มนต์วิเศษ
“มันจบแล้ว” ชายใส่สูทและหลิวฉิงหน้าซีดลง หวังเซียว เจ้าหมิง เฉาเล่ยและคนอื่นเองก็ทำหน้าตาหน้าเกลียดไม่แพ้กัน ตอนแรกเครื่องบินก็ไม่มีทางบินไปถึงสนามบินอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งแล้วไปกันใหญ่ ที่สนามบินผู้คนต่างคอยจับตามองวินาทีที่เครื่องบินอยู่ว่าจะตกตอนไหน ในตอนนี้ไม่มีใครคิดเลยว่าเครื่องบินจะไปถึงสนามบินได้อีกต่อไป ถึงแม้พวกเขาจะลองหาสถานที่ลงจอดฉุกเฉินแล้วแต่ก็ไม่มีสถานที่ไหนที่เป็นไปได้เลยซักนิด เพราะเครื่องบินพาณิชย์นั้นต้องใช้พื้นที่ๆ ยาว และโล่งพอ ไม่เหมือนเฮลิคอปเตอร์ที่ลงจอดที่ไหนก็ได้
“มันจบแล้ว” กัปตันและลูกเรือคนอื่นๆ ต่างร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
“ยังไม่จบหรอกแน่ แค่บินไปสนามบินก็พอแล้ว” ซูจิ้งพูดอย่างสบายใจ
“แต่น้ำมันเราไม่พอนะ” กัปตันกับผู้ช่วยต่างก็พยายามที่จะโอดครวญออกมา
“แค่ฟังฉันก็พอ” ทันใดนั้นซูจิ้งได้ปล่อยพลังจิตออกมาเพื่อให้พวกเขาสงบลง อย่างไรก็ตามทั้งพวกลูกเรือและผู้โดยสารคนอื่นเมื่อเห็นว่าเครื่องบินเปลี่ยนเส้นทางอีกครั้ง พวกเขาต่างรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้การที่ซูจิ้งมาที่นี่ได้จะทำให้พวกเขาประหลาดใจซักแค่ไหนแต่มันก็เท่านั้น เพราะยังไงซะน้ำมันก็ต้องหมดลงอยู่ดี ถ้าบนเครื่องบินมีชูชีพพวกเขาคงแย่งกันเพื่อกระโดดไปแล้ว แต่บนเครื่องบินมีร่มชูชีพแค่สองอันซึ่งถูกนำไปโดยโจรสองคนนั่นไปแล้ว เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ซูจิ้งค่อนข้างพอใจเพราะนั่นทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่น่าอนาถใจยิ่งกว่านี้
“ตอนนี้นายกำลังจะบินไปที่ไหนน่ะ ทำไมพวกเราถึงเปลี่ยนเส้นทางกันอีกครั้งน่ะ”
“ถูกต้องแล้วไม่ว่ายังไงพวกเราต้องรีบลงจอดนะ”
“ซูจิ้ง นายน่ะให้ฉันขี่เจ้านกนั่นซะ แล้วชั้นจะให้นาย 1 ล้านหยวน”
“ฉันให้ 10 ล้านเลย พาฉันลงไปที”
“อย่าโวยวายกันสิ คุณไม่เห็นกันหรอว่าพี่จิ้งพยายามจะทำอะไรบางอย่างอยู่”
“พี่จิ้งเขาไม่พาแค่แกไปหรอกน่า เพราะเขาต้องพาทุกคนไปอยู่แล้ว”
บรรยากาศโดยรอบในตอนนี้สามารถบอกได้เลยว่าอึมครึมอย่างมาก บางคนต่างคิดว่าจะให้ทองซูจิ้งเพื่อพาลงไป บางคนก็เสนอเงินจำนวนมหาศาล แต่ซูจิ้งกลับแค่เดินไปหาชายแก่ที่กำลังบาดเจ็บอยู่เท่านั้น
“เงียบๆ หน่อยได้ไหม”
เสียงซูจิ้งที่พูดออกมาไม่ดังมากแต่แฝงไปด้วยพลังอำนาจที่มาจากพลังจิตของเขา มันให้ความรู้สึกเหมือนเขาได้ใช้มนต์วิเศษทำให้ทุกคนต่างเงียบปากลง เหล่าแฟนคลับเมื่อเห็นภาพดังกล่าวต่างรู้สึกตาโตเท่าไข่ห่าน นี่สินะที่เขาเรียกว่าจิตสังหารพวยพุ่ง
ผู้โดยสารทุกคนได้สติกลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย ตอนนี้พวกเขาทำได้แต่รู้สึกอายในสิ่งที่ตัวเองพยายามกระทำลงไปเท่านั้น ซูจิ้งไม่ได้สนใจพวกเขา ตอนนี้เขาสนแค่ชายแก่เท่านั้น
