บทที่ 535 การต่อสู้จะพิสูจน์ทุกอย่างเอง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 535 การต่อสู้จะพิสูจน์ทุกอย่างเอง

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดเล่น

 

 

นั่นคือความตั้งใจจริงของเขาหากวันนี้ตนเองต้องหลบหนีกลับไปจากจวนผู้ว่า

 

 

เด็กหนุ่มตั้งมั่นว่าจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ชาวทะเลได้เรียนรู้รสชาติความเจ็บปวดของการมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์บนแผ่นดินใหญ่

 

 

มันจะกลายเป็นมหันตภัยร้ายแรงที่ยุทธภพไม่เคยพบเจอมาก่อน

 

 

สำหรับกับมือกระบี่เช่นหลินเป่ยเฉิน ต่อให้ไม่ต้องพูดคำขวัญประจำใจอย่างเช่น ‘ลูกผู้ชาย 10 ปีแก้แค้นยังไม่สาย’ ออกมา แต่การกระทำของเขาย่อมเป็นการบอกแล้วว่าหลินเป่ยเฉินหมายความตามที่พูดจริงๆ

 

 

เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง

 

 

ไม่ว่าจะวางยาพิษ

 

 

ไม่ว่าจะลอบสังหาร…

 

 

หลินเป่ยเฉินยินดีทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชาวทะเลในเมืองหยุนเมิ่งต้องสำนึกเสียใจที่มามีเรื่องกับเขา

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีสถานะเป็น ‘ผู้ที่ถูกเลือก’

 

 

วิญญาณของเทพีกระบี่เคยสถิตอยู่ในร่างเขามาแล้วถึง 2 ครั้ง

 

 

ตราบใดที่เขายังคงมีเหมืองแร่หินอยู่ในมือ หลินเป่ยเฉินก็สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากเทพีกระบี่ได้ตลอดเวลา

 

 

เพราะฉะนั้น ชาวทะเลจึงรับทราบข้อมูลทั้งหมดนี้เช่นกัน และพวกเขาก็ย่อมรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินมีความน่ากลัวขนาดไหน

 

 

คำว่า ‘น่ากลัว’ ยังไม่สามารถบรรยายพิษสงของหลินเป่ยเฉินออกมาได้ครบถ้วนด้วยซ้ำ

 

 

“กราบเรียนองค์หญิง ข้าขอแนะนำให้เราปล่อยตัวพวกของอานมู่ซีดีกว่าขอรับ เพราะการฆ่าฟันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง” เฒ่าทะเลหันไปประสานมือพูดกับเกี้ยวทองคำ “ถ้าอยากแก้ปัญหา พวกเราต้องมองหาวิธีการอื่น”

 

 

“วิธีการอื่นอย่างนั้นหรือ?”

 

 

หนึ่งในนักรบชาวทะเลที่อยู่บนหลังม้าน้ำยักษ์ส่งเสียงหัวเราะเหยียดหยามแทรกขึ้นมา

 

 

เฒ่าทะเลหันกลับมามองหน้าพวกของหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “วิธีการแก้ปัญหาเรื่องนี้ก็คือ หากเจ้าพ่ายแพ้ในการประลองอีก 10 วันข้างหน้า อานมู่ซีต้องส่งมอบสูตรยาบำรุงตราหมีขี่เสือมาให้พวกเรา ในเมื่อเจ้ากล้าเดิมพันชีวิตกับแม่ทัพอู๋หยา เรื่องแค่นี้ก็คงไม่เป็นไรกระมัง?”

 

 

“ส่งมอบสูตรยา?”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันกลับไปมองหน้าเถ้าแก่อานโดยทันที

 

 

ยาบำรุงของอานมู่ซีมีชื่อเสียงโด่งดังถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

 

 

แม้แต่ชาวทะเลก็ยังอยากได้สูตรการปรุงยา?

 

 

ให้ตายสิ

 

 

หรือว่าการที่ชาวทะเลบุกโจมตีเมืองหยุนเมิ่งในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการสูตรยาบำรุงของอานมู่ซี?

 

 

ถ้าอย่างนั้นก็คงหมายความว่าบุคคลสำคัญของพวกชาวทะเลน่าจะมีปัญหาสมรรถภาพทางเพศเสื่อมถอยกระมัง…

 

 

มิน่าล่ะ ถึงได้ลงมือโจมตีอย่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน

 

 

อย่าบอกนะว่านี่คือสงครามที่เกิดขึ้นเพราะ ‘ยาปลุกกำหนัด’ เพียงตัวเดียว?

