ทุกๆ วินาที
อินทรีทองได้บินอย่างเร็วที่สุดที่มันจะบินได้จนทำให้ผิวหนังของซูจิ้งรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากสายลม เร็วถึงขนาดที่ไม่สามารถเปิดตาได้ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นแต่ก็เท่านั้นเพราะด้วยความเร็วขนาดนี้เขารับไปก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี เขาเลยจงใจไม่รับสาย
ซักพักเสียงโทรศัพท์ของหลิวฉิงก็ได้ดังขึ้น เมื่อเขาเห็นว่าเป็นหวังจ้าวโทรมาเขาก็รีบรับสาย หวังจ้าวถามหลิวเฉิงด้วยอาการอารมณ์เสียว่า “ตอนนี้เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องการจี้เครื่องบิน และเพิ่งได้ยินว่าอาจิ้งขอให้เครื่องบินเปลี่ยนเส้นทางการบินด้วยนี่ ตอนนี้ฉันโทรไปเขาก็ไม่ยอมรับสาย”
“พี่จิ้งเขา……” หลิวฉิงรีบอธิบายเรื่องทุกอย่าง
“อาจิ้งจะไปก่อเรื่องอะไรอีกเนี่ย” หวังจ้าวรีบร้อนอย่างไม่ต้องสงสัย การที่เครื่องบินเปลี่ยนเส้นทางการบินตามที่ซูจิ้งต้องการนั้น ถ้าหากว่าเครื่องบินเกิดเหตุเครื่องบินตก ซูจิ้งจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ไปเต็มๆ ผู้โดยสารกว่า 100 ชีวิตจะต้องสูญเสีย นี่ไม่ใช่เรื่องตลกแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นการทำอย่างนี้ถ้าเกิดเหตุผิดพลาด แทนที่จะโทษพวกโจรจะกลายเป็นทุกคนโทษซูจิ้งไปแทน เกรงว่าต่อให้เป็นตระกูลหวังเองก็ยังช่วยไม่ได้ เขานั้นไม่อยากให้ซูจิ้งรับผลที่ซูจิ้งไม่ควรจะได้รับแม้แต่น้อย
“พี่จิ้งเหมือนจะพอมีทางทำอะไรได้อยู่น่ะ” หลิวฉิงพูดออกมา
“ก็หวังว่าไม่ใช่แค่พยายามทำตัวเป็นฮีโร่ทั้งที่ทำอะไรไม่ได้ก็พอแล้ว” หวังจ้าวตอนนี้ทำได้แค่ภาวนาอย่างหมดหัวใจ
ณ กลางอากาศ ในช่วงเพียงหนึ่งนาที อินทรีย์บินไปได้ระยะทาง 13 กิโลเมตร แต่มันก็ยังเป็นการยากที่จะรักษาระดับความเร็วในระดับนี้ไว้ได้ อีกทั้งยิ่งความเร็วมากเท่าเร็ว ระยะเวลาที่ยันต์แสดงผลจะยิ่งน้อยลงเช่นเดียวกัน ทันทีที่ผลของยันต์หมดลงความเร็วของอินทรีย์ทองก็ลดลงเช่นเดียวกันรวมถึงกระแสลมได้เข้าปะทะอย่างเต็มแรง
ซูจิ้งได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว เขาได้ส่งอินทรีย์กลับเข้าไปในถุงกักอสูรและเรียนกระบี่บินออกมา แล้วได้ทำการติดยันต์ไว้ที่ต้นขาของตัวเอง ภาพในตอนนี้เมื่อคนอื่นเห็นจะเปรียบเสมือนลูกศรลูกใหญ่กำลังพุ่งไปที่ไหนซักที่นึง
