โอกาส
“1.2 ล้านหยวน คุณคิดว่าราคานี้เป็นยังไงมั่งคะ” ผู้หญิงคนนั้นยังพยายามเสนอราคาที่จะซื้อม้าน้อยจากซูจิ้ง
“ต้องขอโทษด้วยครับคุณหลิว เจ้าม้าตัวนี้ก็เหมือนลูกของผม ไม่ว่าคุณจะเสนอราคาเท่าไหร่ผมก็ไม่มีทางขายแน่นอน” ซูจิ้งปฏิเสธอย่างแข็งขันเพราะว่าเจ้าม้าน้อยตัวนี้ สำหรับเขามันคือสัตว์เลี้ยงไม่ใช่สินค้า และยิ่งกว่านั้นต่อให้เป็นม้าตัวอื่นที่ได้กินอำพันมังกรเข้าไปต่อให้แค่ก้อนเดียวราคาของมันก็ยังต้องสูงกว่านี้มากนัก แค่ล้านสองล้านมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะขายมัน
หญิงวัยกลางคนได้แต่ยอมแพ้ ส่วนเชิงเหมียวนั้นเขาพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้วทำได้แค่รู้สึกสลดเท่านั้น ส่วนไบ๋หลีติ้งได้เปลี่ยนมุมมองของเขาที่มีต่อซูจิ้งไปแล้ว เขาตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะขายฟาร์มให้ซูจิ้งไม่ว่าราคาจะต่ำแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาเสนอราคากลับกลายเป็นว่าซูจิ้งนั้นสู้ราคาที่ผู้หญิงคนนั้นเสนอได้แบบไม่ต้องคิดหนักเลยแม้แต่น้อย เขาสู้ราคากันหลายครั้งจนผู้หญิงคนนั้นต้องถอดใจ สุดท้ายราคาก็สูงกว่าที่ไบ๋หลีติ้งคิดไว้มากซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจ ยิ่งกว่านั้นซูจิ้งยังเพิ่มเงินให้มากกว่าราคาที่เสนออีกด้วยซ้ำ พร้อมทั้งเขายังตกลงที่จะจ้างเหล่าคนงานที่ดูแลม้าทั้งหมดให้ทำงานในฟาร์มต่อไปได้ นั่นทำให้ไบ๋รีบเซ็นสัญญาทันทีในวันนั้นเลย
หลังจากที่คนอื่นๆ นั้น ออกไปจากฟาร์มแล้ว ซูจิ้งได้ทำการหยดเลือดของม้าที่อยู่ในฟาร์มทั้งหมด 71 ตัว ลงไปยังการ์ดอสูร หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการคัดเลือกม้าออกมา 7 ตัวและให้อำพันมังกรแก่พวกมันกินตัวละ 1 ก้อน
“ลูกพี่จิ้ง พี่จะใช้เวลาในการฝึกพวกมันนานแค่ไหนหรอ” หลิวฉิงเดินตามซูจิ้งไปในขณะที่ดูซูจิ้งจัดการเรื่องม้าอยู่
“น่าจะหนึ่งไม่ก็สองอาทิตย์ ยังไงก็ฉันฝากนายจัดการเรื่องแข่งด้วยละกัน ฉันจะให้นายเท่ากับฉินซูหลานแล้วกันนะที่ 10 เปอร์เซนต์ ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา” หลิวฉิงหัวเราะออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขานั้นก็เหมือนกับฉินซูหลานตรงที่ชอบม้าแข่งอย่างมาก การที่จะกลายเป็นคนในวงการแล้วกลายเป็นผู้จัดการดาวเด่นให้ม้าวิเศษนั้น ถึงมันจะฟังดูได้น้อยไปหน่อยแต่ยังไงมันก็คุ้มค่าอยู่ดี
