บทที่ 644 มาโดยบังเอิญ

บัลลังก์พญาหงส์

ทานของไม่ดีไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต่อให้ถูกพิษจากอาหารของกู่อวี้จือก็ไม่เป็นอะไร ขอแค่กู่อวี้จือไม่ได้วางพิษเองก็พอแล้ว แต่ตั้งใจปิดบังเรื่องนี้ จนอาการหนักกลับเป็นเรื่องใหญ่ จากที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของกู่อวี้จือ ก็ต้องกลายเป็นความรับผิดชอบของกู่อวี้จือ 

 

 

หากกู่อวี้จือแบกความรับผิดชอบนี้ไว้คนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน กู่อวี้จือก็รับผิดชอบทั้งหมดไม่ได้ สุดท้ายความรับผิดชอบนี้ก็ต้องตกมาเป็นของนางและหลี่เย่ 

 

 

แน่นอนว่าตัวนางก็ต้องรับผิดอยู่แล้ว หากนางใส่ใจดูแลองค์ชายเก้ามากกว่านี้ บางทีเรื่องคงไม่เป็นเช่นนี้แล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันสูดหายใจลึก ข่มความโมโหกู่อวี้จือเอาไว้ อุ้มองค์ชายเก้ารอให้หมอหลวงมาถึง แต่นางยังไม่ได้แจ้งฮองเฮาในทันที นี่เป็นความคิดส่วนตัวของนางเอง หากไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไร นางจัดการเรื่องนี้เอง คนอื่นก็จะไม่พูดอะไร หากทำเป็นเรื่องใหญ่คงไม่ดี นี่ก็เป็นข้อดีที่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจองค์ชายเก้า 

 

 

แน่นอนว่ายังมีโอกาสที่องค์ชายเก้าทนพิษไม่ไหวจนจากโลกนี้ไป ถึงตอนนั้นนางค่อยรายงานทีหลัง แม้ต้องถูกคนติฉินนินทา แต่นางเป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จึงมีสิทธิขาดและอำนาจ คงพออธิบายพอผ่านพ้นไปได้ 

 

 

แต่ไม่ว่าเป็นแบบไหน ถาวจวินหลันก็ไม่คิดจะปล่อยไปเช่นนี้ ไม่ว่าสุดท้ายองค์ชายเก้าจะเป็นเช่นไร มีเรื่องหรือไม่มีเรื่องนางก็จะต้องไล่ถามความรับผิดชอบให้ถึงที่สุด 

 

 

แต่ตอนนี้จะต้องสืบสาเหตุให้ชัดเจนเสียก่อน 

 

 

ส่วนกู่อวี้จือ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้คิดจะให้กู่อวี้จือลุกขึ้นมา ทำเป็นไม่เห็นกู่อวี้จือที่กำลังคุกเข่าอยู่เสียอย่างนั้น กู่อวี้จือควรจะสำนึกคิดให้ดี ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมพอนางเข้าวังมาแล้วกลับสู้แต่ก่อนไม่ได้ 

 

 

เสียงดังเอะอะเช่นนี้ไม่อาจปิดบังคนอื่นในวังตวนเปิ่นได้ ผ่านไปไม่นานทุกคนก็เริ่มมากันครบ 

 

 

เจียงอวี้เหลียนเริ่มบำรุงจนร่างกายฟื้นสภาพกลับมาบ้างแล้ว แต่เพราะอยู่นิ่งๆ ไปนาน นิสัยก็ยิ่งเ**้ยมเกรียมมากขึ้น เห็นกู่อวี้จือคุกเข่าอยู่บนพื้น นางก็หัวเราะเย้ยหยัน “เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมกู่เหลียงตี้ถึงเอาแต่คุกเข่าอยู่บนพื้นเล่า? หรือชอบทำเป็นบ่าวไพร่อย่างนั้นหรือ?” 

 

 

เจียงอวี้เหลียนไม่ค่อยถูกชะตากับกู่อวี้จือนัก คิดว่าฐานะของกู่อวี้จือต่ำต้อย แม้แต่ลูกชายก็ยังไม่มีสักคน มีสิทธิอะไรมาเทียบเท่านาง ดังนั้นจึงไม่เคยปิดบังสีหน้าท่าทีดูถูกกู่อวี้จือ ตอนนี้เป็นโอกาสอันหาได้ยาก นางจึงอดเอ่ยปากเย้ยหยันไม่ได้ 

 

 

ถาวจวินหลันกวาดตามองเจียงอวี้เหลียนเรียบๆ “เงียบปาก” ตั้งนานกว่าจะกล่อมให้องค์ชายเก้าเงียบได้ หากถูกกวนจนตื่นอีก นางไม่ให้อภัยเจียงอวี้เหลียนเป็นแน่! 