ด้วยความแข็งแกร่งของพลังจิตของเขาในขณะนี้ที่สามารถออกแรงยกของได้ที่น้ำหนัก 430 ชั่ง ซึ่งนั่นทำให้ผลของความเร็วใจตอนนี้ เมื่อร่วมกับผลของยันต์ความเร็วของเขาแทบไม่ต่างจากอินทรีย์ทองเลยซักนิด หลังจากผ่านไปเมื่อเขาบินได้ 13 กิโลเมตร เขาก็เริ่มบินไม่ไหวจึงได้สลับไปขี่อินทรีย์ทองอีกครั้ง ด้วยวิธีการนี้ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาแทบไม่ตกเลยแม้แต่น้อย ถ้าใครมาเห็นพวกเขาตอนนี้คงทำได้ตกตะลึงอ้าปากกว้างเพราะไม่ว่าจะเป็นอินทรีย์ทองหรือซูจิ้ง แค่บินกันอยู่นี่ก็น่ามหัศจรรย์อยู่แล้ว โชคดีที่พวกเขาบินอยู่เหนือเมฆขึ้นไปจึงไม่ต้องกลัวใครเห็นแน่นอน
ก่อนที่ยันต์จะหมดฤทธิ์ลงอีกหนนั้น ซูจิ้งก็ต้องตาลุกวาวทันทีเพราะเขาได้เห็นเครื่องบินอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาให้อินทรีย์ทองลดความเร็วและพยายามให้บินไปเทียบข้างๆ เครื่องบิน ซึ่งไม่ได้ยากเย็นเท่าไหร่นักเพราะว่าเครื่องบินพยายามบินให้ช้าที่สุดเพื่อประหยัดน้ำมัน โดยวิ่งที่ความ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงประหนึ่งจะพยายามลงจอดบนก้อนเมฆ
“พระเจ้า ดูนั่นสิ”
“ตาฉันไม่ได้ฝาดไปใช่ไม๊”
“นั่นเขา ซูจิ้งนี่ ลูกสาวฉันเป็นแฟนคลับของเขา”
“นั่นมันพี่จิ้งและอินทรีย์ทองของเขา พวกเขามาช่วยพวกเราแล้ว”
“ทางนี้ครับคุณพี่”
ผู้โดยสารบางคนที่ไม่รู้จักซูจิ้งนั้น ในตอนนี้พวกเขาต่างรู้สึกโง่งม บางคนที่เป็นแฟนคลับกลับตื่นเต้นดีใจจนแทบเป็นลมล้มพับ พวกเขาเคยแต่เห็นอินทรีย์ทองในวิดีโอเท่านั้น ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองเลยซักครั้ง ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเองไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นพวกเขาบินมาด้วยความเร็วเท่ากับเครื่องบินเล็กอีกลำนึงเลยด้วยซ้ำ เมื่อพวกเขารู้สึกตัวก็ได้เพียงคิดว่าตัวเองฝันไปและได้แต่ยืนมองอยู่อย่างนั้น
มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายบนเครื่องในขณะนั้น บางคนเอากล้องขึ้นมาถ่ายรูป พร้อมนึกไปว่าต่อให้ตัวเองตายจริงก็คุ้มค่าแล้ว
“เปิดประตูซะ” เพราะว่าเวลาไม่คอยท่าแล้ว ซูจิ้งปล่อยพลังจิตไปที่กัปตันและบริกรให้เปิดประตู แล้วเขาก็สั่งให้อินทรีย์ทองเข้าไปใกล้ประตู เมี่อประตูเปิดออกเขารีบกระโดดเข้าไปพร้อมปิดประตูอย่างรวดเร็วโดยให้อินทรีย์ทองคอยบินตามเครื่องบินเอาไว้ก่อน
เมื่อเข้ามาแล้ว เขาสังเกตได้ว่ามีชายแก่คนหนึ่งนอนหงายอยู่ที่พื้น บนร่างของเขามีเลือดที่แห้งกรังเกาะอยู่ ดูเหมือนเขาบาดเจ็บพอสมควร แต่โชคดีมีชายชราคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นหมอคอยปฐมพยาบาลให้ ไม่อย่างนั้นคงตายไปแล้ว แต่ด้วยปริมาณเลือดที่ออกมากขนาดนี้คิดว่าคงไม่นานนัก ซูจิ้งลองปล่อยพลังจิตเข้าไปตรวจสภาพร่างกายของชายชราก็พบว่าเขาอ่อนแอลงมากแล้ว
