บทที่ 490 เขาไม่ใช่คนเชื่อฟัง

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

พอตื่นก็เย็นแล้ว เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น คุณแม่ธันยวีร์ก็เคาะประตูเรียกพวกเขาให้ลงไปทานอาหารเย็นข้างล่าง

ฉันทัชตื่นขึ้นก่อน และตื่นตระหนกเมื่อรู้ว่าเขาหลับไปนานมาก เขาใช้นิ้วนวดที่หว่างคิ้วเล็กน้อยแล้วปลุกเธอเบาๆ “ไปกินข้าวกันก่อน แล้วค่อยกลับมานอนต่อ…”

มีคนมากมายในห้องนั่งเล่น โดยพื้นฐานแล้วคนในตระกูลหฤทัยไพรุณจะมารวมตัวกัน มีคุณพ่อธนพงษ์ คุณแม่ธันยวีร์ คุณท่านประเสริฐ และฉัตรบรรณ

ภรรยาของฉัตรบรรณกลับไปที่บ้านของตัวเองพร้อมลูกสาว ดังนั้นจึงเป็นความจริงที่พวกเขาทั้งหมดมารวมกัน

ยู่ยี่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย คุณพ่อธนพงษ์ให้เธอนั่งข้างเขา และคุณแม่ธันยวีร์ก็คีบอาหารให้เธอตลอด การต้อนรับอย่างอบอุ่นทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายลงมาก

ในระหว่างนั้นก็มีการพูดถึงเอวาขึ้นมา ฉันทัชพูดว่า ถึงเวลานั้นได้ส่งเธอด้วยกันก็คงดี

คุณแม่ธันยวีร์บอกว่า อาคิระไม่ยอมให้เข้าไป ท่าทางแน่วแน่มาก

ฉันทัชพูดเสียงเรียบ “มีผมอยู่ทั้งคน ยังไงก็ห้ามไม่อยู่ แถมพวกเราไปส่งเอวา ไม่ได้ไปหาเขาสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”

หลังกินข้าวเสร็จฉันทัชก็ออกไปทำธุระ ยู่ยี่นั่งอยู่บนโซฟา กำลังนั่งดูข่าวกับคุณท่านประเสริฐกับคุณแม่ธันยวีร์

แต่อารมณ์ก็ไม่ได้สูงมากนัก ในเมื่อเกิดเรื่องนั้นขึ้น

ครั้งนี้คุณแม่ธันยวีร์ปฏิบัติต่อเธออย่างดี มีการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ อ่อนโยน และไม่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด

ยู่ยี่ก็พยายามผ่อนคลาย และพูดคุยกับพวกเขา ด้านหนึ่งเธอเพราะรอฉันทัชด้วย เมื่อรอจนถึงสี่ทุ่มเขาก็ยังไม่กลับมา คุณแม่ธันยวีร์จึงให้เธอไปนอนก่อน

เช้าตรู่ขณะที่คุณแม่ธันยวีร์กำลังดื่มน้ำอยู่ เธอก็ได้ยินเสียงเท้าดังมาจากข้างหลังจึงหันไปมอง เป็นฉันทัชที่เดินเข้ามาข้างเธอ แล้วถามว่า “เธอนอนแล้วหรอ”

“เป็นคนที่ลืมไม่ได้จริงๆด้วย” คุณแม่ธันยวีร์ยิ้ม “นอนแล้ว รอไม่ไหวก็เลยให้เธอไปนอนก่อน เธอนิสัยดีมาก”

ฉันทัชยิ้มเบาๆ เต็มไปด้วยความอ่อนโยน “พรุ่งนี้ ทั้งตระกูลเราจะไปหาเอวา และวันมะรืนจะเป็นวันเผา”

คุณแม่ธันยวีร์หลั่งน้ำตา “ชีวิตของเด็กคนนั้นนั้นขมขื่นมาก ขมขื่นเกินไป”