หลังจากจัดการเรื่องภายในฟาร์มเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็ได้กลับไปที่รถซึ่งต่างคนต่างขับมาคนละคน ทันทีที่ถึงรถซูจิ้งสังเกตุเห็นว่ากระจกรถของหลิวฉิงนั้นแตก มันเหมือนเป็นรถที่ถูกขโมยมายังไงอย่างงั้นเลย
เมื่อหลิวฉิงรู้สึกตัวก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ พร้อมพูดออกมาว่า “ผมไม่ได้ขโมยรถมาหรอกนะแต่ผมถูกขโมยต่างหาก แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเท่าไหร่หรอก”
ถึงแม้มันจะเกิดขึ้นได้ยากแต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ก็ตาม แต่ซูจิ้งนั้นกับรู้สึกเหมือนเห็นลางร้ายลอยออกมาจากตัวหลิวฉิง มันให้ความรู้สึกแปลกๆกับซูจิ้ง มันส่งผลไปกระตุ้นวิถีแห่งแห่งใต้หล้าในตัวของเขาให้เริ่มทำงาน สมองของเขาได้เริ่มทำการจัดการข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลิวฉิง ผลจากการคาดการณ์ของสมองถึงกับทำให้ซูจิ้งรู้สึกไม่ดีเลยทีเดียวแต่เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
“พี่จิ้ง พี่จิ้ง พี่เป็นอะไรรึเปล่า” หลิวฉิงถามออกมาเมื่อเห็นซูจิ้งมีท่าทีแปลกไป เขาถามพร้อมเขย่ามือซูจิ้งไปด้วย
“นายรู้ตัวขโมยรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา
“ผมก็ไม่รู้ตัวขโมยเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้มีของสำคัญหายไปนะ ผมเลยไม่ได้ตามเรื่องนี้” หลิวฉิงตอบออกมา
“ระวังไว้หน่อยก็ดีนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็โทรหาฉันได้ทันที” ซูจิ้งพูดออกมาถึงแม้ว่าสิ่งที่สมองของเขาบอกออกมานั้นจะไม่ได้ตรงเป๊ะซะทีเดียวแต่ในเมื่อมันเป็นการคาดการณ์ที่อาจเกิดขึ้นแม้เพียงหนึ่งในพันก็ตามแต่ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นอยู่ดี ต่อให้มันเป็นชะตาของหลิวฉิงเองก็ตาม แต่เขาก็ยังห่วงหลิวฉิงอยู่ดี
“แน่นอนครับพี่จิ้ง” เมื่อหลิวฉิงนั้นรับรู้ได้ถึงความห่วงใยจากซูจิ้ง เขาทำได้เพียงแค่ตอบรับและมีน้ำตาคลอออกมาเท่านั้น
ซูจิ้งและหลิวฉิงนั้นต่างคนต่างขับรถออกไป หลิวฉิงนั้นขับรถกลับไปที่บ้าน ส่วนซูจิ้งก็ขับรถแวะไปที่สำนักงานของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ ก่อนที่จะกลับบ้าน เขาไม่ได้เข้ามาบ่อยนักจนต้องใช้เวลาในการทักทายผู้จัดการแต่ละคนนานพอสมควร เมื่อเสร็จแล้วเขาก็ได้ไปหาหวังจ้าวและเฉิงหนาน พวกเขานั่งคุยกันในห้องหลัก
