ปล่อยให้ฉันจัดการเอง

ณ ข้างๆ สะพานได้มีกระเป๋าสามใบวางอยู่โดยไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น ตำรวจได้วางเงินกระเป๋าเงินเอาไว้ในตำแหน่งที่พวกโจรต้องการ ทันใดนั้นก็ได้มีรถตู้คันหนึ่งวิ่งเข้ามา มีชายใส่หน้ากากสองคนลงมาจากรถแล้วโยนกระเป๋าทั้งสามใบขึ้นรถไปหลังจากนั้นรีบขับออกไปทันที

 

ณ อีกบริเวณหนึ่งนั้น ภายในตึกตึกหนึ่ง หวังเซียวและคนอื่นๆ ต่างจับตามองเหตุการณ์โดยใช้กล้องส่องทางไกล ซูจิ้ง หลิวฉิง และคนอื่นๆ หวังเซียว กำลังเตรียมที่จะออกคำสั่งให้มีคนติดตามพวกนั้นไป แต่ซูจิ้งได้ทักขึ้นมาว่า “พี่เซียว ในสถานการณ์ตอนนี้ผมว่าอย่าตามเลยดีกว่านะ”

 

“ใช่ ถ้าเกิดว่าพวกโจรจับได้ขึ้นมาก็ได้ ตอนนี้แค่ให้เงินพวกมันไป และรอให้พวกมันปล่อยตัวประกันก่อนดีกว่านะ ชีวิตผู้โดยสารสำคัญที่สุด” หลิวฉิงก็เห็นด้วยกับซูจิ้ง พวกเขากลัวว่าถ้าพวกมันจับได้ว่ามีคนตามไปจะหาเรื่องทำร้ายตัวประกัน

 

หวังเซียวทำหน้าดูน่าเกลียดขึ้นมาในทันที ถ้าเขาไม่ติดตามตอนนี้แล้วปล่อยพวกโจรไปเลย นอกจากจะเสียเงินไปสิบล้านแล้วยังจับตัวพวกมันมาลงโทษไม่ได้อีก แต่ยังไงซะ ซูจิ้งและหลิวฉิงเองก็พูดถูก ถ้าเกิดถูกจับได้ผู้โดยสารต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน

 

“พี่เซียว อย่าห่วงไปเลย ผมมีวิธีตามหาพวกมันทีหลัง ไม่ต้องกังวลไปหรอก” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเข้าใจความคิด

 

เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเซียวมองซูจิ้งด้วยสายตาที่เปล่งประกาย จากการที่เขาได้มีโอกาสร่วมงานกับซูจิ้งมาพอสมควรทำให้เข้ารู้ถึงความสามารถของซูจิ้งดี นั่นรวมถึงความสามารถในการติดตามจากหมาหรือหนูเหมือนกับตอนที่ซูจิ้งใช้หมาป่านักรบในการช่วยเหลือผู้อาวุโสของตระกูลหวัง เขาพยักหน้าตอบรับพร้อมพูดว่า “ดี งั้นเรื่องนี้ฉันยกให้นายจัดการ”

จากนั้นหวังเซียวได้สั่งไปว่าให้ทีมติดตามถอนตัวและไม่ต้องตั้งด่านสกัดใดๆทังสิ้น ให้ปล่อยพวกมันไปเลย

 

ถึงแม้หวังเซียวจะทำอย่างนั้นแต่พวกโจรที่ดักฟังวิทยุอยู่ก็ยังไม่ไว้ใจ ยังคงมีการสับเปลี่ยนรถระหว่างหนี และขับรถวนเส้นทางจนกว่าจะมั่นใจว่าตำรวจไม่ติดตามจริงๆ ส่วนพวกโจรที่กำลังจี้เครื่องบินตอนนี้ยังไม่มีการปล่อยตัวประกันแต่อย่างใด

 

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อชายในชุดสูท หลิวฉิงและคนอื่นๆได้รับข่าวที่ไม่ค่อยดีนักจากทางสนามบินจนทำให้หน้าของพวกเขาซีดเผือด นั่นก็เพราะว่าด้วยการที่เครื่องบินถูกจี้กลางอากาศและถูกให้เปลี่ยนเป้าหมายในการลงจอด ทำให้มีน้ำมันไม่พอ ตอนนี้พวกโจรที่จี้เครื่องบินสองคนกระโดดร่มหนีออกมาแล้ว ตอนนี้ถึงสถานการณ์บนเครื่องบินจะคลี่คลาย แต่ด้วยน้ำมันเท่าที่มี ไม่มีทางที่จะไปถึงสนามบินก่อนน้ำมันหมดแน่นอนแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วพวกโจรได้วางแผนการนี้ไว้ก่อนอยู่แล้วเพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจในการติดตามพวกโจร

 

“รีบเตรียมการเติมน้ำมันกลางอากาศเดี๋ยวนี้” ชายใส่สูทรีบสั่งผ่านทางโทรศัพท์มือถือ

 

