ฮึ่ย…
มองไปยังทิศทางของวังหลวง อวี้จิงเหลยก็ทอดถอนใจยาว
“ฝ่าบาท พระองค์ใช้วิธีการ ‘ชั่วร้าย’ เช่นนี้ พวกเรายังจะเป็นฮ่องเต้กับขุนนางได้อย่างสนิทใจอยู่อีกหรือ”
หลังจากที่ได้ข่าวว่าอวี้จิงเหลยกลับมาแล้ว อวี้เฟยเยียนก็รีบโผลเข้าไปหาด้วยความคิดถึง
“ท่านปู่ ท่านปู่กลับมาเสียที หลานคิดถึงท่านปู่จะแย่อยู่แล้ว!”
“ฮ่าๆ! ปู่ก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน!”
อวี้จิงเหลยรูปร่างสูงใหญ่ เขาถึงกับใช้สองมืออุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นมาราวกับเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น!
“มา ให้ปู่ดูหน่อยสิ! ผอมลงไป! เรื่องราวที่เกิดขึ้นปู่ได้ยินมาแล้ว เจ้าคงเหนื่อยแย่เลยสินะ!”
“ที่ไหนกันท่านปู่ ตอนนี้ผอมหน่อยต่างหากถึงนับว่าสวย!”
อวี้เฟยเยียนแก้มแดงระเรื่อ จ้องมองอวี้จิงเหลยด้วยความดีใจ
“ท่านปู่ ท่านป้าสามตั้งครรภ์แล้ว ข้าก็จะได้เป็นพี่สาวแล้วใช่ไหมคะ! ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง! นี่ข้าตั้งหน้าตั้งตารอเลยทีเดียว!”
เดิมทีอวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนียนซีตั้งใจจะเดินทางกลับมาพร้อมกับอวี้จิงเหลย
เพียงแต่ระหว่างทางมู่เหนียนซีตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์
เมื่อไตร่ตรองแล้วว่านี่เป็นท้องแรก สามเดือนแรกจึงค่อนข้างอันตราย อวี้จิงเหลยจึงให้อวี้เชียนเสวี่ยหยุดพักก่อน รอจนกระทั่งครรภ์ของมู่เหนียนซีแข็งแรงดีแล้วค่อยเดินทางต่อ
เมื่อเอ่ยถึงมู่เหนียนซีตั้งครรภ์ อวี้เชียนเสวี่ยจะเป็นพ่อคน อวี้จิงเหลยก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก!
แต่ไหนแต่ไรมาสกุลอวี้ก็มีลูกหลานไม่มาก เช่นนั้นข่าวนี้นับว่าเป็นข่าวที่น่ายินดีมากเลยทีเดียว!
ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ดีทั้งนั้น!
อวี้จิงเหลยไม่เคยมีความคิดว่าผู้ชายจะสำคัญกว่าผู้หญิงเลย
‘ดูสิ!’
หลานสาวของเขาอวี้เฟยเยียน เป็นหญิง แต่เรื่องที่นางกระทำได้แม้แต่ผู้ชายบางคนยังเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!
“รอให้ท่านป้าสามกลับมา ข้าจับชีพจรตรวจให้นางก็รู้แล้ว!”
ระยะนี้อวี้เฟยเยียนค่อนข้างยุ่งกับงาน เมื่อได้อ่านจดหมายที่อวี้จิ้งเหลยส่งมาถึงได้รู้ข่าวน่ายินดีนี้
แต่ไม่ว่านางจะยุ่งอย่างไร ก็ยังหาเวลามาเรียบเรียง ‘คู่มือช่วงตั้งครรภ์’ ขึ้นแล้วให้คนส่งไปให้อวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนียนซี
ตอนนี้ได้ยินว่ามู่เหนียนซีสุขสบายทุกดีอย่าง อวี้เฟยเยียนจึงค่อยวางใจ
มองดูอวี้เฟยเยียนพูดคุยกับผู้เป็นปู่เรื่องลูกของเชียนเยี่ยเสวี่ยด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ วูบหนึ่งในแววตาของซย่าโหวฉิงเทียนก็ฉายแววอะไรบางอย่างออกมา ‘แมวน้อย ชอบเด็กจริงๆ ด้วย!’