“อาจิ้ง นายเข้ามาทำไมเนี่ย มีเวลาว่างแล้วหรอ” หวังจ้าวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า ผมมีโอกาสทางธุรกิจมาเสนอน่ะ ผมจะให้เฉิงหนานเป็นคนจัดการเรื่องนี้” ซูจิ้งตอบด้วยรอยยิ้ม
“โอ้” ทั้งสองคนตอบกลับพร้อมกันด้วยดวงตาที่เป็นประกายเล็กน้อย แต่เมื่อทั้งสองได้ฟังโอกาสที่ซูจิ้งบอก กลับกลายเป็นเพียงการที่เขาซื้อฟาร์มม้าไว้ นั่นทำให้ทั้งสองงงๆกันเล็กน้อย พอซูจิ้งบอกว่าเขานั้นเพิ่งได้รถบีเอ็มดับบิวเจ้าลมกรดมาก็ยิ่งพากันงงเข้าไปใหญ่ แต่เมื่อทั้งสองเห็นวิดีโอที่หลิวฉิงถ่ายไว้ให้ตอนอยู่ในฟาร์ม ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทั้งสองตื่นเต้นจนออกนอกหน้า แค่เจ้าม้าสองตัวนี้ในวิดีโอนี้ก็ถือว่าทำเงินได้อย่างแน่นอนแล้ว ยิ่งพอซูจิ้งบอกพวกเขาว่าจะทำการเพาะพันธุ์บีเอ็มดับบิวแบบนี้ออกมาเยอะๆ นั่นทำให้ทั้งสองนึกถึงโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่มากๆ มากจนคิดไปได้ไกลมากๆ
ซูจิ้งนั้นแม้มีเพียงฉินซูหลานและหลิวฉิงเป็นผู้จัดการม้าแข่งให้เขาแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆของธุรกิจนี้ ยิ่งม้ามากเท่าไหร่ยิ่งต้องการผู้จัดการมากเท่านั้น ครั้งนี้เฉิงหนานเองก็ต้องการร่วมด้วยเช่นกัน ซึ่งงานของทั้งสองคนนั้นได้แบ่งกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วนั่นคือซูจิ้งนั้นเป็นคนทำหน้าที่พัฒนาธุรกิจ ส่วนเฉิงหนานเป็นจัดการกระบวนงานต่างๆ
“เอ้อใช่ ฉันลองทำไวน์ใหม่ออกมาอีกแล้วนะ พวกคุณลองชิมหน่อยสิ ” แล้วซูจิ้งก็ได้วางลังไวน์เอาไว้บนโต๊ะ ในนั้นมีไวน์หลากหลายสีสันเป็นขวดเล็กๆ หลายๆ ขวด
หวังจ้าวและเฉิงหนานนั้นเคยได้ลิ้มรสความยอดเยี่ยมของไวน์จิ้งจอกแดงมาก่อนแล้วและพวกเขาก็ยังคงติดใจรสชาติอันยอดเยี่ยมอยู่ ถึงในตระกูลยังพอมีเหลืออยู่บ้างแต่ทั้งคู่ก็ไม่มีโอกาสจะได้ดื่มมันเลยแม้แต่น้อย พอเห็นไวน์ใหม่ของซูจิ้งทั้งสองก็อดใจไม่ได้ที่จะลิ้มลอง เมื่อทั้งสองได้ดื่มก็ทำได้แค่ชมไม่หยุดปาก
“ไวน์ที่ดี”
“นี่ไม่ได้ด้อยกว่าไวน์จิ้งจอกแดงเลยนะ”
“ถึงจะเป็นไวน์เหมือนกันแต่รสชาติไม่เหมือนกันเลยสักขวด”
“อันนี้ไวน์นมม้า”
“ส่วนนี้เรียกว่าเอล”