“ผมจะรีบเตรียมพร้อมครับ แต่ ณ จุดที่เครื่องบินโดยสารอยู่ห่างจากผมมาก เกรงว่าจะไม่ทัน จะให้ทำยังไงดีครับ” ปลายสายรีบพูดออกมา

 

“ถ้านายทำไม่ได้ล่ะก็ ให้ภาวนาไว้เลยว่าให้เครื่องบินโดยสารลงจอดอย่างปลอดภัย ไม่งั้นนายตายแน่” ชายในชุดสูทตะคอกใส่ปลายสายอย่างโกรธเกรี้ยว

 

“….” ปลายสายเองก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ เขาเข้าใจอารมณ์ของชายชุดสูทดี เขาเองก็จะพยายามเต็มความสามารถของเขาเหมือนกัน

 

“โธ่เว้ย ไอ้พวกสารเลว” ถ้าปู่ของฉันเป็นอะไรไปหล่ะก็ ฉันจะตามล่าฆ่าล้างพวกมัน” หลิวฉิงโกรธจนสายตาแดงก่ำ ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินว่ามีการจี้เครื่องบินนั้นอารมณ์ของเข้าก็โกรธอยู่แล้ว เมื่อทราบถึงสถานการณ์ ณ ตอนนี้ยิ่งทำให้เขาโกรธจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว

 

“ตอนนี้เครื่องบินอยู่ตรงไหนแล้ว” ซูจิ้งรีบพูดออกมาทันทีที่ทราบสถานการณ์

 

“บริเวณนี้” หวังเซียวรีบกางแผนที่แสดงให้ซูจิ้งเห็น

 

“อืมมมม ถ้าดูจากแผนนี้จุดที่เราอยู่ถือว่าพวกเราอยู่ใกล้กว่าสนามบินสินะ”

หวังเซียว เฉาเล่ย เจ้าหมิง และหลิวฉิง ไม่เข้าใจว่าซูจิ้งพยายามจะสื่ออะไร ก็จริงที่ระยะทางในจุดที่เขาอยู่ใกล้กว่าระยะทางที่เครื่องบินกำลังจะบินไปสนามบินถึงสามเท่า แต่ปัญหาตอนนี้คือต่อให้อยากจะขึ้นไปเติมน้ำมันให้เครื่องบินลำนั้นแค่ไหนก็ไม่สามารถ เพราะพวกเขาไม่มีเครื่องบิน

 

“พี่เซียว พี่สั่งให้เครื่องบิน บินมาหาเราแทนทีสิ” ซูจิ้งกล่าวอย่างหน้าตาเฉย

 

“ห้ะ นี่” หวังเซียวถึงกับอึ้งพูดไม่ออก จะให้บินมาทางนี้เพื่ออออ…

 

“คุณซู เราไม่มีเวลามาเล่นกันนะครับ” ชายในชุดสูทกล่าวเชิงตำหนิพร้อมท่าทางคิ้วขมวด

 

“พี่จิ้ง พี่จะทำอะไรอย่างนั้นหรอ” หลิวฉิงเริ่มจับทางบางอย่างจากซูจิ้งได้ แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อมากนัก เพราะลึกๆ แล้วเขาก็ยังคิดอยู่ว่าไม่มีทางที่ตอนนี้ซูจิ้งจะเสกเครื่องบินขึ้นมาเพื่อไปเติมน้ำมันได้ในบัดดลแน่นอน

 

“ไม่มีเวลาอธิบายหรอกนะ แต่ผมสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยๆ ผมก็มีความใจกว่า 90 เปอร์เซนต์ที่จะช่วยเครื่องบินลำนี้ไว้ได้ ยังไงซะเครื่องบินก็ต้องตกอยู่แล้วนี่ เมื่อกี้ก็ได้ยินกันแล้วไม่ใช่หรอว่ากว่าเครื่องบินเติมน้ำมันจะไปถึงยังไงก็ไม่ทัน ถ้ายังไงก็แค่ให้ผมลองดูแล้วพวกนายก็แค่คอยดูดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาแบบชิวๆ อีกครั้ง

ถ้าเขาพูดความจริงไปจะมีคนเชื่อก็บ้าแล้ว

ถึงเครื่องบินจะบินมาทางนี้จริงก็ไม่มีใครเชื่อว่าซูจิ้งทำอะไรได้อยู่ดี แม้แต่หวังเซียวและหลิวฉิงที่เห็นความสามารถของซูจิ้งมานักต่อนักก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี

 

อย่างไรก็ตามมันเป็นความจริงอย่างที่ซูจิ้งบอกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอธิบายแผนการ หวังเซียวและหลิวฉิงต่างใจเต้นขึ้นมา ในขณะนั้นทั้งคู่ต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้สมองอย่างมากในการตัดสินใจทันใดนั้นหลิวฉิงได้กัดฟันแล้วพูดออกมาว่า “ฉันเชื่อในตัวพี่จิ้ง ทำตามที่พี่จิ้งบอกเถอะ” “ฉันก็เชื่อในตัวอาจิ้งเหมือนกัน” หวังเซียวพูดสำทับลงไปพร้อมพยักหน้า

