เชื้อเพลิง…

 

“ทุกคนอย่างกังวลไปเลย ทุกคนจะปลอดภัยจนไปถึงสนามบินแน่นอน” ซูจิ้งกล่าวออกมาด้วยเสียงกังวาล

 

“คุณซู อย่าหลอกพวกเราเลย ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เรื่องเชื้อเพลิงใช่รึเปล่า มันมีไม่พอไปถึงสนามบินใช่ไหม” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด เขาคิดว่าซูจิ้งต้องแค่ปลอบขวัญทุกคนแค่นั้นเอง

 

“คุณซู เครื่องบินลำนี้มีเชื้อเพลิงไม่พอจะบินไปถึงสนามบินได้หรอก ต่อให้ไม่มีการเปลี่ยนเส้นทางการบินก็ไปไม่ถึงอยู่ดี” เฉียนไจ๋บิงพูดมาอย่างปลงชีวิต เธอปลงตกพร้อมคิดว่ายังไงซะซูจิ้งก็ไม่มีทางช่วยพวกเขาได้แล้ว

 

ซูจิ้งขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป เขาเลิกจะใส่ใจคนพวกนี้แล้ว แต่เขาเลือกที่จะเดินไปที่หลิวฮงพร้อมรอยยิ้ม แล้วพูดทักทายออกไปว่า

 

“คุณหลิว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ เมื่อกี้ผมมัวแต่วุ่นๆ อยู่เลยยังไม่ได้ทักคุณเลย”

 

“เอ่อออ…” หลิวฮงได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก นั่นรวมถึงคนอื่นๆ ที่ได้ยินด้วย ไม่มีเวลาจะทักแล้วคุยเนี่ยนะ ใครจะเหมือนนายกันที่จะกระโดดออกไปตอนไหนก็ได้ด้วยการขี่อินทรีย์ทองเพื่อหนีออกจากเครื่องบินลำนี้

 

“ก็ดี เอาหยั่งงี้ดีกว่า คุณบอกพวกเราถึงสถานการณ์ที่แท้จริงดีกว่าว่าคุณได้ทำอะไรลงไป เมื่อกี้ผมเห็นนะว่าคุณออกไปทำอะไรบางอย่างที่ช่องรับน้ำมันข้างนอกนั่นน่ะ” หลิวฮงนั้นต่างถูกจับตามองจากสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไป ความจริงเขาก็ไม่ได้สุขุมอะไรหรอก ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีอารมณ์อยากจะพูดซะด้วยซ้ำ

 

“เดี๋ยวพวกเราก็จะเห็นกันเองหล่ะครับ” ซูจิ้งไม่ได้บอกอะไรมากมาย เมื่อเขาเลือกที่จะมาที่นี่เขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าจะได้ผลไปหมดแล้ว เหตุผลที่เขายังอยู่ที่นี่เป็นเพราะว่าหากเกิดอะไรผิดพลาดเขาจะได้ช่วยฉิงฮงได้ทันเวลาแค่นั้นเอง

 

ทันใดนั้น เครื่องบินก็เหมือนจะหันหัวลงกระทันหัน กัปตันพยายามที่จะบังคับเครื่องเพื่อลงจอดบนถนนร้างเส้นหนึ่ง ซึ่งจากสภาพแล้วต่อให้กัปตันฝีมือดีแค่ไหนก็ตายยกลำแน่นอน อย่างไรซะก็ยังดีกว่าปล่อยให้ไปตกในเมือง ซึ่งจะมีผู้บริสุทธิ์ตายมากกว่านี้แน่นอน กัปตันและผู้ช่วยนักบินได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะพาทุกคนไปตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

“ฟังที่ฉันบอกว่าให้ไปจอดที่สนามบินไม่รู้เรื่องรึไงกัน” ซูจิ้งเดินเข้ามาถามกัปตันด้วยความอารมณ์เสีย

 

“พวกเราไม่มีน้ำมันพอไปถึงหรอกน่า พวกเราต้องลงจอดเดี๋ยวนี้” กัปตันพูดตอบออกไป เขาเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงฟังสิ่งที่ซูจิ้งบอกเขาก่อนหน้านี้

 

“ใครบอกว่าเราไม่มีน้ำมัน นายคิดว่าเราจะต้องบินไกลแค่ไหนถึงจะถึงสนามบินที่ใกล้ที่สุด ครึ่งโลกรึไงกัน ลองดูอีกทีซิว่าเรามีน้ำมันเหลือกันแค่ไหน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ

 

