ตอนที่ 19 แม่บ้านร่างเล็กแห่งยอดเขาเร้นลับ โดย Ink Stone_Fantasy
เมื่อมีไห่อวิ๋นฟานทำตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ทั้งสองฝั่งก็เลิกโต้เถียงและเริ่มลงมือกินอาหารที่อยู่บนโต๊ะ
อาหารหลากหลายถูกรังสรรค์จากหัวหน้าแม่ครัวของโรงอาหารยอดเขาเสรี ทั้งสีสัน กลิ่นและรสชาตินั้นเอร็ดอร่อยเสียจนถูกอกถูกใจเหล่าศิษย์ที่ต้องอดทนกับโรงอาหารของยอดเขาเร้นลับมาเนิ่นนาน โดยเฉพาะกับศิษย์พี่หญิงหลิวหลีที่ไร้เดียงสา ระหว่างกินนางเอาแต่เอ่ยปากชมไม่หยุด “เนื้อหั่นบางที่อร่อยมาก เยี่ยมที่สุด ไม่เหมือนอาหารของที่นี่ ล้วนแต่เป็นเศษสวะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวังลู่ก็ปรายตาไปมองหญิงสาวชาวตะวันตกที่ทางเข้าโรงครัว ซึ่งได้ยินคำพูดนี้เช่นเดียวกันและกำลังมีสีหน้าเศร้าหมองอยู่ เขาส่งกำลังใจผ่านสายตาไปให้นาง ทว่าอาย่าไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งในท่าทางนั้น และหันหลังเดินเข้าครัวไป
ไม่นานหลังจากพวกเขาเริ่มกิน เมื่อรู้ว่าเวลาใกล้จะหมดแล้ว หวังลู่ก็วางตะเกียบลง อีกฝ่ายไม่อาจกินอิ่มได้หากไม่ได้ต่อปากต่อคำ
แน่นอนว่าศิษย์พี่สี่แห่งสำนักเซียนหมื่นเวทขมวดคิ้วและกล่าวขึ้น “ปกติพวกสำนักกระบี่วิญญาณกินอะไรเช่นนี้หรือ”
หวังลู่อยากตอบกลับไปว่า ‘เราแทบน้ำลายท่วมปากเพราะอาหารเหล่านี้ แต่ก็ต้องระงับอาการไว้เพราะยัยอาย่าขี้แพ้นั่น”
ทว่าสิ่งที่ออกมาจากปากเขากลับเป็น “พวกมันมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ”
ลู่เฉียนไช่ส่งเสียงฮึ “มีอะไรผิดปกติ? ลองดูอาหารที่อยู่บนโต๊ะนี่สิ ดูภายนอกทั้งกลิ่น รูปลักษณ์และรสชาตินั้นเยี่ยมยอด หนำซ้ำยังปรุงจากวัตถุดิบชั้นดี ไม่พร่องวัตถุดิบวิญญาณระดับสูงหรือแม้แต่วัตถุดิบเซียน ทว่าแม่ครัวกลับไปไม่เข้าใจเรื่องการจับคู่ทางโภชนาการ จนทำให้เกิดข้อผิดพลาดในวิธีการปรุงอาหารบางจาน ซึ่งทำให้คุณค่าทางโภชนาการทั้งหมดถูกทำลายไป ลำพังแค่การจับคู่อาหารบนโต๊ะนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลแล้ว หากอาหารเหล่านี้ถูกเตรียมให้กับคนธรรมดา แค่ได้ลิ้มชิมรสมันก็คงเพียงพอ ทว่าอาหารเหล่านี้มีเพื่อผู้บำเพ็ญเซียน จึงนับได้ว่าเป็นโต๊ะที่มีแต่ขยะโดยแท้”
หวังลู่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีใครห้ามเจ้าให้ห่ออาหารมาเองนี่ หากเจ้าคิดว่าอาหารเหล่านี้ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เจ้าก็แก้ไขเองก็ได้ บ่นแม่ครัวไปจะมีประโยชน์อะไร”
ลู่เฉียนไช่อับจนคำพูดในทันใด ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงกล่าวออกมา “เช่นนั้นแปลว่าแม่ครัวของที่นี่ไม่เป็นมืออาชีพ”
“เหลวไหล หากไม่ใช่โรงเรียนสอนทำอาหารในอาณาจักรเก้าแคว้นแล้ว แม่ครัวมืออาชีพจะเรียนจบจากที่ใดกัน สำนักกระบี่วิญญาณของเราไม่ใช่ร้านขายข้าวสารอย่างเจ้านะ”
ลู่เฉียนไช่กล่าวอย่างฉุนเฉียว “นี่เจ้าพูดว่าสำนักเซียนหมื่นเวทของเราเป็นร้านขายข้าวสารเช่นนั้นหรือ”
“ฟังแล้วแสลงหูหรืออย่างไร เช่นนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก็ได้ มาพูดเรื่องเด็กผู้หญิงวัยขบเผาะกันดีกว่า เจ้าว่าดีไหม”
“เจ้า!”
