ผูกขาด
“ทำไมเงียบไปล่ะ หลินหว่าน แค่เธอยอมเป็นเมียน้อยฉัน ต่อไปไม่ว่าจะเป็นหนังเรื่องไหนก็เลือกได้เลยตามสบาย เข้าใจหรือยังล่ะ เธออย่าเพิ่งมองฉันด้วยสายตาโกรธแค้นแบบนั้น ใครจะปฏิเสธเงินได้ลงใช่ไหมล่ะ วงการบันเทิงก็เป็นแบบนี้แหละ เธอก็คิดดูให้ดีแล้วกัน! อยากจะเด่นจะดังคับฟ้า ก็ต้องมีอะไรมาแลกกันบ้าง” ผู้กำกับยังยิ้มกริ่ม ยกมือขึ้นจะวางลงบนไหล่ของหลินหว่าน
หลินหว่านปัดมือผู้กำกับออกอย่างโมโห ใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องเขม็งไปที่ผู้กำกับ
“ฉันไม่มีทางรับปากคุณแน่ คุณก็อย่าฝันไปหน่อยเลย ถ้าหากงานพวกนั้นต้องแลกมาด้วยสิ่งนี้แล้วละก็ ฉันไม่เอาหรอก และฉันก็ดูถูกคนอย่างคุณด้วย” หลินหว่านพูดจบก็เดินจากไป
หลินหว่านพอกลับถึงห้องทานอาหาร เธอพยายามสงบจิตใจตัวเอง เธอรู้ว่าที่นี่มีคนมากมาย และผู้กำกับนั่นมีอิทธิพลมากกว่าเธอมาก ดังนั้นต่อหน้าผู้คนแล้วยังต้องอดทนเอาไว้บ้าง จะอาละวาดต่อหน้าผู้คนจำนวนมากแบบนี้ไม่ได้ ตอนนี้หลินหว่านกำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ ยิ่งไม่ควรเอะอะให้เป็นเรื่อง
ผ่านไปชั่วครู่ผู้กำกับก็กลับมาที่ห้องอาหาร ตอนเขาเดินเข้ามายังขึงตาใส่หลินหว่านด้วย หลินหว่านแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นก้มหน้าลงทานอาหาร ส่วนผู้จัดการคนใหม่ยังคอยประเหลาะเอาใจทุกคนที่นั่งอยู่ที่นั่นต่อไป ยกเว้นหลินหว่าน
ในที่สุดอาหารมื้อนี้ก็สิ้นสุดลงจนได้ หลินหว่านกับผู้จัดการคนใหม่ขึ้นรถกลับไปแล้ว ผู้จัดการคนใหม่ไม่รู้ว่าหลินหว่านได้ปฏิเสธข้อเสนอไร้ยางอายของผู้กำกับนั่นไปแล้ว และยังต่อปากต่อคำกับผู้กำกับมาแล้ว เธอยังเข้าใจว่าหลินหว่านจะได้บทนี้แน่ จึงฮัมเพลงอย่างสบายใจมาตลอดทาง หลินหว่านก็ไม่พูดอะไรอีก นั่งมองวิวนอกหน้าต่างไปเงียบๆ เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าครั้งนี้ไม่มีโอกาสหรอก
วันรุ่งขึ้น พอหลินหว่านเพิ่งมาถึงบริษัท ผู้จัดการคนใหม่ก็ถลาเข้ามาหาเธออย่างเอาเรื่อง หลินหว่านรู้ทันทีว่าเธอจะพูดอะไร
ผู้จัดการชี้หน้าหลินหว่าน ด่ากราดเสียงดังลั่น “เธอก็เป็นซะอย่างนี้ โอกาสแบบนี้มันไม่ได้มีกันง่ายๆ นะ ยังจะกล้าปฏิเสธคำขอเขาอีก เข้าใจว่าตัวเองเป็นซุปตาร์มาจากไหนยะ ตอนนี้เป็นไง โอกาสดีๆ หายากแบบนี้ เธอกลับปล่อยมันไปแบบนั้น เก่งนักนะ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงหรือไง”
หลินหว่านไม่อยากต่อปากกับเธออีกแม้แต่คำเดียว จึงแกล้งทำเหมือนไม่ได้ยิน แต่คำพูดเยาะเย้ยถากถางพวกนั้นกลับดังก้องอยู่ในหูของหลินหว่าน
ผู้จัดการคนใหม่ยังปักหลักด่ากราดเธอต่อไปเพื่อระบายความโกรธ หลินหว่านทนฟังต่อไปไม่ไหว และไม่ต้องการจะทะเลาะกับเธอจึงออกไปจากบริษัท
