หลิงหยุนรู้ได้ทันทีว่าเกาจิ้นสงนั้นต้องการมีชีวิตที่ยืนยาวและก็ไม่มีใครในตระกูลเกาที่จะสามารถทำให้เขาเปลี่ยนใจได้..
หลิงหยุนไม่ต้องการทำร้ายเกาจิ้นสงต่อหน้าคนตระกูลเกาหากเขายังดื้อดึงจึงต้องบอกกับเกาจิ้นสงไปเช่นนั้น!
หากต้องการมีชีวิตที่เป็นอมตะก็ต้องอยู่ในเส้นทางบ่มเพาะตน และต้องฝึกฝนไปจนถึงขั้นอมตะให้ได้ แต่หากไม่.. หลิงหยุนก็มีวิธีที่จะสามารถขยายอายุขัยของเกาจิ้นสงออกไปได้ แม้จะไม่สามารถยืนยาวนับพันปีเหมือนเช่นเหล่าแวมไพร์ก็ตาม..
ดวงตาสีแดงเข้มดั่งโลหิตของเกาจิ้นสงเปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่ดื้อรั้นอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา และพูดกับหลิงหยุนว่า..
“เฮ้อ..ตระกูลเกากำลังประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ แต่ข้ากลับครุ่นคิดเพียงแค่เรื่องที่อยากจะมีชีวิตยืนยาวเท่านั้น ช่างน่าอับอายจริงๆ!” เมื่อเห็นเกาจิ้นสงมีท่าทีอ่อนลงเช่นนี้คนตระกูลเกาทั้งหมดต่างก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หลิงหยุนเองก็เช่นกัน..
เกาจิ้นสงนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ดังเดิมจากนั้นจึงร้องสั่งสมาชิกตระกูลเกาทุกคนว่า “เอาล่ะ.. พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้นได้แล้ว และเตรียมตัวเข้ารับการรักษากับหลิงหยุน!”
จากนั้นเกาจิ้นสงก็หันไปพูดกับหลิงหยุนอีกครั้งด้วยความรู้สึกละอายใจ“หลิงหยุน.. การกระทำของข้าเมื่อครู่นี้ เจ้าอย่าได้ถือสาเลยนะ! ตอนนี้พวกเราทุกคนพร้อมรับการรักษาจากเจ้าแล้ว..”
หลิงหยุนส่ายหน้ายิ้มๆพร้อมกับให้กำลังใจเกาจิ้นสง “ท่านปู่เกา.. ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะคิดเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไรเลย!”
เกาจิ้นสงฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าแล้วจึงถามหลิงหยุนถึงเรื่องการรักษา “หลิงหยุน.. เจ้าจะรักษาพวกเราด้วยวิธีใดงั้นรึ หรือเจ้าค้นพบสูตรยาที่จะสามารถนำมาใช้เปลี่ยนเลือดในร่างกายของพวกเราแล้ว?” หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ท่านปู่เกา.. แม้ว่าข้าจะได้เลือดของเฉินเจี้ยนกุ่ยมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คิดค้นสูตรยาใดๆเลย!”
“เพราะข้าค้นพบวิธีอื่นที่จะรักษาพวกท่านได้แล้วเพียงแต่ระหว่างขั้นตอนการรักษานั้น อาจทำให้พวกท่านต้องได้รับความเจ็บปวดบ้าง ข้าจึงต้องการรักษาพวกท่านทีละคน.. ”
เกาจิ้นสงร้องถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น“วิธีใหนงั้นรึ”
“ระหว่างที่อยู่จิงฉูนั้น..ข้าได้ค้นพบว่ามีวิชาหนึ่งที่สามารถใช้กำจัดเลือดแวมไพร์ในตัวของพวกท่านได้ และนอกจากวิธีนี้จะได้ผลแล้ว ยังเห็นผลรวดเร็วอีกด้วย!”