ระหว่างที่ทั้งสองต่อปากต่อคำกันอยู่นั้น พี่ใหญ่ของสำนักเซียนหมื่นเวทก็ไม่อาจนิ่งเงียบต่อไปได้ เขาวางชามข้าวและตะเกียบลง จากนั้นก็พูดด้วยเสียงกดต่ำ “ในเรื่องนี้นั้น พวกเจ้าทำพลาดอย่างมหันต์ จากการวิจัยล่าสุดของพันธมิตรหมื่นเซียน อาหารของผู้บำเพ็ญเซียนมีส่วนสำคัญอย่างมากในการบำเพ็ญเซียน สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนนั้น นอกจากการหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าตัวทุกๆ วันแล้ว อาหารยังเป็นแหล่งพลังอิทธิฤทธิ์ที่สำคัญอย่างมาก ดังนั้นมันจึงไม่ควรถูกมองข้าม ผู้บำเพ็ญเซียนที่รู้จักกินถือเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่มีคุณภาพ สำนักที่รู้จักกินก็ถือเป็นสำนักที่มีคุณภาพ สำหรับเรื่องนี้ สำนักกระบี่วิญญาณของเจ้าถือว่าต่ำกว่ามาตรฐาน เห็นได้ชัดว่ามีแต่สิ่งไม่เอาไหน”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หวังลู่กลับยักไหล่ไม่เห็นด้วย “กลุ่มคนไม่ได้เรื่องอย่างพวกเจ้าต้องการพูดเรื่องอาหารการกินต่อหน้าสำนักกระบี่วิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของเรางั้นหรือ”
“น่าขำสิ้นดี เป็นพวกเจ้า เหล่าคนเถื่อนต่างหากที่ไม่คู่ควรจะพูดเรื่องอาหารการกิน เจ้า…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ หวังลู่ก็ตบมืออย่างแรง “ดี ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับ งั้นเรามาแข่งกัน”
จ้านจื่อเย่อึ้งไป “ขะ แข่ง? แข่งอะไร”
“แน่นอนว่าต้องเป็นแข่งกิน ส่วนวิธีในการแข่งนั้น สำนักเซียนหมื่นเวทคงจะมีวิธีอยู่แล้วละมั้ง”
จ้านจื่อเย่ขมวดคิ้ว “ใครจะมีวิธีพรรค์นั้นกัน”
หวังลู่หัวเราะเบาๆ “เจ้าบอกว่าเรื่องอาหารเป็นเรื่องสำคัญ เจ้ายังบอกอีกว่าสำนักที่รู้เรื่องการกินถือเป็นสำนักที่มีคุณภาพ แต่เจ้ากลับไม่รู้วิธีแข่งกินเช่นนั้นหรือ”
สำนักระยำสุนัขที่ไหนที่รู้วิธีพรรค์นั้นกัน
ทว่าก่อนที่จ้านจื่อเย่จะคิดข้อแก้ตัวได้ทัน หวังลู่ก็กล่าวเสริม “ไม่มีปัญหา เช่นนั้นก็ใช้วิธีของสำนักกระบี่วิญญาณของเราก็แล้วกัน”
แม้จ้านจื่อเย่จะยังงงเป็นไก่ตาแตก แต่เขาก็รู้ดีว่าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง “ใช้วิธีของเจ้า?”