เขากอดไหล่เธอ ปลอบโยนเงียบๆ ลูกกระเดือกได้แต่กระตุกไปมาด้วยความเจ็บปวดเช่นกัน

“ไปหาเธอเถอะ แม่กลัวว่าเธอจะนอนไม่สบาย เธอมักจะมองออกไปนอกประตูทุกๆห้าหรือสิบนาที เห็นได้ชัดว่ารอลูกอยู่ ไปเถอะ” คุณแม่ธันยวีร์ปาดน้ำตา

ฉันทัชพยักหน้าและให้เธอไผพักผ่อน ก่อนจะขึ้นไปชั้นบน

เธอไม่ได้หลับอย่างสงบ คิ้วของเธอมีรอยย่นเล็กน้อย เขายืนอยู่หน้าเตียง ลูบหน้าผากของเธอด้วยนิ้วอันอบอุ่นเบาๆ ก่อนจะเอนตัวลง จูบเบาๆ

เมืองs

เรนนี่ไปโรงพยาบาลเพื่อถามหมอเกี่ยวกับการตรวจดีเอ็นเอ

หมอบอกว่าต้องท้องได้สามหรือสี่เดือนจึงจะสามารถนำน้ำคร่ำออกจากท้อง เพื่อทำการทดสอบความเป็นพ่อได้

นั่นคือจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าใครคือพ่อของเด็กจริงๆ

ในช่วงเวลานี้เธอรู้สึกสบายใจ และไม่ต้องกังวลกับปัญหาใดๆ เมื่อคิดถึงสิ่งนี้เธอก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

เมื่อกลับมาที่คฤหาสน์ ซาฮาร่ากับรัดเกล้าก็กลับมาแล้ว ตอนนี้เธอไม่อยากจะมองหน้ารัดเกล้าเลย ซาฮาร่ากำลังวางแผนที่จะท้อง เธอกับบอกชฎารัตน์ว่าช่วงนี้รัดเกล้าอยู่ในกรอบมาก ไม่ออกไปเด็ดดอกไม้ข้างทางอีก และมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น

เมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวกับลูกเขยค่อยๆอบอุ่นขึ้น ทำไมชฎารัตน์จะไม่มีความสุขล่ะ

เรนนี่ไม่เชื่อคำพูดนี้ สุนัขไม่สามารถเปลี่ยนวิธีการกินขี้ได้ แต่ถ้ารัดเกล้าสามารถเปลี่ยนนิสัยได้ ฝนคงตกลงมาเป็นสีแดง!

ต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง เธอไม่ได้พูดอะไร และเธอก็คิดว่าทั้งคู่ไม่อยากได้ยินด้วย แล้วเธอจะหาเรื่องทำไม

คืนนั้น ซาฮาร่าและรัดเกล้าตั้งใจจะนอนที่นี่ ชฎารัตน์จึงให้คนใช้ทำความสะอาดห้อง

หลังอาหารเย็น ชฎารัตน์และซาฮาร่าก็ไปช็อปปิ้งโดยบอกว่าพวกเขาต้องการซื้ออาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกายซาฮาร่า

หลังจากเล่นคอมพิวเตอร์สักพักจนเริ่มรู้สึกเบื่อ เรนนี่จึงลงไปข้างล่าง และบังเอิญเจอรัดเกล้าพอดี เขากำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ดื่มกาแฟและดูบอล

เธอเทน้ำหนึ่งแก้ว และกำลังจะขึ้นไปชั้นบน แต่ก็ถูก รัดเกล้าขวางไว้ เขาเอนกายไปด้านข้าง และยิ้มอย่างเย่อหยิ่ง

“ไปให้พ้น!” ไม่มีคนอื่นในบ้านคฤหาสน์ เรนนี่จึงไม่ต้องสุภาพกับเขา และพูดกับเขาอย่างเย็นชา

“ฉันใช้เวลาทั้งคืนเลยนะในคืนนั้น มันไม่เย็นชาไปหน่อยหรอ ที่จะปฏิบัติกับฉันแบบนี้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเรนนี่ก็ไม่สามารถหยุดเต้นอย่างรุนแรงได้ เธอกลัวเพียงว่าจะมีคนอื่นได้ยิน “จากนี้ถ้าคุณกล้าพูดอย่างนี้อีกก็ลองดู!”

