เหตุฉุกเฉิน

ในตอนเช้าฉือชิงได้ไปทำงานตามปกติ

ซูจิ้งได้ไปนั่งคนเดียวอยู่ใต้ต้นหลิว นั่งนิ่งไม่ไหวติงถึงขนาดที่ถ้ามีคนมามองผ่านๆจะไม่รู้สึกเลยว่าเขานั่งอยู่ เขาพยายามคิดอยู่ว่าตัวเองคือต้นไม้ จิตสำนึกของซูจิ้งทั้งหมดมุ่งเข้าสู่ต้นหลิว ก่อสร้างร่างสัมผัส การรับรู้ และการเคลื่อนไหว เลียนแบบพลังงานธรรมชาติที่อยู่ภายในต้นหลิว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเหมือนกัน ซูจิ้งก็ได้เข้าสู่ห้วงทะเลวิญญาณของตนเอง

 

เขานั้นพยายามลอกเลียนแบบแม้กระทั่งการหายใจของต้นหลิว ต้นหลิวเองก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของซูจิ้งก็พยายยามเลียนแบบเขาเช่นกัน

ในเวลานั้นก็ได้มีกระแสบางอย่างวิ่งเข้าสู่ร่างกายของซูจิ้ง เขารับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างค่อยๆไหลเข้ามาในร่างกาย มันไหลแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่รีบร้อนใดๆ ประหนึ่งดังร่างกายกำลังหายใจเอาอากาศเข้าไป ซูจิ้งรู้สึกว่าร่างกายของเขาสบายจนเกือบจะครางออกมา เหมือนกับคนที่กำลังร้อนและกระหายน้ำอย่างแรงกล้าแล้วได้ดื่มน้ำเย็นๆ จากแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่มันแค่รู้สึกดีกว่านั้นนับร้อยเท่าจนยากจะอธิบายออกมาได้

ในที่สุดฉันก็ดูดซับพลังธรรมชาติได้ซักที

 

ซูจิ้งเปิดตาขึ้นมา ดวงตาของเขาแสดงสีออกมาเป็นสีที่น่าหลงใหล นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกได้ถึงพลังธรรมชาติในร่างกายจริงๆ แล้วจู่สัมผัสนั้นหายไป คงเป็นเพราะว่าเขาตื่นเต้นเกินไปนั่นเอง แต่เมื่อเขาจับทริคได้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในการฝึกฝน

ซูจิ้งหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ของเขาให้เป็นปกติอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาจึงหลับตา แล้วปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ภวังค์ ซักพักเขาก็รู้สึกถึงพลังธรรมชาติอีกครั้ง มันกำลังไหลเข้าสู่ทะเลวิญญาณของเขา

 

ซูจิ้งนั้นไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นแต่อย่างใด แต่เขากลับรู้สึกว่าร่างกายมีความทนทานมากขึ้น มันให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับตอนเขาบ่มเพาะพลังภายนอกมันให้ความรู้สึกว่ามีพลังแผ่ออกมาจากข้างในร่างกาย

6-7ชั่วโมงแล้วที่ซูจิ้งไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารู้ได้ในทันทีว่าเขาถึงขีดจำกัดในการบ่มเพาะพลังแล้วสำหรับวันนี้ เขาก็ได้ลืมตาและเมื่อเห็นว่าเป็นหลิวฉิงที่โทรมาเขาได้รับสายทันที แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นคำถามว่า “พี่จิ้ง ผมขอยืมเงินได้หรือเปล่า”

 

“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามออกไปด้วยความสงสัย

 