“ทำไม ก็ไหนเจ้าคุยโตนักหนาว่ารู้เรื่องอาหารการกินแถมยังภูมิอกภูมิใจเรื่องความก้าวหน้าด้านวิชาการของสำนักตัวเอง เช่นนั้นก็ใช้กฎของเราเพื่อเอาชนะเราให้ได้สิ ในเมื่อเจ้ามาไกลหลายพันลี้จากแคว้นภาคตะวันออก เหตุใดจึงต้องเกรงกลัวการแข่งขี้ปะติ๋วเช่นนี้ด้วย”
วาจายั่วยุของหวังลู่นั้นเป็นผล ก่อนที่จ้านจื่อเย่จะทันเอ่ยปากพูด ศิษย์พี่สามเจ้าเจียงยวันก็ตอบกลับอย่างโมโห “ใครกลัวใครกันแน่ เราจะใช้วิธีของเจ้าก็ได้ ว่ามาเลย”
หวังลู่กล่าวตอบ “ดี งั้นก็ตกลง งั้นตอนนี้ไปเชิญผู้อาวุโสมาเป็นพยานก่อน”
จากนั้นเขาก็เหลือบสายตาไปด้านข้าง ที่โต๊ะหลัก ผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักวางตะเกียบและเลิกพูดจาตลกขบขันใส่กันไปนานแล้ว สายตาของพวกเขาจับจ้องมาที่หวังลู่ จ้านจื่อเย่ และคนอื่นๆ บนโต๊ะ
ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณคาดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีเรื่องเช่นนี้ขึ้น พวกเขาจึงดูไม่อนาทรร้อนใจนัก ทว่าหยวนฉาวเหนียนกลับขมวดคิ้วและรู้สึกสังหรณ์อยู่ในใจ ตั้งแต่ที่พลาดท่าจากการแสดงเมื่อตอนเช้า เขาก็รู้ว่าสำนักกระบี่วิญญาณได้ขุดหลุมที่รับรองได้ว่าพวกเขาต้องตกลงไปแน่ๆ เอาไว้นานแล้ว และเมื่อดูจากท่าทีมั่นอกมั่นใจของพวกเขาในคราวนี้ เป็นไปได้สูงว่าสิ่งนี้จะเป็นอีกกับดักหนึ่ง
ทว่าสิ่งที่จ้านจื่อเย่พูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลแม้แต่น้อย สำหรับข้อสงสัยเรื่องอาหารการกิน สำนักเซียนหมื่นเวทได้ทำการวิจัยเชิงลึกไว้นานแล้ว หนำซ้ำศิษย์ที่ถูกเลือกให้มาที่นี่ยังได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ ในเรื่องนี้นั้น พวกเขาถือเป็นแถวหน้าของพันธมิตรหมื่นเซียน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสำนักกระบี่วิญญาณที่จะเอาชนะพวกเขาในประเด็นเรื่องอาหาร
แน่ละว่ามันยากแสนยากสำหรับสำนักกระบี่วิญญาณที่จะเอาชนะในด้านนี้ บรรยากาศแห่งวิชาการของสำนักเซียนหมื่นเวทช่างเข้มข้นนัก กระทั่งว่าพวกเขาทำวิจัยด้วยตัวเองจนเกือบครบทุกแขนงแล้ว
หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว หยวนฉาวเหนียนก็พูดขึ้น “ช่วยบอกกฎการแข่งให้ฟังหน่อยได้ไหม”
หวังลู่กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “กฎแบบละเอียดเป็นเช่นนี้ หากท่านคิดว่ามันไม่ยุติธรรม เช่นนั้นจะยกเลิกการแข่งนี้ก็ย่อมได้”
พูดจบหวังลู่ก็ยื่นกระดาษซื่อสัตย์ปึกใหญ่ให้หยวนฉาวเหนียน ผู้อาวุโสรับมาอย่างระมัดระวังพร้อมกับสงสัยในใจ ‘กฎประเภทไหนกันถึงได้หนาขนาดนี้’ ทว่าเมื่อเขาเปิดดูคร่าวๆ เขาก็เลิกคิ้วพลางอุทานเสียงดัง “เป็นความคิดที่วิเศษมาก!”