ปู่กับหลานพูดคุยกันอย่างออกรส จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ อวี้เฟยเยียนจึงได้นึกถึงซย่าโหวฉิงเทียนขึ้นมา
ในขณะเดียวกันอวี้จิงเหลยก็เหลือบมองมายังซย่าโหวฉิงเทียนเช่นกัน อ๋องผู้นี้แย่งชิงหลานสาวสุดที่รักของเขาไป ซึ่งอวี้จิงเหลยเองก็ไม่ได้อารมณ์ดีเสียด้วย
“เฮอะ!”
อวี้จิงเหลยสบถออกมาคำหนึ่งแล้วเชิดใบหน้าขึ้น
“ไม่รู้ว่าหลินเจียงอ๋องให้เกียรติมาถึงที่นี่ มีกิจอันใดหรือ”
เพียงแค่อวี้เฟยเยียนย่างก้าวเข้าประตูมา อวี้จิงเหลยก็เห็นซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว แต่กลับเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็น
ฮ่องเต้ทรงทุ่มเทแรงกายแรงใจไม่น้อยเพื่อที่จะให้ซย่าโหวฉิงเทียนชักจูงใจผู้คนได้ ซึ่งจุดนี้อวี้จิงเหลยขอยกข้อหาไปลงที่ซย่าโหวฉิงเทียนทั้งหมด
เพียงแค่มองหน้าอวี้เฟยเยียน อวี้จิงเหลยก็รู้ในทันทีว่านางหวั่นไหว ชอบซย่าโหวฉิงเทียนเข้าแล้วจริงๆ
ยิ่งเป็นเช่นนี้ อวี้จิงเหลยก็ยิ่งไม่อยากที่จะเห็นหน้าซย่าโหวฉิงเทียนมากขึ้นไปอีก
กว่าจะเลี้ยงหลานสาวมาจนโตกระทั่งมีคนที่นางชอบพอนั้นแสนยากลำบาก ทำให้อวี้จิงเหลยเศร้าสร้อยยิ่งนัก
ลูกหลานโตขึ้น ถึงเวลาก็ต้องแต่งงานออกเรือน เดิมทีนับเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ
แต่อวี้จิงเหลยยังตัดใจไม่ได้!
ในสายตาของเขา ไม่มีใครที่คู่ควรกับหลานสาวคนเล็กของเขาทั้งนั้น
คิดจะแย่งหลานสาวของเขาไปจากอ้อมอก มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!
ต่อให้เจ้าเป็นถึงอ๋อง พวกเราก็ไม่เสียดาย!
สองสามวันก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาในการเอาอกเอาใจลูกและเมียให้มีความสุขให้กับซย่าโหวฉิงเทียน
ในโลกใบนี้พ่อตากับลูกเขยเป็นมนุษย์ที่ไม่ลงรอยกันมากที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร!
ถึงแม้ว่าคราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนจะไม่ต้องรับมือกับพ่อตา แต่อวี้จิงเหลยและเชียนเสวี่ยซึ่งเป็นปู่และลุงของนางก็ไม่ใช่คนที่จะล่อหลอกอะไรได้ง่ายๆ
คนที่ซย่าโหวฉิงเทียนจะขอคือแก้วตาดวงใจของสกุลอวี้ เช่นนั้นพวกเขาจะต้องสรรหาปัญหาพิสดารล้านแปดมาเพื่อกลั่นแกล้งซย่าโหวฉิงเทียนเป็นแน่ ซย่าโหวจวินอวี่จึงให้บุตรชายฝึกปรือหัวใจให้เข้มแข็ง ให้เขาได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้พร้อม
เห็นท่าทีของอวี้จิงเหลยในตอนนี้ ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนเข้าใจความยากลำบากของซย่าโหวจวินอวี่ในที่สุด
“ข้าน้อยบังเอิญได้พบกับ ‘ตำราพิชัยยุทธ์หลัวเหอ’ เข้า ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ…”
ซย่าโหวฉิงเทียนหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมา ยื่นให้กับอวี้จิงเหลย
“ขอผู้อาวุโสช่วยแยกแยะให้ข้าที!”