เกาจิ้นสงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงร้องถามหลิงหยุนด้วยความสงสัย “หลิงหยุน.. เจ้ามั่นใจเพียงใด”
เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่และเกาจิ้นสงก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้..
แต่หลิงหยุนตอบกลับมาด้วยความมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม“ท่านปู่เกา.. ท่านมั่นใจได้ ข้ารับรองว่าวิธีนี้ได้ผลอย่างแน่นอน!”
หลิงหยุนฝึกบ่มเพาะตามคัมภีร์เสวียนหวงประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ เขาสามารถปลดปล่อยปราณเสวียนหวงออกมาได้ในจำนวนมากพอที่จะครอบคลุมพื้นที่ภายในห้องใต้ดินทั้งหมดนี้ได้ และสามารถทำการรักษาสมาชิกตระกูลเกาทั้งสิบคนได้พร้อมๆกันในคราวเดียว
เพียงแต่ว่า..หากเขาทำเช่นนั้น ทุกคนจะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างที่สุดที่จะเกิดขึ้น หากเป็นเฉินเซิน หลิงหยุนคงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเหล่านี้..
แต่สมาชิกตระกูลเกานั้นไม่เพียงไม่ใช่ศัตรูของเขาแต่ยังเป็นคนในครอบครัวของเกาเฉินเฉินด้วย หลิงหยุนจึงต้องรักษาพวกเขาทีละคน เพื่อที่จะได้สามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นให้ได้..
“หลิงหยุน..สามารถทำให้ไม่ต้องเจ็บปวดได้มั๊ย” เมื่อครั้งที่อยู่บ้านเลขที่-1นั้น เกาเฉินเฉินเคยเห็นหลิงหยุนทดลองรักษาเฉินเซิน จึงรู้ และเข้าใจถึงความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นได้ดี!
หลิงหยุนยิ้มให้เกาเฉินเฉินก่อนจะตอบไปว่า“เฉินเฉิน.. จะไม่ให้เจ็บปวดเลยนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผมจะพยายามให้ทุกคนเจ็บปวดน้อยที่สุด และจะพยายามให้อยู่ในระดับที่ทุกคนจะสามารถทนได้!”
จากนั้น..หลิงหยุนก็เรียกวัตถุบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายลูกประคำสีแดงออก และสิ่งนั้นก็คือประคำโลหิตซึ่งนับเป็นสมบัติของตระกูลเฉินนั่นเอง!
ประคำโลหิตเม็ดนี้กลั่นจากโลหิตและมีอานุภาพที่ส่งผลโดยตรงต่อกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวกับเลือด..
“เฉินเฉิน..นี่คือประคำโลหิตที่จะส่งผลโดยตรงต่อกระบวกนการต่างๆของเลือดในร่างกาย อย่างเช่นการสร้างเม็ดเลือด และการแข็งตัวของเลือด..”
“การจะทำให้แวมไพร์กลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิมได้นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่จะต้องกำจัดเลือดแวมไพร์ซึ่งเปรียบเสมือนพิษในร่างกายออกไป..”
“และในการขจัดเลือดแวมไพร์ออกไปนั้นก็จะก่อให้เกิดความเจ็บปวดต่อตัวผู้ที่เป็นแวมไพร์อย่างมาก แต่ประคำโลหิตเม็ดนี้จะช่วยควบคุมเลือดในตัวแวมไพร์ให้แข็งตัวชั่วคราว และในช่วงที่เลือดแข็งตัวนั้น ผมก็จะรีบทำการขจัดพิษที่อยู่ในเลือดของทุกคนออกโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นก็จะใช้ประคำโลหิตเม็ดนี้สร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาในร่างกาย เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทุกคนก็จะกลับกลายเป็นมนุษย์เหมือนเดิม..”
หลิงหยุนอธิบายขั้นตอนการรักษาให้เกาเฉินเฉินฟังอย่างละเอียดแต่ทุกคนที่อยู่ในห้องใต้ดินล้วนได้ยินกันอย่างชัดเจน..