 

 

ถาวจวินหลันไม่ไว้หน้าเช่นนี้ เจียงอวี้เหลียนก็ประหม่าจนเกร็งไปทั้งตัว แต่ก็ไม่กล้าโมโห ไม่กล้าต่อปากต่อคำ อีกทั้งไม่ต้องพูดถึงฐานะของถาวจวินหลันสูงกว่านาง นางทำได้แค่อดทนเท่านั้น พูดแค่ว่าทุกครั้งที่เห็นถาวจวินหลัน นางก็จะคิดถึงประโยค ‘ยินยอมพร้อมใจ’ ของหลี่เย่ขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ตั้งท่าไม่ถูก และรู้ดีแก่ใจว่าตนเองต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย 

 

 

ถัดมาที่จิ้งหลิงกับถาวจือ จิ้งหลิงเห็นสภาพของเจียงอวี้เหลียน ก็อดหัวเราะไม่ได้ ส่วนถาวจือรีบก้มหน้าลงไป เหมือนไม่กล้ามองท่าทีประหม่าของเจียงอวี้เหลียนแม้แต่น้อย 

 

 

เจียงอวี้เหลียนไม่กล้าทำอะไรกับถาวจวินหลัน แต่นางกล้ากับจิ้งหลิง พอเห็นรอยยิ้มของจิ้งหลิงก็ยิ่งแค้นเคืองเหมือนฟ้าผ่า “เจ้าหัวเราะอะไร?!” 

 

 

องค์ชายเก้าตกใจ จนขยับตัวเล็กน้อย 

 

 

ถาวจวินหลันต่อว่าเจียงอวี้เหลียนเสียงเบา “ข้าให้เจ้าเงียบปาก! เจียงซื่อ! ไม่เห็นองค์ชายเก้าหลับอยู่หรืออย่างไร? เจ้าอยากปลุกให้เขาตื่นอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

เจียงอวี้เหลียนถึงได้สังเกตเห็นหน้าตาทรมานขององค์ชายเก้า จึงเลิกคิ้วขึ้น จงใจหัวเราะเบาๆ “โอ้ เป็นอะไรไปเล่า? ท่าทีเช่นนี้ ดูไม่ดีเท่าไร…” 

 

 

“ให้คนเข้ามา ส่งเจียงเหลียงตี้กลับห้องของนาง” ถาวจวินหลันย่อมไม่ยอมให้เจียงอวี้เหลียนก่อเรื่องวุ่นวายไม่หยุดอีก จึงออกคำสั่งอย่างเย็นชา และไม่พูดอะไรอีก 

 

 

กลับเป็นเจียงอวี้เหลียนที่อับอายแค้นใจจนโมโห กดเสียงเบาพูดว่า “ทำไมท่านต้องรังแกกันเช่นนี้ด้วย?” 

 

 

ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว “ถ้าข้าเป็นเจ้า ก็จะไม่ก่อเรื่องเช่นนี้แล้ว อย่าลืมว่าทำไมถึงยกเซิ่นเอ๋อร์ให้ไทเฮาเลี้ยง” 

 

 

เมื่อเอ่ยถึงเซิ่นเอ๋อร์ เจียงอวี้เหลียนก็โกรธจัด สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป คนนั้นจากไปแล้วแต่ปากนั้นยังบ่นงึมงำไม่หยุด แต่คำบางคำก็ยังพอฟังออกได้ เห็นชัดว่าพูดคำที่ไม่ค่อยน่าฟังออกมา 

 

 

ถาวจวินหลันเบื่อจะไปยุ่งกับนาง 

 

 

จิ้งหลิงถึงได้ก้าวขึ้นมาถามเสียงเบา “องค์ชายเก้าเป็นอะไรหรือเพคะ?” 