“ห้ะ” กัปตันและรองกัปตัน ต่างมองหน้ากันแล้วเขาก็หันไปมองเข็มน้ำมันอีกครั้ง ทำไมเข้ารู้สึกว่าเข็มน้ำมันไม่ลดลงเลยสักนิด อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเพิ่งบินมาหลังจากการมองครั้งล่าสุดไม่นานนัก เข็มน้ำมันเลยยังไม่ลด

 

“ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย” ผู้ช่วยกัปตันพูดออกมาพร้อมความงงงวย

 

“ถึงอย่างนั้นเราก็มีน้ำมันไม่พอที่จะไปสนามบินอยู่ดี” กัปตันพยายามจะเถียงซูจิ้ง

 

“แค่ ขับ ไป ก็ พอ แล้ว” ซูจิ้งพูดยังไงกัปตันก็ทำท่าจะไม่ฟัง เขาก็เลยปล่อยพลังจิตออกมาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้สะกดจิตแบบเต็มพิกัดเพราะถ้าทำอย่างนั้นพวกเขาจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ มันจะมีปัญหากับการลงจอดแน่นอน

ด้วยความเกรงกลัวต่อพลังของซูจิ้งทำให้กัปตันไม่กล้าลงจอด ทำได้แต่ขับต่อไป

 

“เกิดอะไรขึ้น นายไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง รีบลงจอดก่อนที่เราจะพลาดโอกาสนะ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปนายจะมาโหม่งโลกในเมืองรึไงกัน” ผู้ชายในวิทยุสื่อสารตะโกนโวยวายออกมา

 

“แต่ว่า….” กัปตันทำหน้าหน้าเกลียดขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดีแล้ว

 

“ฟัง ฉัน แค่ ขับ ไป ก็ พอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีอำนาจราวกับมีมนต์สะกดให้ทุกคนทำตามได้ทุกอย่าง นั่นทำให้กัปตันเชื่อฟังเป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้นเกน้ำมันที่ควรจะลด มันกลับไม่ลดลงเลยซักนิด ท่ามกลางเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ก็ผ่านมา 25 กม.แล้ว น้ำมันที่ควรจะลดจนหมดไปแล้วกลับลดลงนิดเดียวเท่านั้น

ทางฝั่งสนามบินต่างพากันงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่มีเชื้อเพลิงแล้วนี่ ทำไมเครื่องยังไม่ตกหล่ะ มันยังบินอยู่จริงๆ ใช่รึเปล่า

 

กัปตัน รองกัปตน บริกร และผู้โดยสาร ผู้ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันน่า พวกเขาต่างแสดงความตื่นเต้นออกมาเพราะมันควรจะถึงเวลาที่น้ำมันหมดถังแล้วแต่เครื่องบินก็ยังบินต่อไปได้ ทำให้พวกเขาเริ่มเห็นความหวังขึ้นมา

 

ได้แต่หวังว่าเครื่องบินจะไปถึงสนามบิน

 

ได้แต่หวังว่าเครื่องบินจะลงจอดได้ทันเวลา ได้แต่หวังเท่านั้น

 

เครื่องบินยังคงบินต่อไป สิบ ยี่สิบ สามสิบ สามสิบกิโลเมตรแล้วที่เครื่องบินได้บินผ่านมา ถึงความเร็วจะดูว่าช้ามากแต่ตามความเป็นจริงน้ำมันที่เหลืออันน้อยนิดควรจะหมดไปแล้วแต่นี่ น้ำมันเพิ่งจะลดไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น

เป็นอย่างนี้ไปจนกระทั่งเครื่องบินไปปรากฎอยู่ใกล้สนามบินแล้ว

ภายใต้แสงไฟสปอตไลต์ เครื่องบินได้เริ่มเตรียมการลงจอด ทั้งกัปตันและผู้ช่วยได้เริ่มเตรียมการลงจอดตามปกติโดยไร้ความกดดันแม้แต่น้อยเหตุเพราะซูจิ้งคอยปล่อยพลังจิตสนับสนุนพวกเขาอยู่

พวกเขาค่อยๆทำตามวิธีการและระเบียบปฏิบัติต่างๆ ในการลงจอด เครื่องบินค่อยๆ ไต่ระดับลงมา จนกระทั่งลงจอดได้ ทันทีที่ลงจอด ทั้งผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่บนเครื่องบิน ต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น ดีใจกันจนเครื่องบินแทบจะโยกตามได้เลย

 

“ปาฏิหารย์ ปาฏิการย์ชัดๆ”

 

“เชื้อเพลงนั่นไม่พอจะบินได้ 20 กม.ได้ด้วยซ้ำ แต่นี่บินได้ถึง 100 กม.”