หลังจากที่ได้ฟังขั้นตอนการรักษาอย่างละเอียดทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่ลูกประคำสีแดงในฝ่ามือของหลิงหยุนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง..
“ท่านปู่เกา..ข้าจะเริ่มการรักษาแล้ว จะให้ข้าเริ่มที่ใครก่อนดี”
สมาชิกตระกูลเกาทั้งสิบคนต่างก็หันไปมองหน้ากันและต่างก็คิดว่าผู้ที่เข้ารับการรักษาคนแรกนั้น ต้องแบกรับความเสี่ยงที่อาจจะเสียชีวิตได้!
“หลิงหยุน..เจ้ารักษาข้าก่อน!”
เกาซิงฉางพ่อของเกาเฉินเฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องตะโกนออกมาทันที..
“ซิงฉาง..ให้หลิงหยุนรักษาข้าก่อนเถิด!”
ลู่เฉียวฟงซึ่งเป็นภรรยาของเกาซิงฉางรีบพูดแทรกขึ้นมาทันทีนางจับมือสามีไว้พร้อมกับเสนอตัวให้หลิงหยุนรักษานางเป็นคนแรก..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านลุงเกา.. ท่านป้าลู่.. ใครก่อนใครหลังก็เหมือนกัน พวกท่านอย่าได้กังวลใจไป หากข้าไม่มั่นใจ วันนี้คงไม่มาที่นี่!”
แต่ลู่เฉียวฟงก็ยังดึงดันที่จะรับการรักษาเป็นคนแรกหลิงหยุนจึงร้องบอกเกาเฉินเฉินให้พาแม่ของเธอเข้าไปรอในห้อง.. “เฉินเฉิน..คุณพาป้าลู่ไปที่ห้องข้างๆก่อน เดี๋ยวผมจะตามเข้าไป!”
“ท่านปู่เกา..ท่านลุงเกา.. พวกท่านอย่าได้กังวลใจไป ทุกคนจะต้องกลับมาเป็นคนปกติเหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน!”
ก่อนจะเริ่มการรักษา..หลิงหยุนได้ขอให้ทุกคนกลายร่างคืนกลับเป็นมนุษย์ดังเดิมเพื่อไม่ให้มีรูปลักษณ์ที่น่าตกใจจนเกินไป อีกทั้งยังง่ายต่อการรักษาด้วย จากนั้นหลิงหยุนจึงหันหลังกลับ และเดินเข้าไปในห้อง..
เวลานี้..ลู่เฉียวเฟิงได้คืนร่างกลับเป็นมนุษย์ตามเดิมแล้ว เขี้ยวและเล็บที่งอกยาวก็หดหายไป ใบหน้าที่เป็นสีเขียวเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นซีดขาว ดวงตาที่แดงราวกับโลหิตก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆเท่านั้น
“ท่านป้าครับ..นั่งนิ่งๆ และพยายามอย่าเคลื่อนไหว ปล่อยตัวตามสบายไม่ต้องกังวลใจ!”
หลิงหยุนยิ้มให้กับนางลู่เฉียวเฟิงเป็นการปลอบประโลมจากนั้นจึงซัดประคำโลหิตในมือเข้าใส่ร่างของลู่เฉียวเฟิง แต่เนื่องจากลู่เฉียวเฟิงยังคงเป็นแวมไพร์ร่างกายของนางจึงต่อต้านอย่างรุนแรง ทำให้หลิงหยุนต้องออกแรงผลักประคำโลหิตให้แรงขึ้น จากนั้นประคำโลหิตก็ค่อยๆ แทรกตัวผ่านเสื้อผ้าของลู่เฉียวเฟิง และในที่สุดก็ทะลุเข้าไปในร่างกายของนาง!
ประคำโลหิตพุ่งเข้าไปในตำแหน่งใต้สะดือลงมาสามนิ้วมือและนั่นทำให้ลู่เฉียวเฟิงถึงกับตกใจอย่างที่สุด!