แต่ก่อนซย่าโหวฉิงเทียนมักจะใช้คำเรียกตนเองคำก็ ‘ข้า’ สองคำก็ ‘ข้า’ มาตอนนี้กลับเรียกแทนตนเองว่า ‘ข้าน้อย’ ทำเอาอวี้เฟยเยียนแทบอยากจะหัวเราะออกมานัก
ที่แท้แล้วหลังจากที่ได้รับการสั่งสอนจากฝ่าบาททรง ท่านก็รู้เสียควรจะปล่อยวางมาดลงบ้าง!
“เรื่องนี้…”
ในฐานะที่เป็นคนรักในการศึกษาตำราพิชัยยุทธ์ อวี้จิงเหลยย่อมรู้ดีว่า ‘ตำราพิชัยยุทธ์หลัวเหอ’ เป็นสิ่งที่เหล่านักรบล้วนอยากได้มาครอบครองทั้งสิ้น
นี่เป็นสิ่งล้ำค่าในตำนานเชียวนะ!
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าซย่าโหวฉิงเทียนไปได้มันมาได้อย่างไร!
เหตุใดเขาถึงได้มีของดีในมือมากมายเช่นนี้
ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ไม้เดิมเหมือนกันกับคราวก่อน ประมุขแห่งสกุลอวี้ไหนเลยจะไม่รู้
คิดจะใช้ ‘ตำราพิชัยยุทธ์หลัวเหอ’ มาซื้อใจเขา ไม่มีทางหรอก!
อวี้จิงเหลยเหลือบสายตามองไปที่ตำราเล่มนั้นอย่างรวดเร็ว พยายามระงับความอยากได้มันมาครอบครองเอาไว้อย่างสุดกำลัง แล้วเอ่ยตอบกลับซย่าโหวฉิงเทียนด้วยท่าทีเป็นการเป็นงาน
“ท่านอ๋องนำกำลังกรำศึกมาหลายปี นับเป็นขุนศึกที่ทรงคุณค่า ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของท่านอ๋องจะสามารถแยกแยะจริงเท็จได้!”
ถึงแม้ปากจะเอ่ยด้วยวาจาที่เต็มไปด้วยวาทศิลป์เช่นนั้น แต่ในใจของอวี้จิงเหลยราวกับวานรก็ไม่ปานคันไม้คันมือยิบๆ อยากจะคว้าตำราเอาไว้เสียเดี๋ยวนั้น
ด้านหนึ่งก็คือความสุขชั่วชีวิตของหลานสาว อีกด้านก็คือ ‘ตำราพิชัยยุทธ์หลัวเหอ’ …
‘หลินเจียงอ๋อง ท่านจงใจใช่หรือไม่’
มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาคมคายเย่อหยิ่งของซย่าโหวฉิงเทียน ฉับพลันอวี้จิงเหลยก็พาลรู้สึกเหม็นขึ้นหน้าเขาอย่างที่สุด!
‘ร้ายกาจเกินไปแล้ว!’
‘มีอย่างที่ไหนใช้วิธีการเช่นนี้มาทดสอบคน’
‘ร้ายกาจยิ่งกว่าการใช้ศาลเตี้ยลงทัณฑ์ทรมานคนให้รับสารภาพเสียอีก!’
‘หลานเขยคนนี้ เขาไม่ชอบ!’
โดยที่อวี้จิงเหลยไม่รู้ตัวเลยว่า ในขณะที่ตนเองกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ได้ใช้คำเรียก ‘หลานเขย’ เรียกขานซย่าโหวฉิงเทียนไปเสียแล้ว