 

 

เพียงหลินเป่ยเฉินคิดถึงเรื่องนี้…

 

 

“เจ้าสมควรตกลง”

 

 

เฒ่าทะเลพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “วันนี้เจ้าจะสามารถช่วยเหลือผู้คนกลับออกไปได้มากมาย และความผิดที่เจ้านำขบวนประท้วงมารบกวนความสงบสุขของจวนผู้ว่า ก็จะได้รับการให้อภัย ท่านแม่ทัพอู๋หยารับปากแล้วว่าจะให้เวลาเจ้า 10 วันได้ฟื้นฟูร่างกายของตนเอง เพราะฉะนั้น ข้าขอรับปากว่าพวกเจ้าจะได้เดินทางกลับไปโดยสวัสดิภาพ”

 

 

“ตกลงขอรับ”

 

 

อานมู่ซีเป็นคนที่ให้คำตอบออกมา

 

 

การมีชีวิตรอดคือสิ่งสำคัญที่สุด

 

 

หากสูตรยาของเขาสามารถช่วยชีวิตคนได้นับหมื่นคน มันก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่า

 

 

อีกอย่าง อานมู่ซีเชื่อมั่นว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องเป็นฝ่ายชนะในการต่อสู้กับแม่ทัพฉลามแน่นอน

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดว่า “เถ้าแก่อานว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น แต่พวกท่านสมควรปล่อยตัวอาจารย์เถียนเถียนกับอาจารย์ฉุยหมิงโหลวของข้ากลับมาด้วยเช่นกัน”

 

 

เฒ่าทะเลพยักหน้ารับปาก “ไม่มีปัญหา…”

 

 

“ช้าก่อน”

 

 

แม่ทัพฉลามคลื่นทมิฬอู๋หยาหัวเราะเยาะขึ้นมาทันที “คิดว่าสูตรยาต่ำต้อยของเจ้าจะสามารถแลกเปลี่ยนกับชีวิตของพวกเราได้อย่างนั้นหรือ? พวกเราชาวทะเลเป็นลูกหลานเทพเจ้า มีสถานะสูงส่งยิ่งกว่ามนุษย์โสโครกมากนัก เจ้าคิดว่าตนเองมีค่าคู่ควรที่จะมาเจรจาต่อรองกับพวกข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

 

พูดจบก็หันไปมองหน้าเฒ่าทะเลและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เผ่าพันธุ์แมวน้ำทะเลถือเป็นสายพันธุ์ยักษ์ใหญ่ในมหาสมุทร มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นที่รักใคร่ของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล แล้วเหตุไฉนแม่ทัพแมวน้ำอย่างท่านถึงได้เข้าข้างมนุษย์ผู้ต่ำต้อยเช่นนี้? หรือว่าท่านเดินทางขึ้นบกบ่อยมากเกินไป จนกลายเป็นพวกเดียวกับมนุษย์ไปเสียแล้ว?”

 

 

กลายเป็นพวกเดียวกับมนุษย์อย่างนั้นหรือ?

 

 

นับว่าพูดได้ดี

 

 

ไม่มีคำเหยียดหยามใดจะทำลายภาพลักษณ์เฒ่าทะเลได้ดีมากไปกว่านี้อีกแล้ว

 

 

หลินเป่ยเฉินจ้องมองการเผชิญหน้ากันของแม่ทัพใหญ่ทั้งสองคน

 

 

เฒ่าทะเลพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “การยึดครองที่นองเลือดไม่ใช่การยึดครองที่แท้จริง การที่เราจะเผยแพร่ความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลบนแผ่นดินใหญ่ได้นั้น จำเป็นต้องสร้างผ่านผู้ศรัทธาที่แท้จริง มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา พวกเขาสามารถยึดครองแผ่นดินใหญ่ได้เป็นเวลาช้านาน การที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อของพวกเขา ก่อนอื่นเราต้องเน้นสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวในฐานะมิตรคู่ค้า มิใช่ไล่ล่าสังหารด้วยความเป็นศัตรู”

 

 

“ฮ่าๆๆๆๆ…”

 

 