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินหว่านที่อดรนทนไม่ไหวก็ร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้นตันใจในที่สุด พอเซียวจิ่งสือมาหา หลินหว่านก็รีบเช็ดน้ำตาไม่ให้เขาเห็นว่าเธอร้องไห้มาก่อน แต่เซียวจิ่งสือก็ยังเห็นว่าหลินหว่านตาแดงก่ำ เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นเพราะอะไร
เซียวจิ่งสือเห็นหลินหว่านไม่สบายใจ จนไม่อยากจะเอ่ยปากพูด เขาเจ็บปวดใจมาก ได้แต่โทษตัวเองที่ไม่อาจปกป้องผู้หญิงที่เขารัก
ขณะรอให้หลินหว่านสงบใจ เซียวจิ่งสือก็พูดปลอบโยนเบาๆ หลินหว่านสงบอารมณ์ลงได้แล้วก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้เซียวจิ่งสือฟัง
เซียวจิ่งสือรู้ว่าหลินหว่านตกที่นั่งลำบาก จึงตัดสินใจว่าจะไม่ให้หลินหว่านต้องทนอยู่ที่บริษัทนั้นแล้ว
เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านนอนหลับไปแล้ว เขาก็กลับมาที่บริษัทคนเดียว เรื่องแรกที่เขาทำก็คือทุ่มเงินก้อนโตซื้อสัญญาย้ายค่ายให้หลินหว่านมาที่บริษัทของเขา ผู้ช่วยของเซียวจิ่งสือทักท้วงเขาว่าอย่าทุ่มเทให้ถึงขนาดนั้น แต่เซียวจิ่งสือตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาไม่ต้องการเห็นหลินหว่านถูกรังแก
พอเซียวจิ่งสือจัดการเรื่องทั้งหมดแล้วก็บอกกับหลินหว่าน แน่นอนว่าหลินหว่านค่อยสบายใจขึ้นมาบ้าง อย่างนี้ก็จะได้มีเวลาอยู่กับเซียวจิ่งสือนานๆ และยังไม่ต้องไปแบกหน้าทนอยู่ที่บริษัทนั่นอีก
แต่ก็ดีใจได้ไม่นานนัก บริษัทของเซียวจิ่งสือก็ต้องเจอกับมรสุมลูกใหญ่
“ประธานเซียวครับ ตอนนี้เอเจนซี่ที่ป้อนงานให้กับบริษัทพากันหยุดหายกันไปหมด คนทั้งบริษัทพากันใจเสียหมด ต้องรีบคิดหาวิธีมาปลอบใจพวกเขาหน่อยแล้ว จะให้คนทำงานสงสัยในศักยภาพของบริษัทไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่ตั้งใจทำงานอีก”
“ตอนนี้ผมจะไปสืบดูว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ คุณก็พยายามหาเอเจนซี่อื่นมาลองดูนะ” เซียวจิ่งสือขมวดคิ้วพูด
เซียวจิ่งสือรู้สึกได้ว่านี่เป็นฝีมือพ่อเขาเซียวเฉียง เขาจึงตรงดิ่งไปหาพ่อของเขา
“มาแล้วเหนอ ฉันรู้ว่าแกต้องกลับมาแน่” เซียวเฉียงพูดกับเซียวจิ่งสืออย่างถือไพ่เหนือกว่า
เซียวจิ่งสือรู้สึกโกรธมาก ทำไมพ่อของเขาจึงอยู่ด้วยกันดีๆ ไม่ได้นะ
“ทำไมต้องดึงงานของบริษัทผมไปหมดด้วย พ่อรู้หรือเปล่าว่าพ่อทำแบบนี้จะกระทบผลประโยชน์ของบริษัทผมอย่างมาก พ่อจะคิดถึงผมบ้างไม่ได้เหรอไง” เซียวจิ่งสือพูดกับพ่อตัวเอง
“ฉันนึกถึงแกเหรอ แต่คำพูดของฉันแกฟังหรือเปล่า? แกทุ่มเงินก้อนโตเชิญให้หลินหว่านมาที่บริษัทของแก แกมันแน่นักนี่ พอฉันรู้รื่องนี้ก็เลยจัดการซะ แกก็หาทางเอาเองแล้วกัน” เซียวเฉียงพูดเสียงเย็นชา