 

 

“อาเจียนไม่หยุด” ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ “จนอาเจียนเป็นเลือด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

จิ้งหลิงตกใจ “ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเลยหรือเพคะ?” ในขณะเดียวกันก็อดมองสภาพขององค์ชายเก้าอีกครั้งไม่ได้ แล้วเริ่มกังวลขึ้นมาในทันใด หากองค์ชายเก้าเป็นอะไรไป เกรงว่าถาวจวินหลันคงแบกความรับผิดชอบเอาไว้ไม่ไหว 

 

 

หากจะสืบสาวไล่ความจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงถาวจวินหลัน เกรงว่าคนในวังตวนเปิ่นก็พาลถูกลากไปเกี่ยวด้วย 

 

 

จิ้งหลิงขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

ถาวจวินหลันมองดู นวดหว่างคิ้วเบาๆ “เจ้ากลับไปดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์เถิด ที่นี่มีข้าก็พอแล้ว ถาวจือ เจ้าก็กลับไปด้วย” 

 

 

จิ้งหลิงจึงได้ขอตัวกลับไป แต่ก็ยังเอ่ยเตือนถาวจวินหลันเสียงเบา “อย่างไรเรื่องก็เกิดในวังตวนเปิ่นของพวกเรา ควรต้องสืบให้พบนะเพคะ อย่างไรเด็กๆ ในวังตวนเปิ่นของพวกเรา…” 

 

 

“อืม” ถาวจวินหลันรับคำ แต่ก็ไม่ค่อยกล้าคิดเท่าไร ว่าหากนี่กลายเป็นซวนเอ๋อร์หรือหมิงจูนางควรจะทำเช่นไร สุดท้ายก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ที่เลี้ยงดูมากับมือ แม้ว่านางจะสงสารและเป็นกังวล แต่นั่นก็ไม่เหมือนกัน นางจึงยังมีสติกับเหตุการณ์ขององค์ชายเก้า 

 

 

กู่อวี้จืออธิบายอีกครั้ง “พระชายาองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันไม่เคยคิดทำร้ายองค์ชายเก้าเพคะ แต่เพราะเลอะเลือนไปชั่วครู่เท่านั้น! ขอพระชายาองค์รัชทายาทอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ!” 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ มองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แววตาเปี่ยมความคาดหวังและวอนขอ เอ่ยปากถามนางว่า “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ข้ายกโทษให้เจ้าก็ปล่อยผ่านไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ?” 

 

 

กู่อวี้จือย่อมไม่คิดเช่นนั้น เพียงแค่ไม่อยากคิดมากเท่านั้นเอง พอถาวจวินหลันถามกลับแบบนี้ นางก็พูดอะไรไม่ออกทันที 

 

 

“สุดท้ายแล้วเจ้าจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่สิ่งที่ข้าตัดสินใจแล้ว” ถาวจวินหลันกล่อมองค์ชายเก้าเบาๆ ให้องค์ชายเก้าหลับสบายขึ้น แม้น้ำเสียงเบาบาง แต่สื่อความหมายชัดเจนและเย็นชา 

 

 

ตอนที่พูดประโยคนี้ ฉับพลันบ่าวด้านนอกก็เข้ามารายงาน “จวงผินเหนียงเหนียงมาเพคะ บอกว่ามาเยี่ยมองค์ชายเก้าเพคะ” 

 

 

ตอนแรกถาวจวินหลันคิดว่าหมอหลวงมาแล้ว แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็อึ้งตะลึงไป พอได้สติกลับมาแล้วถึงได้พยักหน้า “เชิญเข้ามาเถิด” 

 

 

กู้ซีมาหาตอนนี้เป็นเรื่องแปลก อีกทั้งยังมาเพื่อเยี่ยมเยียนองค์ชายเก้า 

 

 

มองสภาพขององค์ชายเก้าในอ้อมกอด ถาวจวินหลันก็ใจหล่นวูบ กู้ซีมาหาองค์ชายเก้าโดยบังเอิญ หรือมีเบื้องหลังแอบแฝงอยู่กันแน่? 