ด้วยตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณของเขา เพียงแค่ชำเลืองมอง เขาก็สามารถอ่านตัวหนังสือนับหมื่นที่หวังลู่อุตสาหะเขียนขึ้นมาทั้งหมดได้ และด้วยสัญชาตญาณของนักปราชญ์ เขาก็รับรู้ถึงความงดงามของมันได้ทันที ทว่าทันทีที่เขาเปล่งเสียงออกมา หยวนฉาวเหนียนก็ตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังทำตัวเสียมารยาท เขากระแอมเสียงดัง ขมวดคิ้ว ทวนกฎดูอีกรอบ… ไม่ใช่ว่ากฎนี้ทำให้สำนักเซียนหมื่นเวทเสียเปรียบ ตรงกันข้าม ตามความเห็นของหยวนฉาวเหนียน กฎที่ซับซ้อนเช่นนี้กลับเอื้อประโยชน์ให้สำนักเซียนหมื่นเวทด้วยซ้ำ แม้ว่าสำนักกระบี่วิญญาณจะฝึกฝนเรื่องนี้มามากเพียงไร สำนักเซียนหมื่นเวทก็ยังเหนือกว่าอยู่ดี
หนำซ้ำกฎนี้เพิ่งเขียนได้ไม่นานนัก ดูได้จากหมึกที่ยังไม่แห้งสนิท นั่นแปลว่าคนของสำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้เตรียมพร้อมในเรื่องนี้สักเท่าไร แต่ทว่า… เช่นนั้นแล้วพวกเขาเอาอะไรมามั่นใจเล่า
หยวนฉาวเหนียนสังเกตหวังลู่ด้วยสายตาที่สงสัยอีกครั้ง ที่เขาเห็นคือใบหน้าสุขุมและมั่นใจ แม้จะถูกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณพินิจพิเคราะห์อยู่ แต่สีหน้าของอีกฝ่ายก็ยังคงนิ่งเฉย
แน่ละว่านี่เป็นเพราะหยวนฉาวเหนียนไม่ได้ใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมและพลังอิทธิฤทธิ์ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นถิ่นของสำนักกระบี่วิญญาณ ด้วยฐานะผู้อาวุโสจากอีกสำนักที่เป็นฝ่ายมาเยือน การทำเช่นนั้นกับศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าบ้านรังแต่จะทำให้ทุกคนไม่พอใจ… ทว่าเขาเองก็สามารถมองออกว่าความมั่นใจของหวังลู่นั้นไม่ได้กลวงเปล่า
ดังนั้นหยวนฉาวเหนียนจึงไม่มีอะไรจะกล่าว เขาส่งปึกกระดาษซื่อสัตย์ต่อให้จ้านจื่อเย่ ความเร็วในการอ่านของพวกเขาไม่ถือว่าช้า ไม่นานนักทั้งห้าก็อ่านกฎที่ว่านี้จนจบ
พี่ใหญ่จ้านจื่อเย่พยักหน้า “ข้าไม่มีปัญหากับกฎนี่”
เจ้าเจียงยวันมั่นอกมั่นใจเสียยิ่งกว่าศิษย์พี่ของตน “วางใจเถอะ อาจารย์ ศิษย์จะไม่ทำให้อาจารย์เสียหน้าแน่นอน”
ลู่เฉียนไช่จอมเลือดร้อนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “กฎของการแข่งนี้น่าสนใจ อาจารย์โปรดยอมให้พวกเราทั้งห้าลงแข่งด้วยเถอะ”
เย่เฟยเฟยและไห่อวิ๋นฟางไม่ได้กล่าวอะไร แถมฝ่ายหลังยังมีรอยยิ้มขบขันฉาบอยู่บนใบหน้าตลอดเวลาอีกด้วย
เขาคิดในใจ ‘โอ้ เหล่าศิษย์พี่เอ๋ย พวกท่านยังเยาว์นัก หากเป็นข้า เพียงได้เห็นใบหน้าเช่นนั้นของหวังลู่ แค่คิดจะหนีก็เกรงว่าจะไม่ทันเสียแล้ว เหตุใดพวกท่านจึงกระตือรือร้นที่จะโดดลงบ่อโคลนกันเล่า’
ทว่าเขาเองก็ได้เห็นกฎนั้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหวังลู่เขียนมันขึ้นมาเอง ต่อให้ไม่มีการโต้เถียงกันที่โต๊ะอาหารก่อนหน้านี้ แค่จุดดีของกฎนี้เพียงอย่างเดียว ศิษย์ผู้พร้อมด้วยคุณสมบัติของสำนักเซียนหมื่นเวทไม่ว่าคนใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้