จากข้อมูลที่เขาได้รับไม่มีคนที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นไปได้ว่าด้วยความร้อนลนทำให้เกิดอุบัติเหตุเหยียบกันเอง ยังไงเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนบนภาคพื้นดินรู้เรื่องได้ นี่โชคยังดีที่มีคนบาดเจ็บแค่คนเดียวเท่านั้น
“คุณซู” หลิวฮงลุกขึ้นออกมาจากที่นั่งทันทีที่เขาเห็นซูจิ้ง แต่เขาเองก็ทำได้แค่ตะลึงและพูดอะไรไม่ถูกเหมือนกันกับภาพที่เห็น ทุกคนที่อยู่บนเครื่องตอนนี้ต่างคิดว่าซูจิ้งนั้นคือพระเจ้าไปแล้ว
“อย่างกังวลไปเลยทุกคน ตอนนี้ทุกคนกลับไปนั่งที่นั่งของตัวเองกันก่อน” ซูจิ้งไม่มีเวลามากพอที่จะสนใจชายแก่บนพื้นเลย เขาตรงไปที่ห้องนักบิน
ด้วยการที่เขาไม่มีเวลาและขี้เกียจอธิบายจึงได้สะกดทุกคนที่คิดจะเข้ามาถามและขัดขวางเขาในการเข้าห้องนักบิน แต่เป็นเพียงการสะกดจิตเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเพื่อให้นักบินจะได้ขับเครื่องบินได้อย่างนิ่มนวลต่อไป
เขาถามกัปตันไปว่า “เหลือน้ำมันอีกเท่าไหร่”
กัปตันหันกลับมาตอบกับซูจิ้งอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าเครื่องบินไม่ได้เติมน้ำมันละก็จะบินได้อีกเพียง 20-30 กิโลเมตรเท่านั้น และไม่มีสถานที่ที่พอลงจอดได้เลย แต่ซูจิ้งไม่สนใจเรื่องนั้น เขาเปิดประตูอีกครั้งและกระโดดออกไปบนอินทรีย์ทองแล้วให้มันบินไปตรงที่เติมน้ำมัน เมื่อเปิดฝาออกเขาได้ใส่ผงอะไรซักอย่างที่มีสีดำแล้วปล่อยพลังจิตของเขาออกมาแล้วก็ผลักพวกมันเข้าไปในช่องเติมน้ำมัน
กัปตัน สจ๊วต และบริกร ที่มองซูจิ้งผ่านหน้าต่าง พวกเขาไม่รู้เลยว่าซูจิ้งทำอะไรลงไป ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่กลัว กลัวว่าเครื่องบินจะตกแน่นอนแล้ว กลัวจนไม่มีใครอยากจะพูดอะไรออกมา
หลังจากที่ส่งผงสีดำๆทั้งหมดเข้าไปในช่องเติมน้ำมันแล้ว ซูจิ้งก็ได้กลับเข้าไปในเครื่องและได้บอกให้กัปตันหันหัวเครื่องบิน เพื่อบินกลับไปลงจอดที่สนามบินที่ใกล้ที่สุด โดยที่สนามบินได้มี หลิวฉิง ชายใส่สูท หวังเซีย และคนอื่นๆ คอยอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาต่างตะลึงเมื่อได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเขาต่างคิดว่าซูจิ้งคงไม่มีทางเลือกแล้วจึงให้หันหัวกลับไปที่สนามบินตามเป้าหมายแรกสุด ซึ่งเครื่องบินไม่มีทางไปถึงอยู่แล้ว ยิ่งมีการเปลี่ยนเส้นทางบินออกมาแล้ววกกลับเข้าไปเหมือนเป็นการเพิ่มระยะทาง ด้วยน้ำมันที่เหลือเท่านี้ไม่มีทางที่เครื่องบินจะไปถึงได้เลย