“ท่านป้า..ข้าอาจต้องใช้เวลาในการควบคุมโลหิตในร่างกายของท่านสักพักใหญ่!”
ลู่เฉียวเฟิงยังคงเป็นแวมไพร์..จู่ๆ จะเข้าไปควบคุมโลหิตในร่างกายของแวมไพร์นั้น ด้วยสัญชาติญาณย่อมต้องต่อต้านเป็นธรรมดา..
ลู่เฉียวเฟิงพยักหน้ารับรู้..
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อว่า“แต่หากจะให้เร็ว.. ท่านป้าก็ช่วยข้าควบคุมเลือดในกายของท่าน ให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่ประคำโลหิตอยู่ เมื่อพร้อมแล้วก็บอกข้า..” ลู่เฉียวเฟิงทำตามที่หลิงหยุนแนะนำและหลังจากที่นางควบคุมเลือดในกายให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการได้แล้ว นางจึงร้องบอกหลิงหยุนทันที
“ข้าพร้อมแล้ว..”
จากการทดลองขจัดเลือดแวมไพร์ในตัวเฉินเซินนั้นหลิงหยุนพบว่าที่มันเจ็บปวดเจียนตายนั้น เพราะขณะที่ทำการขจัดพิษนั้น เลือดยังคงหมุนเวียนอยู่ทั่วร่างกาย
แต่เวลานี้หลิงหยุนได้ใช้ประคำโลหิตควบคุมเลือดในกายของลู่เฉียวเฟิงให้มารวมไว้ในที่เดียวกันแล้วแม้การะบวนการขจัดพิษอาจจะต้องเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเจ็บปวดไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย..
“ท่านป้าลู่..ข้าจะเริ่มกระบวนการขจัดพิษแล้ว ท่านป้าได้โปรดอดทนต่อความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นด้วย!”
พูดจบ..หลิงหยุนก็เดินวิชาเสวียนหวงทันที ปราณเสวียนหวงค่อยๆ เคลื่อนที่ไปภายใต้การควบคุมของหลิงหยุน พุ่งตรงไปยังฝ่ามือข้างขวาจากนั้นหลิงหยุนจึงซัดปราณเสวียนหวงนี้เข้าไปยังตำแหน่งของประคำโลหิตในร่างของลู่เฉวียนเฟิงทันที.. novel-lucky
ปราณเสวียนหวงที่หลงหยุนตั้งใจถ่ายเทลงไปในร่างของลู่เฉวียนเฟิงนั้นพุ่งเข้าไปห่อหุ้มกลุ่มเลือดในร่างกายของนางไว้ทันที
“โอ๊ย…”
และทันใดนั้นเองลู่เฉียวเฟิงก็ถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และแทบจะไม่สามารถทนต่อไปได้ ในที่สุดก็สิ้นสุดความสามารถในการควบคุมโลหิตในร่างกายของตนเองไว้ได้อีก..
กลุ่มเลือดแวมไพร์ที่อยู่ภายใต้สะดือลงไปสามนิ้วนั้นรีบเคลื่อนตัวหนีทันทีแต่มีหรือที่หลิงหยุนจะยินยอมให้เป็นเช่นนั้น เขายังคงถ่ายเทปราณเสวียนหวงเข้าไปห่อหุ้มกลุ่มเลือดไว้อย่างหนาแน่น เพื่อทำการขจัดพิษที่อยู่ในก้อนเลือดต่อไป..
กลุ่มเลือดแวมไพร์ดูเหมือนจะเริ่มอ่อนกำลังลงและสีของเลือดก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใสเช่นเดียวกับเลือดของมนุษย์ แวมไพร์นั้นสามารถควบคุมเลือดในร่างกายของตนเองได้แต่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปนั้นไม่สามารถทำเช่นนั้นได้..