หวังลู่เกาถูกจุดที่เหล่าศิษย์พี่ของเขากำลังคันอยู่พอดิบพอดี
เมื่อเห็นท่าทีของเหล่าศิษย์แล้ว หยวนฉาวเหนียนก็ลังเลอยู่เพียงครู่ “เช่นนั้นก็ดี พวกเจ้าจะแข่งก็เอาเถอะ”
สำนักกระบี่วิญญาณรอคำนี้มานานแล้ว ทันทีที่หยวนฉาวเหนียนอนุญาต หวังลู่ก็ยิ้มและตบมือ “เช่นนั้นมาจัดเตรียมสถานที่กัน” เหล่าผู้อาวุโสหลายคนที่โต๊ะหลักลุกออกจากเก้าอี้ย้ายโต๊ะไปด้านข้างเรียบร้อยแล้ว
ที่ใจกลางโรงอาหารเปิดโล่งพร้อมสำหรับการแข่งขัน หลังจากที่โต๊ะหลักถูกย้ายออกไป มันก็ถูกแทนที่ด้วยโต๊ะรูปไข่ขนาดใหญ่กว่ามาก ที่บนโต๊ะไม่มีจานอาหาร แต่กลับเป็นไพ่สิบสำรับ
เหล่าศิษย์ของทั้งสองสำนักนั่งตามลำดับที่เบื้องหน้าสำรับไพ่เหล่านั้น แม้ศิษย์จากสำนักกระบี่วิญญาณจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับสิ่งนี้ แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ฝึกซ้อมมาแล้วหลายครั้ง จึงไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย ศิษย์แห่งสำนักเซียนหมื่นเวทแสดงข้อได้เปรียบด้านวิชาการของพวกเขาอย่างเต็มที่ หลังจากทบทวนกฎในใจอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็เลือกตำแหน่งที่นั่งอย่างมั่นใจ
ไม่นานนัก หลังจากดูว่าทั้งสองฝ่ายเตรียมพร้อมเรียบร้อย หยวนฉาวเหนียนก็กล่าวออกมา “เริ่มได้”
ศิษย์ทั้งสิบต่างเปิดสำรับไพ่และหยิบไพ่ทั้งสิบใบที่อยู่ในนั้นออกมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่คนอื่นกำลังตรวจดูไพ่ที่อยู่ในมือ เจ้าเจียงยวัน ศิษย์พี่สามจอมวางหมากของสำนักเซียนหมื่นเวทก็ดึงไพ่ใบหนึ่งออกมาและตะโกนขึ้นอย่างไม่ลังเล “บะหมี่เนื้อตุ๋น”
สิ่งที่อยู่บนไพ่ที่เขาชูขึ้นคือชามบะหมี่ร้อนกรุ่น ที่มุมซ้ายบนของไพ่มีตัวหนังสือเขียนว่า ‘ห้าสิบคะแนน’ ข้างใต้ลงมามีตัวเลขสามเขียนด้วยสีแดง เลขห้าเขียนด้วยสีเหลือง และเลขหนึ่งเขียนด้วยสีเขียว
อึดใจถัดมา ชามบะหมี่เนื้อตุ๋นก็ปรากฏต่อหน้าเจ้าเจียงยวัน จากนั้นเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาและโกยลงไปที่ก้นชาม ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ไปที่ตะเกียบ เขาขยับตะเกียบลึกลงไปในชาม คีบบะหมี่ทั้งหมดขึ้นมา จากนั้นก็อ้าปากกว้างจนขากรรไกรผิดรูป แล้วกลืนบะหมี่หมดทั้งก้อนลงไป
เจ้าเจียงยวันเพิ่งจะกลืนบะหมี่เนื้อตุ๋นทั้งหมดลงไปภายในคำเดียว จากนั้นตัวเลขห้าสิบเลขสามสีแดง เลขห้าสีเหลืองและเลขหนึ่งสีเขียวก็ปรากฏขึ้นบนศีรษะของเขา แถมยังมีจำนวนอื่นที่ต่างสีกันเช่น เทา ดำ และน้ำตาล ปรากฏขึ้นมาด้วย ทว่าพวกมันทั้งหมดเป็นเลขศูนย์
นี่คือกฎพื้นฐานของการแข่งขันในครั้งนี้ ผู้เล่นต้องใช้ไพ่ในการสั่งอาหาร และหลังจากกินอาหารจานนั้นแล้ว คะแนนและจำนวนอื่นๆ ที่อยู่บนไพ่จะปรากฏบนศีรษะของคนผู้นั้น สิ่งที่เรียกว่าจำนวนอื่นๆ ก็คือคุณค่าทางโภชนาการของอาหารชนิดนั้นๆ ไพ่ทั้งสิบบรรจุอาหารที่แตกต่างกัน ทั้งยังมีคะแนนและแต้มคุณค่าทางโภชนาการที่ต่างกันด้วย วิธีที่ผู้เล่นจะเอาชนะการแข่งในครั้งนี้คือต้องมีแต้มคุณค่าทางโภชนาการสูงสุดและมีการจับคู่โภชนาการอย่างเหมาะสมอีกด้วย