เซียวจิ่งสือหมุนตัวพุ่งออกจากห้องทำงานของพ่อเขาอย่างโกรธจัด
เซียวจิ่งสือไม่ยอมทิ้งหลินหว่านเด็ดขาด แม้ว่าจะทำให้บริษัทต้องตกอยู่ในภาวะวิกฤต
เมื่อกลับถึงบริษัท หลินหว่านก็พบเห็นท่าทีผิดปกติของเซียวจิ่งสือ ขณะที่เซียวจิ่งสือเตรียมจะปิดบังเรื่องนี้ไม่ให้หลินหว่านรู้ ด้วยเกรงว่าหลินหว่านจะเป็นกังวลและโทษตัวเอง แต่คนในบริษัทพูดกันไปต่างๆ นานา เพียงไม่นานหลินหว่านก็รู้ว่าบริษัทของเซียวจิ่งสือกำลังเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ขนาดนี้
ตอนเย็น เซียวจิ่งสือทานข้าวกับหลินหว่าน เขาตั้งใจว่าจะพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลินหว่านมองเซียวจิ่งสือแล้วพูดว่า “เซียวจิ่งสือคะ ให้เราสองคนรับมือกับความยากลำบากด้วยกันได้ไหมคะ คุณอย่าทนสู้อยู่คนเดียว ตอนนี้บริษัทต้องเจอกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมจึงไม่บอกฉันคะ”
เซียวจิ่งสือหน้าแดงหูแดงขึ้นมาทันควัน หลบสายตาเธอไปมา
“ผมไม่อยากให้คุณต้องมาลำบากกับผม แล้วก็ไม่อยากให้คุณเป็นกังวลเพราะผมด้วย วางใจเถอะ ผมรับมือคนเดียวได้” เซียวจิ่งสือพูดไม่เต็มเสียง
“แต่คุณรู้ไหมคะ ฉันเต็มใจที่จะร่วมลำบากกับคุณค่ะ” หลินหว่านพูดโพล่งขึ้นเสียงดัง
เซียวจิ่งสือตื้นตันใจมาก เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอทำให้พูดไม่ออก เขาจึงผงกศีรษะให้กับหลินหว่านถี่ๆ
หลินหว่านจึงเสนอตัวไปเจรจาเพื่อเซ็นสัญญาความร่วมมือครั้งต่อไป
หลินหว่านเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อสัญญาฉบับนี้ เธอคิดว่าจะต้องช่วยให้เซียวจิ่งสือผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปให้ได้ เธอเจรจาความร่วมมือกับอีกฝ่ายด้วยท่าทางเชื่อมั่น ทั้งสองเจรจากันด้วยดี สุดท้ายการเจรจาความร่วมมือครั้งนี้จบลงด้วยดี
ขณะที่หลินหว่านเข้าใจว่าจะสำเร็จ และรอฟังข่าวดีจากอีกฝ่ายนั้น
หลินหว่านรอแล้วรอเล่าแต่ไม่มีข่าวกลับมาเสียที จึงกลับบริษัทไปถามเซียวจิ่งสือ เซียวจิ่งสือเห็น
หลินหว่านดูร้อนใจก็รู้ว่าเธอมาหาคำตอบอะไร
เซียวจิ่งสือเอ่ยปากช้าๆ ว่า “หลินหว่าน เทียนซิงกรุ๊ปรู้แล้วว่าคุณกำลังเจรจาความร่วมมือนี้ จึงเข้าแทรกแซงระหว่างที่คุณกับพวกเขาเจรจาความร่วมมือกันอยู่ ตอนนี้ฝ่ายนั้นถูกเทียนซิงกรุ๊ปแย่งตัวไปแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ อย่าโทษตัวเองเลยนะ”
หลินหว่านโศกเศร้าลง เธอคิดไม่ถึงว่าความร่วมมือที่เธอเจรจาด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจขนาดนั้น ด้วยอยากจะพันฝ่าอุปสรรคร่วมกับเซียวจิ่งสือ ตอนนี้กลับถูกคนอื่นแย่งเอาไป