 

ตอนนี้หน่วยรบพิเศษของเขาไม่สามารถทำอะไรเรื่องเครื่องบินได้อีกแล้ว และเขาก็รู้ดีว่าถ้าเครื่องบินตกยังก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาอยู่ดี ไหนๆ ก็จะตกอยู่แล้วจะตกที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะบินไปสนามบินหรือบินตรงมาที่พวกเขา ยังไงซะตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าถ้าเปลี่ยนเส้นทางแล้วเกิดอุบัติเหตุก็ขอให้ทุกคนโทษพวกเขาอย่าได้ไปโทษซูจิ้งเลย เพราะตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำตามที่ซูจิ้งบอก เขายอมพนันชีวิตของเขากับชีวิตคนร้อยคนด้วยการตัดสินใจนี้

 

“คุณซู คุณมั่นใจถึง 90 เปอร์เซนต์เลยหรอ” ชายในชุดสูทถามซูจิ้ง เขานั้นไม่ได้คิดถึงสถานะภาพของซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย เขาคิดเพียงแค่ว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขายังมองไปทางหวังเซียวและหลิวฉิงที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่อซูจิ้ง เขาทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากจะจับฟางเส้นสุดท้ายเส้นนี้เอาไว้ ต่อให้มันจะเป็นฟางเส้นบางๆ ก็ตาม

 

“ใช่ ผมมั่นใจ” ซูจิ้งผงกหัวรับ

 

“ดี ครั้งนี้ฉันเชื่อคุณ หวังว่าคุณจะไม่โกหกนะ” ชายใส่สูทได้กัดฟัน เขารู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ทันใดนั้นเขาได้รีบโทรศัพท์ไปที่สนามบินเพื่อบอกให้เปลี่ยนเส้นทาง ฝั่งสนามบินเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก พอชายในชุดสูทพูดย้ำไปอีกครั้งพร้อมบอกไปว่าเขามีหนทางช่วยทุกคนจึงรีบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องทันที

 

ในขณะนั้นซูจิ้งได้ผิวปากแล้วรีบกระโดดออกไปทางหน้าต่างทันที ทุกคนในตอนนั้นต่างตกตะลึงในภาพที่เห็น อย่างไรก็ตามซูจิ้งที่กระโดดออกไปทางหน้าต่างได้หล่นลงไปบนอินทรีย์ทองที่บินลอยอยู่บนฟ้าแล้วก็ทะยานขึ้นฟ้าไปในทันที

 

“อินทรีย์ทองคำ” หลิวฉิงตาเป็นประกายกับภาพที่เห็น

 

“แต่นี่ก็ยังไม่เร็วพอ” หวังเซียวได้สังเกตเห็นว่าความเร็วที่อินทรีย์นั้นไม่เร็วพอ ต่อให้พวกเขาร่นระยะเข้ามาแล้วก็ไม่น่าจะไปทัน

 

“ต่อให้ไปทันแล้วยังไงหล่ะ ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย ฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ทำไมฉันถึงฟังคำพูดของเขานะ” ทันใดนั้นชายในชุดสูทก็บ่นพึมพำออกมา เขามีความรู้สึกการที่เขาเชื่อซูจิ้งเป็นสิ่งที่ผิดพลาด ในตอนนี้เขามีอาการประสาท(แดก) อย่างหนัก ถึงแม้ว่าเขาจะตื่นตะลึงกับอินทรีย์ทองที่ตัวใหญ่ขนาดพาคนบินขึ้นไปได้ด้วยก็ตาม แต่เขาไม่มีอารมณ์ที่จะตื่นตะลึงขนาดนั้น ยังไงซะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้โทรไปบอกให้เครื่องบินหันหัวกลับไปที่สนามบินอยู่ดี

 

หลังจากทะยานขึ้นฟ้า อินทรีย์ทางบินด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดเท่าที่มันจะบินได้ ณ ตอนนี้ความเร็วสูงสุดที่มันทำได้อยู่ที่ 450 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันไม่มีทางเลยที่คนทั่วไปจะไม่ล่วงหล่นลงจากหลังได้

 

“เสี่ยวจิน เพิ่มความเร็วเข้าไปอีก”

 

ซูจิ้งพูดพร้อมหยิบกระดาษที่เขียนยันต์ขึ้นมาไว้ในมือ มันคือยันต์ที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯ ฝืนชะตาฟ้าฯ ในตอนแรกมันมีทั้งหมดแปดแผ่นแต่ได้ถูกใช้ไปบ้างแล้ว เขาเคยใช้ไปครั้งหนึ่งและตอนนี้ก็กำลังใช้มันอีกครั้ง ครั้งนี้ซูจิ้งได้ใช้ยันต์เร่งความเร็วซึ่งมีผลในการแหวกอากาศนั่นทำให้ความเร็วของซูจิ้งในตอนนี้อยู่ที่ 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมีความเร็วเทียบเท่าเครื่องพาณิชย์ทั่วไปแล้ว