แล้ว ‘คะแนน’ มีหน้าที่อะไร ง่ายมาก คะแนนนี้มีไว้ซื้อไพ่ใบอื่นๆ ไพ่ทั้งสิบบนมือผู้เล่นเป็นอาหารธรรมดาทั่วไป เช่น บะหมี่เนื้อตุ๋น บะหมี่ผักดอง บะหมี่ไก่ตุ๋นใส่เห็ด… พวกเขาต้องสะสมคะแนนจากไพ่เหล่านี้เพื่อซื้อไพ่ใบใหม่ ตอนที่ซื้อไพ่ใบใหม่ก็มีปัจจัยมากมายให้ต้องพิจารณา
เช่นสัดส่วนความคุ้มค่าต่อราคา โจ๊กเนื้อไข่เยี่ยวม้าใช้หนึ่งร้อยคะแนน เนื้อปรุงสุกสี่ชั่งก็ใช้หนึ่งร้อยคะแนน หากมองในแง่ราคา จานก่อนหน้ามีสัดส่วนความคุ้มค่าต่อราคาที่สูงกว่า ทว่าคุณค่าทางโภชนาการของจานหลังนั้นสูงกว่าจานแรกมาก ผู้เล่นแต่ละคนจะมีมุมมองที่แตกต่างกันว่าความคุ้มค่าต่อราคาสำคัญกว่าหรือคุณค่าทางโภชนาการสำคัญกว่า ผู้เล่นต้องสะสมคะแนนให้มากพอจึงจะสามารถซื้อไพ่ในระดับสูงที่ทั้งคุ้มค่าและมีโภชนาการสูงได้ ทว่าพวกเขาจะต้องกินเพื่อที่จะสะสมคะแนน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อาจละเลยเรื่องพื้นฐานและต้องจดจ่อเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย
นอกจากนั้น พวกเขายังต้องคำนึงถึงรสชาติของอาหารอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ซุปปลาเผ็ดร้อนเสฉวนอาจมีคะแนนและคุณค่าทางโภชนาการสูง ทว่าหากอาหารจานนั้นใส่พริกไทยไร้เทียมทานมาด้วย จะกินดีหรือไม่กินดี ผู้เล่นก็ต้องใคร่ครวญอย่างหนักทีเดียว…
สุดท้ายแล้ว ผู้เล่นก็ต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงเฉพาะของอาหารจานนั้นด้วย ตัวอย่างเช่น
บางจานเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย และบางจานก็มันย่องเสียจนหากกินเข้าไปแล้วจะรู้สึกผะอืดผอมไปอีกครึ่งวัน ส่วนบางจานก็อาจทำให้ผายลมออกมาบ่อยๆ…
ด้วยหลักการนี้ สิ่งพื้นฐานที่สุดแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ความสามารถในการคำนวณแต่เป็นความสามารถในการกิน แม้ผู้เล่นจะคำนวณคะแนนและแต้มคุณค่าทางโภชนาการอย่างระมัดระวังเพียงใด แต่หากคนผู้นั้นไม่มีความอยากอาหารมากพอ ไพ่ในมือย่อมไร้ความหมาย… นี่คือการแข่งขันเพื่อหาคนที่มีกระเพาะใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง
ทว่าสิ่งนี้คือจุดที่สำนักเซียนหมื่นเวทชื่นชอบที่สุด ในหมู่พวกเขาทั้งห้า จ้านจื่อเย่มีขั้นตบะสูงสุดก็จริง ทว่าอีกสี่คนก็มีความชำนาญที่แตกต่างกันไป จุดแข็งของเจ้าเจียงยวันอยู่ที่การกิน เขามีความอยากอาหารมากเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อได้รับไพ่ เจ้าเจียงยวันจึงรีบสั่งอาหารโดยไม่คิดอะไรมาก ก่อนที่คนอื่นๆ จะสำรวจไพ่ของตัวเองเสร็จ เขาก็กินบะหมี่เนื้อตุ๋น อาหารชามแรกไปหมดแล้ว แปลว่าทางฝั่งพวกเขานั้นได้เปรียบอยู่
แต่อึดใจถัดมา สีหน้าของเจ้าเจียงยวันก็เปลี่ยนไป เขาดูทุรนทุรายอย่างมาก
เมื่อเห็นดังนั้น หวังลู่ก็เหยียดยิ้มอยู่ในใจ
เจ้าโง่เอ๊ย! อาหารในการแข่งขันครั้งนี้เป็นฝีมือของอาย่า!
…………………………………….