอดกันแน่นขนาดนี้งั้นก็จะต้องเป็นสามีภรรยากันอย่างแน่นอน การไปแยกพวกเขาออกจากกันมันเป็นเรื่องที่ผิดอย่างมาก” มันเป็นเรื่องยากที่เธอจะลืมมโนธรรมของตัวเอง

เด็กสาวพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “บางทีพวกเขาอาจจะเป็นพี่น้องกันก็ได้นะท่านแม่ ท่านรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาต้องเป็นสามีภรรยากัน” อย่างไรก็ตามความคิดนี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงอยากที่จะพาทั้งสองคนนี้กลับไปพร้อมกันด้วยเพราะถ้าไม่ช่วยพวกเขาก็คงจะต้องตายแน่ๆและในเมื่อเธอช่วยพวกเขาไว้ ถ้าเธออยากที่จะเป็นเมียน้อย เขาก็คงจะไม่ปฏิเสธเธอหรอก