แม่ทัพฉลามอู๋หยาได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ “เหลวไหล มนุษย์ผู้ต่ำต้อยพวกนี้มีค่ามากพอจะเป็นผู้ศรัทธาในตัวเทพเจ้าแห่งท้องทะเลตั้งแต่เมื่อไหร่? ท่านแม่ทัพแมวน้ำ คำพูดของท่านทำให้พวกเราชาวทะเลดูแย่ รู้หรือไม่ว่าท่านกำลังทำให้ศักดิ์ศรีของชาวทะเลต้องมัวหมอง”

 

 

“ฉลามบ้าเลือดอย่างเจ้าต่างหากที่ทำให้ชาวทะเลต้องมัวหมอง”

 

 

เฒ่าทะเลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

“ท่าน…”

 

 

แม่ทัพฉลามใบหน้ากระตุกด้วยความเดือดดาล

 

 

“เอาล่ะ เลิกโต้เถียงกันเสียที”

 

 

คลื่นพลังสีทองแผ่กระจายออกมาอีกครั้งพร้อมเสียงที่ดังออกมาจากหลังม่านสายน้ำในเกี้ยวทองคำ

 

 

“ไม่ว่ามนุษย์จะมีค่าคู่ควรที่จะเป็นผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลหรือไม่ การต่อสู้ในอีก 10 วันข้างหน้าจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ทุกอย่างเอง”

 

 

เสียงพูดขององค์หญิงแห่งท้องทะเลดังก้องกังวานไปทั่วลานจัตุรัส

 

 

“ชาวทะเลนับถือแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้น”

 

 

“มีแต่ผู้แข็งแกร่งที่พวกเราชาวนักรบทะเลจะให้ความเคารพ”

 

 

“อีก 10 วันข้างหน้า พวกเราจะจัดการประลองขึ้นที่ลานจัตุรัสแห่งนี้ โดยแบ่งผู้ประลองออกเป็นห้าคู่ ฝ่ายไหนสามารถเก็บชัยชนะได้สามในห้าคู่ ให้ถือว่าเป็นผู้ชนะโดยทันที”

 

 

“หากนักรบชาวทะเลเป็นฝ่ายชนะ นับจากนี้ไป ชาวเมืองหยุนเมิ่งจะต้องเปลี่ยนศาสนาหันมานับถือเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และมากราบไหว้ที่รูปปั้นเทพเจ้าของพวกเราทุกๆ วัน มิฉะนั้นแล้ว ชาวเมืองทุกคนจะถูกสังหาร แม้แต่เป็ดไก่สักตัวก็ไม่มีเหลือรอด”

 

 

“แต่ถ้าฝ่ายมนุษย์เป็นผู้ชนะ ความผิดที่พวกเจ้ากระทำในวันนี้จะถือเป็นโมฆะ และนับจากนี้ไป จะไม่มีผู้ใดบังคับให้ชาวเมืองต้องเปลี่ยนมานับถือเทพเจ้าองค์อื่นอีก”

 

 

เสียงพูดที่ฟังไพเราะเสนาะหูดังกังวานไปทั่วลานจัตุรัส ถ้อยคำถูกกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นไม่ต่างจากขุนเขายักษ์ใหญ่

 

 

“องค์หญิงคิดดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? เผ่าพันธุ์ฉลามของข้าน้อย…” เมื่อแม่ทัพฉลามอู๋หยาได้ยินคำตัดสินขององค์หญิงแห่งท้องทะเล เขาก็แสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยออกมาทันที

 

 

“เจ้าไม่มั่นใจว่าพวกของตนเองจะสามารถเอาชนะพวกของหลินเป่ยเฉินได้อย่างนั้นหรือ?”

 

 

เสียงขององค์หญิงถามกลับมา

 

 

แม่ทัพฉลามคลื่นทมิฬถึงกับไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป

 

 

องค์หญิงแห่งท้องทะเลกล่าวต่ออีกครั้ง “การต่อสู้ 10 วันหลังจากนี้ ให้รวมเจ้ากับหลินเป่ยเฉินเป็นหนึ่งในห้าคู่ประลองเหล่านั้นด้วย ดังนั้น ข้าจะมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจให้เจ้าใช้ได้เต็มที่ว่าจะเลือกผู้ใดเป็นตัวแทนออกไปต่อสู้บ้าง และมันก็เป็นการตัดสินใจของเจ้าอีกเช่นกัน ว่าจะยอมรับมนุษย์เหล่านี้เป็นสาวกของเทพเจ้าแห่งท้องทะเลหรือไม่”

 

 

“องค์หญิงจะให้ข้าน้อยเป็นผู้ตัดสินใจหรือขอรับ?”