 

“ต้องเป็นคุณพระช่วยแน่ๆ”

 

“มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”

 

นักข่าวต่างพากันวิ่งเข้าไปที่เครื่องบิน แม้กระทั่งประชาชนที่คอยมาเฝ้าดูเหตุการณ์ ผู้โดยสารในเครื่องต่างรีบออกมาเพื่อเข้าไปโผกอดญาติมิตรที่มาคอยต้อนรับ ปู่ของเฉียนไจ๋บิงถูกประคองออกมาจากเครื่องเมื่อลงมาแล้ว ไม่ช้าพวกเขาก็ถูกรุมสัมภาษณ์ ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติพวกเขาไม่มีทางลงมาตามทางประตูเครื่องบินนี้อย่างแน่นอน แต่วันนี้ค่อนข้างพิเศษนิดหน่อย เพราะทั้งเขาและคนอื่นๆ ตางเกือบตายกันยกลำ

 

“ฉันไม่คิดหรอกนะว่าเป็นเพราะพระเจ้าอำนวยพรหรอก ต้องเป็นเพราะพี่จิ้งแน่ๆ ที่ช่วยพวกเราไว้ ว่าแต่เขาไปไหนแล้วนะ” แฟนคลับของซูจิ้งหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาซูจิ้ง

 

“นั่นสิ เขาหายตัวไปทำไมกันหล่ะ” มีคนอื่นพูดออกมา

 

“แล้วคุณซูหล่ะ” เฉียนไจ๋บิงก็ต้องการหาซูจิ้งเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

 

“มีอะไรเกี่ยวกับคุณซูงั้นหรอ ดูเจ้าสนใจเขาเป็นพิเศษจริงๆ” ชายชราคนนั้นถามออกมาด้วยความสงสัย

 

“คุณปู่ หนูคิดว่าที่หนูสนใจคงเป็นเพราะเขาเป็นคนช่วยคุณปู่และน่าจะเป็นคนช่วยคนบนเครื่องบินทั้งลำไว้น่ะค่ะ” เฉียนกล่าวออกมา

 

“โอ้” ชายชราประหลาดใจเมื่อได้ยิน

 

“ไจ๋บิง ตอนนี้ปู่เธอเจ็บหนักอยู่นะ เอาไว้พูดเรื่องนี้กันทีหลังดีกว่า”

 

มีคนกลุ่มหนึ่งได้พาคนชราผู้นี้ไปโรงพยาบาล พวกเขาต่างสนใจว่าคุณซูใช้วิธีไหนในการช่วยเครื่องบินมาได้ถ้าคำพูดของไจบิงเป็นความจริง ไหนจะเรื่องสลัดอากาศพวกนั้นอีก แต่ยังซะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพาชายชราคนนี้ไปโรงพยาบาล ทุกคนที่เห็นสภาพต่างก็คิดว่าเขาเจ็บหนักอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาต้องรีบพาไปส่งให้เร็วที่สุด

 

“เป็นยังไงบ้าง” หวังเซีย; หลิวฉิง และชายในชุดสูท กำลังนั่งอยู่บนรถเพื่อตรงไปที่สนามบิน ในขณะนั้นได้มีโทรศัพท์เข้ามา ทั้งหวังเซีย;และหลิวฉิงต่างก็รู้สึกอยากถามขึ้นมาทันที เพราะสิ่งที่เห็นคือใบหน้าของชายในชุดสูทที่มีสีหน้าตกตะลึงทันทีที่เขาได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูด “เครื่องบินลงจอดที่สนามบินอย่างปลอดภัย”

 

“ฮ่าฮ่า เยื่ยมมาก” หวังเซีย;และหลิวฉิงต่างหัวเราะร่าออกมาดังลั่น แม้กระทั่งกระโดดโลดเต้นขึ้นมาด้วยซ้ำ พวกเขาต่างรู้สึกเหลือเชื่อ เครื่องบินนั้นไม่มีเชื้อเพลิงเหลือแล้วไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงยังลงจอดได้ทั้งๆ ที่พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางของมันให้ไกลขึ้นกว่าเดิมตั้งสองหน แต่ก็ยังมีเชื้อเพลิงเหลือพอลงจอดอีกเนี่ยนะ

อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขาแค่รู้สึกดีใจก็เต็มที่แล้ว ไม่มีความคิดอยากหาเหตุผลให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ตอนนี้พวกเขาอยากบินไปสนามบินซะเลยด้วยซ้ำ