ดังนั้นเมื่อพิษแวมไพร์ในก้อนเลือดถูกขจัดออกไปและเริ่มกลับกลายเป็นเลือดมนุษย์ปกติมากขึ้นแล้ว หลิงหยุนจึงค่อยๆ ปล่อยให้เลือดที่ถูกขจัดพิษออกแล้วนั้น ไหลเวียนกลับเข้าสู่หัวใจ เพื่อให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปตามส่วนต่างๆของร่างกายตามปกติดังเดิม..
และเนื่องจากพิษในเลือดนั้นค่อยๆลดลงความเจ็บปวดต่างๆจึงลดลงตามไปด้วย ทำให้ลู่เฉียวเฟิงสามารถที่จะอดทนต่อความเจ็บปวดเล็กๆน้อยๆนี้ได้..
กระบวกนการทั้งหมดที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดนั้นอาจจะฟังดูง่ายแต่ในการกระทำจริงๆนั้น ล้วนมีความซับซ้อน และยุ่งยากไม่น้อยเลยทีเดียว!
นับว่าฉายาหมออมตะของหลิงหยุนนั้นช่างสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง!
หากไม่ใช่เพราะหลิงหยุนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายมนุษย์อย่างละเอียดแล้วล่ะก็ป่านนี้ลู่เฉียวเฟิงอาจจะต้องเสียชีวิตแล้วเพราะไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้!
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง..ในที่สุดพิษที่อยู่ในเลือดของลู่เฉียวเฟิงก็ถูกหลิงหยุนขจัดออกจนหมด..
และหลังจากที่ได้เรียนรู้การใช้ประคำโลหิตไปพร้อมกับลู่เฉียวเฟิงเวลานี้หลิงหยุนก็สามารถควบคุมมันได้อย่างคล่องแคล่วกว่าเดิม..
ภายใต้อานุภาพของประคำโลหิตทำให้กลไก และกระบวนการสร้างเม็ดเลือดในร่างกายของลู่เฉียวเฟิง เริ่มกลับมาผลิตเม็ดเลือดใหม่ขึ้นในร่างกาย ทำให้มีปริมาณมากพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้..
“การรักษาเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว!”
และในที่สุด..การรักษาลู่เฉียวเฟิงก็ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง!
หลิงหยุนถอนฝ่ามือออกพร้อมกับใช้กระแสวนหยิน-หยางดูดเอาประคำโลหิตออกมาจากร่างของลู่เฉียวเฟิงด้วย..
“เฉินเฉิน..ใช้ยันต์บำบัดรักษาบาดแผลของท่านป้าเร็วเข้า!”
เกาเฉินเฉินจัดการใช้ยันต์บำบัดระดับหกของหลิงหยุนรักษาบาดแผลที่หน้าท้องของลู่เฉียวเฟิง และบาดแผลนั้นก็หายวับไปในพริบตา
“หลิงหยุน..นายเป็นยังไงบ้าง”
แต่ระหว่างที่ใช้ยันต์บำบัดรักษานางลู่เฉียวเฟิงนั้นเกาเฉินเฉินก็ร้องตะโกนถามหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วง..
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจภายในร่างกายของลู่เฉียวเฟิงแล้วจึงบอกกับเกาเฉินเฉินว่า
“หัวใจของป้าลู่เต้นเป็นปกติดีแล้วเลือดในร่างกายก็หมุนเวียนได้เป็นปกติ เวลานี้ป้าลู่กลับเป็นคนปกติแล้ว!”
“แต่ร่างกายของป้าลู่นับว่ายังอ่อนแออยู่มากเพราะเลือดในกายยังน้อยอยู่มาก คงต้องให้พักผ่อนอย่างน้อยสักหนึ่งคืนก่อน..”
เมื่อได้ยินว่าแม่ของตนเองกลับมาเป็นคนปกติแล้วเกาเฉินเฉินก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้นทันที
เกาเฉินเฉินรู้ว่า..ตระกูลเการอดพ้นจากหายนะแล้ว!