หวังจ้าวและเฉิงหนานได้แต่นึกประหลาดใจ พวกนี้คือไวน์ชั้นเลิศอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาต่างก็คิดว่าซูจิ้งมีสูตรลับพวกนี้ได้ยังไง พวกเขาไม่รู้หรอกว่าไวน์พวกนี้ทั้งหมดผลิตขึ้นมาจากแมลง เมื่อไม่กี่วันก่อนซูจิ้งพบว่าเจ้าหนอนแดงนั้นไม่ได้เพียงแค่ผลิตไวน์ได้แค่ชนิดเดียว ไวน์แต่ละชนิดที่มันดื่มเข้าไปจะทำให้เกิดไวน์รสชาติที่ต่างกันออกมา มันก็เหมือนเวลาที่คนดื่มไวน์แล้วรู้สึกถึงรสชาติที่แตกต่างกันในไวน์แต่ละชนิด
“พวกนายคิดว่าไวน์นี้พอจะขายได้ไหม” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ขายได้เหรอพูดเป็นเล่น มันดีขนาดที่ว่ามีคนแย่งกันซื้อโดยไม่ต้องวางขายแน่นอนอยู่แล้ว ไวน์พวกนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าไวน์จิ้งจอกเลยนะ แค่ไวน์จิ้งจอกขวดเดียวตอนนี้ก็ราคาเท่ากับราคาไวน์ทั่วไป 200 ขวดเข้าไปแล้ว”
“ถึงไวน์นี้จะรสชาติไม่เลว แค่คุณภาพมันไม่ได้ดีเท่าไวน์จิ้งจอกแดงหรอก มันไม่ได้ดีต่อร่างกายเหมือนไวน์จิ้งจอกแดงฉะนั้นเราจะขายราคาสูงเท่าไวน์จิ้งจอกแดงไม่ได้” ที่เขากล้าพูดอย่างนั้นเพราะว่าไวน์จิ้งจอกแดงนั้นได้มาจากการเจือจางสุดยอดไวน์จากห้วงเวลาฯ เรื่อง ฝืนชะตาฟ้าฯ มันเป็นไวน์ที่ใช้ในการบ่มเพาะพลังเซียนซึ่งมันมีผลดีต่อร่างกาย แต่ไวน์พวกนี้ทั้งหมดได้มาจากหนอนแดงซึ่งไม่มีผลดีต่อร่างกายแบบนั้น มันแค่ดื่มได้เหมือนไวน์ทั่วไปเฉยๆ
“ไวน์นี่มีกำลังการผลิตเท่าไหร่หรอ” เฉิงหนานถามออกมาอย่างสงสัย
“ค่อนข้างน้อยนะ เต็มที่ตอนนี้ก็ได้แค่ 3 ชั่ง” ซูจิ้งตอบออกไป พอเขานึกถึงว่าต้องใช้ไวน์ 30 ชั่งเพื่อมาทำไวน์ 3 ชั่งแล้ว แค่นี้ก็เต็มขีดจำกัดแล้ว ไม่ต้องคุยเรื่องการหาหนอนแดงเพิ่มเลย แค่จำนวนไวน์ที่ต้องใช้ตั้งต้นเขาก็เจ็บปวดพออยู่แล้ว
“สามชั่งนี่ก็ไม่เลวนะ” ทั้งสองเห็นตรงกันนั่นก็เพราะว่าปริมาณเท่านี้ถึงแม้จะดูน้อยแต่เมื่อเทียบกับไวน์ชั้นสูงที่ผลิตได้มาจำนวนน้อยกว่ามากแต่คุณภาพพอๆกัน ก็ถือได้ว่าไม่เลวเลย
หลังจากพวกเขาคุยกันเรื่องรายละเอียดแล้ว เขาก็ได้ให้หวังจ้าวและเฉิงหนานเป็นคนจัดการเรื่องไวน์ไป หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิ้งก็ได้ส่งไวน์ให้ทั้งสองคนเพื่อใช้เป็นทั้งดื่มเอง ของรางวัล สินค้า หรือแม้แต่การมอบเป็นของขวัญให้แขก ภายในวันเดียวนี้ หวังจ้าวและเฉิงหนานทำได้แค่ชื่นชมในความสามารถของซูจิ้งที่ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสทางธุรกิจถึงสองอย่างนั่นคือเรื่องฟาร์มม้าและไวน์ ซูจิ้งคงเป็นคนเดียวในโลกที่ทำให้ทั้งสองได้ช่องทางทำธุรกิจที่จะใหญ่โตขึ้นได้ในอนาคต มากมายขนาดนี้