“เครื่องบินที่ปู่ผมนั่งอยู่ถูกไฮแจ็ค พวกมันบอกว่าต้องการเงิน 10 ล้านหยวนเป็นเงินสดและให้เวลาเตรียมแค่ 1 ชั่วโมง และด้วยการที่เที่ยวบินนี้นี้เป็นเที่ยวบินชั้นธุรกิจทำให้มีมหาเศรษฐีและผู้อาวุโสตระกูลใหญ่อยู่ในเครื่องจำนวนมากทำให้พวกมันยอมขยายเวลาในการหาเงินมาไถ่ตัวแต่มันก็ยังสั้นเกินไปอยู่ดี ผมหาเงินสดมากมายขนาดนั้นไม่ทันจริงๆ” หลิวฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ถ้าพวกมันไม่ได้ต้องการเงินสดหล่ะก็เขาสามารถให้พวกมันมากกว่านี้ก็ยังได้ แต่เพราะพวกมันต้องการแต่เงินสด ถ้าไม่ได้มีสายสัมพันธ์อันดีกับธนาคารล่ะก็ไม่มีทางธนาคารจะยอมปล่อยเงินสดมากมายขนาดนี้ได้แน่นอน

 

“ทำไมเหตุการณ์ถึงเปลี่ยนไปหล่ะ” ซูจิ้งถามตัวเองเขานั้นไม่คิดว่าสิ่งที่เขาได้รับข้อมูลจากสมองจะคลาดเคลื่อนมากมายขนาดนี้ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน เต็มที่ก็คลาดเคลื่อนเล็กน้อยเท่านั้น แต่นี่กลายเป็นว่าคนประสบเหตุเป็นปู่ของหลิวฉิงแทนที่จะเป็นหลิวฉิงเอง

 

ซูจิ้งทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่าหลิวฉิงได้โพสข้อความไว้ว่าวันนี้ปู่ของเขาจะเดินทางกลับจากการท่องเที่ยวโดยเที่ยวบินวันนี้ เป็นไปได้ว่าการกระทำบางอย่างของเขาได้เปลี่ยนไปจากข้อมูลที่ซูจิ้งได้รับทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนตาม ด้วยข้อมูลนี้ส่งผลให้เขามีเข้าใจความสามารถในการคาดการณ์มากขึ้น ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และขาดช่วง ทำให้เหตุเการณ์ที่เขาคาดไว้นั้นคลาดเคลื่อนไปถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีสำหรับเขาเลย ถึงจะยังไม่เข้าใจในความสามารถการคาดการณ์ได้ทั้งหมดก็ตาม

ซูจิ้งทำได้แค่ถอนหายใจ ช่วงนี้ทำไมพวกโจรมันเยอะแยะซะจริง เขานั้นรู้สึกอย่างนั้นเพราะนอกจากเรื่องการไฮแจ็คเครื่องบินนี้ เขายังได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการแบล็คเมลล์และการก่อการร้าย ยิ่งกว่านั้นโชคร้ายยังมาตกอยู่ที่ปู่ของหลิวฉิง เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ในหมู่ผู้โดยสารจะมีคนร้ายแฝงตัวคอยชี้เป้าและเลือกเฉพาะผู้โดยสารที่ร่ำรวยก่อนจะมีการขึ้นบิน

 

“เป็นเงินสดสักสองล้านได้รึเปล่าครับ” หลิวฉิงพูดด้วยน้ำเสียงสั้นๆ

 

“ฉันให้สามล้าน แล้วจะให้เอาไปให้ที่ไหนหล่ะ” ซูจิ้งถามกลับไป

 

“ขอบคุณมากครับ ลูกพี่จิ้ง โปรดส่งเงินไปที่…” หลิวฉิงรู้สึกขอบคุณอย่างหมดหัวใจ เขานั้นจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครเป็นพี่น้องของเขาจริงๆ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ยากลำบากแบบนี้ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งมีเงินสดมากมายขนาดนั้นแต่เขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะถามไถ่ในเวลาแบบนี้ เขาเชื่อใจซูจิ้งและรับปากว่าจะคืนให้อย่างแน่นอน

 

“ยังดีนะเนี่ยที่ฉันยังพอมีเงินสดเอาไว้บ้าง” ซูจิ้งวางสายและบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะเปิดกระเป๋ามิติ

เขาหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋ามิติ เงินนี้เป็นเงินฉุกเฉิน เขาเตรียมสำรองเอาไว้ 50 ล้านหยวน ผู้คนทั่วไปไม่มีใครจะอยากเก็บเงินสดมากขนาดนี้เอาไว้เพราะต่างก็กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่ปลอดภัย แต่กับซูจิ้งเขาไม่ได้มีปัญหาแน่นอนเพราะเขาพกติดตัวตลอดเวลา

 

ซูจิ้งนำเงินสามล้านหยวนไปยังจุดนัดพบอย่างเร็วที่สุด มันเป็นสวนแห่งหนึ่งแต่เมื่อซูจิ้งไปถึงก็มีคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วเมื่อพวกเขาสังเกตุเห็นซูจิ้งถึงกับตกใจ คนที่มาก่อนหน้าซูจิ้งที่กำลังยืนอยู่ข้างๆหลิวฉิงนั้นประกอบด้วย หวังเซี่ยว เจ้าหมิง และเฉาเล่ย

 

“อาจิ้ง นายมาทำอะไรที่นี่หล่ะ” หวังเซี่ยวคนที่เคยบาดเจ็บจากเหตุการณ์”กองโจรมนุษย์งู” แต่ได้ถูกซูจิ้งช่วยเหลือไว้ หลังจากเขาเขาโรงพยาบาลจนหายดีแล้วก็ได้กลับไปสนามรบต่อ

 

“หลิวฉิงโทรหาผมบอกว่ามีเงินสดไม่พอเลยขอยืมน่ะ เอ้านี่สามล้านหยวน” ซูจิ้งลงจากรถพร้อมเอากระเป๋ามาให้

 

ทุกคนต่างพากันประหลาดใจเพราะหลิวฉิงเพิ่งโทรได้ไม่นานแต่ซูจิ้งกลับสามารถนำเงินมาให้แทบจะในทันที่ ไม่ใช่คนทั่วไปสามารถทำได้

 

“ในที่สุดก็ได้ครบสิบล้านแล้ว” ชายวัยกลางคนในชุดสูทพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้น หลิวฉิงแนะนำให้รู้จักว่าเป็นผู้ช่วยของปู่ของเขา

นอกจากจะเป็นผู้โดยสารบนเครื่องบินแล้วปู่ของเขายังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสายการบินนี้และชายคนนี้เป็นคนที่ออกเงินค่าไถ่ส่วนใหญ่ เขานั้นไม่ได้สนใจเรื่องจำนวนเงินเลยสักนิด เขาเพียงหวังให้ผู้โดยสารทั้งหมดปลอดภัยแค่นั้นเอง

หวังเซี่ยวเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขานั้นก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ลักพาตัวมากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมเหตุการจี้เครื่องบิน ถ้าเป็นการลักพาตัวปกติเขายังพอใส่เครื่องติดตามหรือแบงค์ปลอมลงไปได้ แต่กับการจี้เครื่องบินนี้เขาแทบจะตุกติกไม่ได้เลยเพราะว่าไม่มีหนทางที่จะเข้าไปสร้างสถานการณ์เพื่อช่วยตัวประกันได้

 

หวังเซี่ยวและคนอื่นๆนำกระเป๋าเงินสดออกมา น้ำหนักของพวกมันรวมๆกันอยู่ที่ 200 ชั่ง พวกเขาเตรียมตัวที่จะนำเงินไปส่งให้ตามสถานที่ที่โจรได้นัดหมายไว้

 

“รอก่อน” ซูจิ้งได้พูดออกมาทันที เขาตรงไปที่กระเป๋าเงินอีกสามกระเป๋า เขาเปิดกระเป๋าออกทำท่าทางเหมือนกับกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างก่อนที่จะรูดซิปปิดแล้วบอกว่าเรียบร้อยแล้ว

 

นั่นทำให้คนที่เหลือต่างพากันสงสัยว่าซูจิ้งได้ทำอะไรลงไปแต่ตอนนี้ทุกคนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตั้งคำถามอะไรได้ ทำได้เพียงรีบเอาเงินไปส่งที่จุดนัดหมายให้เร็วที่สุด