“เขาเป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งถามอาการจากคนที่ปฐมพยบาลชายแก่อยู่ ชายแก่ที่ได้รับบาดเจ็บอายุประมาณ 70 -80 ปี ตัวค่อนข้างสูง ผมขาวไปครึ่งหัวแล้ว ที่หน้ามีเลือดเปรอะอยู่แต่เลือดได้แห้งกรังไปแล้ว ส่วนคนที่ปฐมพยาบาลอยู่นั้นเป็นคนที่ดูเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างสูง แข็งแรง และดวงตาของเข้าตอนนี้รู้สึกเศร้าใจในสิ่งที่เกิดจนน้ำตาคลอจนแดงกล่ำ
“เขาถึงขีดจำกัดแล้ว ผมเกรงว่า….” ชายที่ปฐมพยาบาลเป็นหมอประจำเครื่อง เขาพยายามสุดความสามารถจนทำให้เลือดเปือนตัวของเขาไปทั่วรวมถึงมือด้วย ซึ่งตอนนี้เขาทำได้แค่ถอดใจแล้วเท่านั้น
ชายแก่ที่บาดเจ็บนั้นเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก มากถึงขนาดที่ต่อให้ไปโรงพยาบาลก็ไม่น่าจะช่วยชีวิตเขาได้ทันอยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้อยู่บนเครื่องบินกันที่ไม่มีทั้งเครื่องมือและหมอ เขานั้นทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
“ขอผมดูหน่อยนะ” ซูจิ้งนั่งลงข้างๆ เขาจับมือชายแก่เอาไว้ ชายที่ตาแดงกล่ำที่นั่งอยู่ข้างๆชายแก่คนนั้นได้รีบจับมือซูจิ้งพร้อมถามว่า
“คุณเป็นหมอหรอ”
“เปล่า” ซูจิ้งส่ายหัว
“แล้วนายคิดจะทำอะไร” ชายคนนั้นตะคอกออกมา
“งั้นนายก็ลองดูด้วยตาตัวเองแล้วกัน” ซูจิ้งขี้เกียจอธิบาย เขาได้ปล่อยพลังวิญญาณออกมา
พลังได้ทำให้หมอและชายอีกคนที่อยู่ใกล้รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจนพวกเขาเผลอคิดว่าได้สัมผัสกับพลังของพระเจ้าเข้าแล้ว พลังนั้นให้ความรู้สึกหนักหน่วง สิ่งที่พวกเขาได้สัมผัสนั้น นั่นคือเวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิซึ่งมีพลังธรรมชาติเป็นตัวขับเคลื่อน
หลิวฮงที่อยู่ใกล้ๆ ไม่เข้าใจว่าซูจิ้งได้ทำอะไรลงไป ตอนแรกเขาก็คิดแค่ว่าซูจิ้งกำลังเล่นตลกกับชีวิตคนอยู่ เพราะเขาเองก็ไม่ใช่หมอ ไม่มีทางรักษาคนได้แน่นอน แต่ทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยภาพที่ซูจิ้งใช้คลื่นพลังหยุดชายคนนั้นเอาไว้ ทำให้ทุกคนที่เห็นล้วนตะลึงในสิ่งที่เกิด
เมื่อชายคนนั้นได้สติกลับมาเขาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป ตอนแรกที่เขาพยายามจะหยุดซูจิ้งตอนนี้เขาไม่มีความคิดจะหยุดซูจิ้งอีกแล้ว หลังจากนั้นทุกคนต่างประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม สีหน้าของขายชราที่นอนอยู่บนพื้นดูดีขึ้นกว่าเดิม ดีขึ้นจนผู้หญิงตัวสูงที่จะเข้าหยุดซูจิ้งอีกคนเมื่อสักครู่ยังเห็นการเปลี่ยนแปลงด้วยตาตัวเอง
“ห้ะ” หมอประจำเครื่องก็ทำได้เพียงแสดงอาการตกใจออกมาเช่นเดียวกัน เขาได้ลองฟังเสียงหัวใจและชีพจรดูก็พบว่าอัตราเต้นดีขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้จนเหมือนหายดีแล้ว ตาของเขาร้อนจนเหมือนจะฉายได้แล้วเขาก็พูดออกมาว่า
“นี่เป็นไปได้อย่างไงกัน”
“ผู้อาวุโสอาการเป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งผละตัวเองออกมา
“เขาดีขึ้นแล้ว ฉันรับรองได้” หมอประจำเครื่องได้ฟังเสียงหัวใจและจับชีพจรอีกครั้งครั้งนี้เขารู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสตอนนี้มีความแข็งแรงจนถึงขั้นเหมือนเขาไม่ได้แก่เลยด้วยซ้ำ