“นี่ขู่หรอ” รัดเกล้าไม่เห็นด้วย เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา แล้วพลิกดูอย่างครุ่นคิด “จะเป็นไรไป ผมยังมีหลักฐานอยู่ในนี้”

เรนนี่ไม่เชื่อ เขากล้าถ่ายรูปอะไรแบบนี้ได้ยังไง แถมยังไว้ในโทรศัพท์ที่อยู่กับตัว ไม่กลัวถูกซาฮาร่าเจอหรอ

“ไม่เชื่อเหรอ มาสิ ผมจะหารูปที่ถูกใจที่สุดให้คุณดู” ระหว่างพูด รัดเกล้าก็หารูปรูปหนึ่งเปิดให้เธอดู

เพียงแค่มองไป เรนนี่ก็รู้สึกว่าเลือดทั่วร่างกายพลุ่งพล่านขึ้น เขากล้าจริงๆ! กล้าจริงๆ!

ในรูปนั้น เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้า และเขาก็เช่นกัน เธอนอนบนหน้าอกของเขา และรัดเกล้ากำลังจูบเธออยู่

ที่นี่คือตระกูลภูษาธร เขาเป็นลูกเขยของลูกสาวของตระกูลภูษาธร และเธอเป็นลูกสะใภ้ของลูกชายของตระกูลภูษาธร แต่เขารัดเกล้าทำอย่างนี้ ช่างไร้ยางอายมาก!

เรนนี่ยกมือขึ้นเดินไปแย่งโทรศัพท์ แต่รัดเกล้าก็เร็วกว่าเธอ เขาดึงมือหนีไปเรื่อยๆ “แล้วคุณตระหนกอะไร ความทรงจำนี้ดีขนาดไหน”

เรนนี่กัดฟัน แทบจะทนรอฉีกเขาเป็นชิ้นๆไม่ไหว

และทันใดนั้น รัดเกล้าก็เรียกคนข้างหลังเธอ “พี่เขย”

ร่างของเธอแข็งทื่อราวกับหินในทันที เธอไม่กล้าขยับ ฝีเท้าจากด้านหลังบอกเธอได้อย่างชัดเจนว่าเป็นหัสดินจริงๆ ที่กลับมา

เธอหายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติ และหันกลับมาหาหัสดิน พร้อมถามอย่างเย็นชาว่า “คุณกินข้าวเย็นหรือยัง คุณอยากกินอะไรไหม”

หัสดินไม่สนใจเธอ นับประสาอะไรกับรัดเกล้า เขาเดินขึ้นไปชั้นบนทันที

ปฏิกิริยาดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง เรนนี่โล่งใจในวินาทีถัดมา ก่อนจะจ้องไปที่รัดเกล้าอย่างดุร้าย “คุณควรลบภาพเหล่านั้นทั้งหมด!”

รัดเกล้ายิ้มและเก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเขา ทำไมเขาต้องฟังที่เธอพูด

“คุณ—” เรนนี่กลัวเพียงว่าจะมีคนเห็นรูปภาพเหล่านี้โดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าจะมีรหัสผ่าน แต่รหัสผ่านก็สามารถปลดล็อคได้ไม่ใช่หรอ

เธอกังวลและรู้สึกกระวนกระวายใจ รัดเกล้าไม่มีทางทำตามในสิ่งที่เธอพูดแน่

เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงหมอไอแซ็ค หมอไอแซ็คยังจัดการได้ง่ายกว่าคนไม่ได้เรื่องอย่างรัดเกล้าเลย!

เมื่อคิดถึงหัสดิน เธอรีบขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง แต่ หัสดินกำลังตรวจสอบเอกสารอยู่ เรนนี่จึงไม่รบกวน เธอหันหลังกลับ ก่อนจะเห็นรัดเกล้ายิ้มให้เธอผ่านช่องว่างของบันได ทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้ทันใด!

ถ้ารูปนั้นไม่ถูกลบสักวัน เธอคงไม่เลิกกลัว ความรู้สึกนี้มันแย่และน่าขยะแขยงจริงๆ!

เรนนี่ ไม่ชอบชีวิตแบบนี้!