 

 

ดวงตาของแม่ทัพฉลามใหญ่เป็นประกายแวววาว “องค์หญิงพูดจริงนะขอรับ?”

 

 

“สามหาว”

 

 

เฒ่าทะเลพลันหันมาตวาดเสียงดัง “องค์หญิงไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกเจ้า อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เชื่อคำพูดขององค์หญิง?”

 

 

แม่ทัพฉลามอู๋หยาคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ประเสริฐ กราบเรียนองค์หญิง ข้าน้อยจะนำพาความภาคภูมิใจมาสู่เผ่าพันธุ์ชาวทะเลของพวกเราให้ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าน้อยอยากจะขอร้ององค์หญิงเป็นกรณีพิเศษ สำหรับเรื่องราวการประลองที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 วันข้างหน้า ข้าขอออกคำสั่งห้ามมิให้แม่ทัพแมวน้ำเข้ามาก้าวก่ายเป็นอันขาด”

 

 

“ย่อมได้ แม่ทัพแมวน้ำจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในครั้งนี้”

 

 

องค์หญิงแห่งท้องทะเลกล่าวตอบอย่างแช่มช้า

 

 

ได้ยินดังนั้น แม่ทัพฉลามอู๋หยาก็ฉีกยิ้มด้วยความสาแก่ใจ

 

 

เขาเฝ้ารอโอกาสที่จะได้ฆ่ามนุษย์ต่อหน้าต่อตาเฒ่าทะเลมานานแล้ว

 

 

ยิ่งเฒ่าทะเลพยายามห้ามปรามการฆ่ามนุษย์มากเท่าไหร่ อู๋หยาก็ยิ่งอยากฆ่ามนุษย์มากขึ้นเท่านั้น เขาไม่ชอบใจที่แม่ทัพแมวน้ำผู้นี้เห็นสายพันธุ์อื่นดีกว่าสายพันธุ์ของตนเอง ฉลามหนุ่มอยากจะเปลี่ยนแผ่นดินใหญ่ให้กลายเป็นแหล่งอาหารของชาวทะเล และในที่สุด โอกาสดีงามเช่นนี้ก็มาถึงแล้ว

 

 

อู๋หยามั่นใจว่าเมื่อการต่อสู้ในอีก 10 วันข้างหน้าจบลง พวกมนุษย์บนแผ่นดินใหญ่จะไม่เหลือผู้แข็งแกร่งอยู่อีกต่อไป

 

 

“นับว่าองค์หญิงเมตตาเจ้ายิ่งนัก”

 

 

แม่ทัพฉลามอู๋หยาหันมากวาดสายตามองหน้าพวกของหลินเป่ยเฉิน ดวงตาที่เหมือนเม็ดถั่วขนาดใหญ่เป็นประกายวาววับด้วยความอำมหิต “แต่การต่อสู้ในอีก 10 วันหลังจากนี้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รู้เองว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยขนาดไหน พวกเจ้าไปคัดเลือกตัวแทนทั้งห้าคนมาให้ดีเถอะ แล้วก็สั่งเสียบุคคลอันเป็นที่รักให้เรียบร้อยซะด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้พวกเจ้ามีโอกาสต่อสู้ แต่สุดท้ายเดี๋ยวก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี”

 

 

หลินเป่ยเฉินคำรามตอบกลับไปว่า “ปล่อยตัวคนออกมาได้แล้ว”

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น

 

 

ฉุยหมิงโหลวกับเถียนเถียนก็ถูกลากออกมาจากด้านในจวนผู้ว่าด้วยสภาพบาดเจ็บสาหัสครึ่งเป็นครึ่งตาย

 

 

บุรุษหนุ่มทั้งสองคนถูกโยนลงมากองอยู่แทบเท้าหลินเป่ยเฉิน

 

 

“แล้วท่านเจ้าเมืองฉุยอยู่ที่ใด?”

 

 

ฉู่เหินถามออกมาด้วยความร้อนใจ

 

 

แม่ทัพฉลามอู๋หยาหัวเราะเยาะด้วยความขบขัน “คนแซ่ฉุยผู้นั้นลาออกจากตำแหน่งไปนานแล้ว เขาถึงกับยอมสละบ้านเมืองและละทิ้งบุตรชายของตนเองหนีไปโดยไม่สนใจใยดี อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ายังไม่รู้เรื่องนี้?”