“จริงหรอคะหมอ” ผู้หญิงตัวสูงแสดงออกด้วยความยินดีอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
หลิวฮงและผู้โดยสารเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเองเหมือนกัน ผู้อาวุโสคนนี้ถูกโจรใช้มีดแทง เขาเจ็บหนักจนถึงขั้นเลือดออกไม่หยุด ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นคนแก่เลย ต่อให้คนหนุ่มๆเจอไปขนาดนั้นก็ยังลุกไม่ขึ้นแน่นอน แม้แต่หมอที่รักษาเขาก็คิดว่าไม่มีทางรอดแน่นอน แต่นี่…. ตอนนี้กลับบอกว่าเขารอดแล้ว เป็นไปได้ไง
“แค่กๆ” ทันใดนั้นผู้อาวุโสคนนั้นได้ไอมาสองทีแล้วลืมตาขึ้น ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ได้แสดงท่าทีว่าเป็นคนแก่เลยซักนิด พร้อมถามขึ้นว่า
“เป็นยังไงบ้าง พวกโจรล่ะ” ทุกคนทำท่าทางโง่งมไปต่อกันไม่ถูก
“ท่านปู่” หญิงตัวสูงและชายกำยำต่างเรียกชายชราคนนั้น พวกเขาเข้าไปจับมือ พร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมตอบไปว่า
“ตอนนี้พวกโจรกระโดดร่มหนีไปแล้วครับ พวกเรานั้นห่วงอาการของปู่จนคิดว่าปู่จะ…..”
“ดีแล้วดีแล้ว” ผู้อาวุโสทำได้แค่ตบมือไปยังหลังของคนทั้งสอง เขามองดูที่บาดแผลก็ทำได้แค่ตกใจ เขาว่าเขาเจ็บหนักเลยนะแต่ทำไมตอนนี้แผลกลับหายไปแล้วหล่ะ แถมเขายังเสียเลือดมากแต่ทำไมยังรู้สึกมีแรงดีอยู่เลย
“คุณ คุณทำอะไรลงไปกันแน่” หมอประจำเครื่องพยายามหาเหตุผลจากภาพที่เห็น เขาพยายามถามจากซูจิ้งแต่ซูจิ้งก็ชักสีหน้าแล้วตอบว่า
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” พูดเสร็จเขาก็ยักไหล่แล้วแสดงท่าที่ไม่รู้ไม่เห็น
“แต่ แต่ว่า..” หมอประจำเครื่องทำได้เพียงอ้ำอึ้งก็เพราะว่า ภาพที่เขาเห็นก็เพียงแค่ซูจิ้งจับมือชายชราแล้วเหมือนจะมีแสงอะไรบางอย่างแล้วชายแก่ก็หายดีแต่ด้วยความรู้ของเขาเองก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ จะไปบังคับให้คนอื่นอธิบายให้เขาเข้าใจนั้นคงยากสุดกู่แน่นอน
ซูจิ้งได้ลุกขึ้นแล้วเดินออกมา เขาเองก็ประหลาดใจเหมือนกันเขาไม่คิดว่าเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิจะได้ผลขนาดนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่ได้ผลด้วยซ้ำเพราะเขานั้นเพิ่งจะฝึกได้ไม่เท่าไหร่แถมยังต้องใช้กับคนที่สภาพใกล้ตายอีกด้วย นอกจากนั้นยังถูกคนอื่นขัดจังหวะอีก แต่ยังไงซะด้วยตอนนี้สำหรับเขาเรื่องทุกอย่างถือว่าคลี่คลายดีแล้ว ความจริงแล้วชายสองคนนั้นก็อยากได้รับคำอธิบายเหมือนกัน แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วเขาคิดว่าซูจิ้งไม่อยากเผยตัวเองเท่าไหร่นัก เขาจึงไม่อยากเข้าไปถามตรงๆ แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “คุณซูคะ ฉันชื่อเฉียนไจ๋บิง ถ้าเราลงพื้นได้อย่างปลอดภัย ฉันคิดว่าเราคงพอจะเป็นเพื่อนกันได้นะคะ คุณซูก็มาด้วยอินทรีย์ทอง แถมคุณดูไม่กระวนกระวาย หรือเร่งรีบอะไรเลย คุณมีทางคลี่คลายปัญหาแล้วงั้นหรอคะ”
ทุกคนที่อยู่รอบต่างมองไปที่ซูจิ้ง ด้วยคำถามนี้ได้ทำให้ทุกคนรู้สึกตัวในทันทีว่าซูจิ้งนั้นทำตัวไม่สมเหตุผลแม้แต่น้อย หรือว่าเจ้าอินทรีย์ทองตัวนั้นจะช่วยทุกคนได้