 

 

แต่นางยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก กู้ซีก็เข้ามาแล้ว 

 

 

กู้ซีแต่งตัวเต็มยศตามแบบพระสนมที่ได้รับความโปรดปราน แม้ว่าจะยังไม่ได้แต่งตั้งตำแหน่งเฟย แต่ไม่ว่าเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับก็เป็นของขั้นเฟยเท่านั้น ถาวจวินหลันคิดในใจว่ากู้ซีกล้ามากเช่นนี้ ไม่กลัวคนว่านางล้ำเส้นเลยแม้แต่น้อย 

 

 

แต่พอคิดดูแล้ว ในเมื่อกู้ซีกล้าแต่งออกมา ก็หมายความว่าฮ่องเต้ต้องยินยอมถือหางนางเป็นแน่ ใครจะกล้าทำผิดหรือตั้งตัวเป็นศัตรูกับฮ่องเต้กันเล่า? เพื่อหาเรื่องกู้ซีอย่างนั้นหรือ? ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้งฮ่องเต้อาจจะประทานให้เองด้วยซ้ำ 

 

 

ถาวจวินหลันมองการแต่งตัวหรูหราของกู้ซีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้มองอะไรอีก เพียงแค่ยิ้ม “จวงผินเหนียงเหนียงมาแล้วหรือเพคะ อภัยที่ข้าไม่ได้ออกไปรับเองด้วยเพคะ เพราะองค์ชายเก้ารู้สึกไม่ค่อยดีนัก จึงปลีกตัวไปไหนไม่ได้เพคะ” 

 

 

ในเมื่อกู้ซีจะมาเยี่ยมองค์ชายเก้า ถาวจวินหลันย่อมไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้ พอปิดบังก็ยิ่งมีพิรุธมิใช่หรือ? 

 

 

นางไม่เพียงบอกไปตรงๆ ยังพูดอาการขององค์ชายเก้าอย่างเปิดเผยใจกว้าง เช่นนี้นางก็ดูเปิดเผยตรงไปตรงมา และไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย  

 

 

กู้ซีได้ยินว่าองค์ชายเก้าอาการไม่ค่อยดี ก็รีบก้าวเข้ามาดูองค์ชายเก้า แล้วก็อดร้องตกใจไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมถึงได้น่ากลัวนัก?” 

 

 

ไม่รู้ว่าเพื่อให้ความร่วมมือกับกู้ซีหรือไม่ องค์ชายเก้าที่แต่เดิมหลับสนิทแล้วก็ลืมตาตกใจตื่นขึ้นมา จากนั้นก็ร้องสำรอกน้ำย่อยสีแดงสดกองเล็กๆ  

 

 

ภาพเช่นนี้ไม่เพียงทำให้กู้ซีตกใจ แม้แต่ถาวจวินหลันก็ตกใจมากเช่นกัน ด้วยเสียงร้องไห้ขององค์ชายเก้าดังขึ้น ภายในห้องพลันก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกปวดใจ ความรู้สึกผิดหลั่งไหลถาโถมเข้ามา ในขณะเดียวกันก็กังวลมากขึ้น อาการขององค์ชายเก้าน่ากลัวจริงๆ จนนางอดกังวลไม่ได้ 

 

 

กู้ซีถามรัว “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ก่อนหน้านี้ยังดีอยู่เลยมิใช่หรือ? ทำไมถึงได้กลายเป็นเช่นนี้เล่า?” 

 

 

แทนที่จะบอกว่าเป็นกังวล ไม่สู้บอกว่าเค้นถามเสียมากกว่า 

 

 

กู้ซีจ้องถาวจวินหลันไม่วางตา รอให้ถาวจวินหลันอธิบาย 

 

 

แต่ไฉนเลยถาวจวินหลันจะอธิบายได้? ตัวนางเองยังฉงนอยู่เลย เมื่อเจอคำพูดเค้นถามเหมือนจะเป็นห่วงของกู้ซี นางก็ทำได้แค่ตอบอย่างเหนื่อยล้าและรู้สึกผิด “ตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รอให้มาหลวงมาก่อนถึงจะรู้อาการเพคะ” 

 

 

“ทำไมถึงยังไม่เชิญหมอหลวงมาเล่า” กู้ซีทำหน้าไม่เห็นด้วย คิ้วเรียวสวยก็ขมวดมุ่นขึ้นมา ดึงหน้าพูดกับถาวจวินหลันว่า “ข้าไม่อยากว่าพระชายาองค์รัชทายาทนัก แต่พระชายาองค์รัชทายาทละเลยเกินไปหน่อยกระมัง องค์ชายเก้าเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมถึงเพิ่งไปเชิญหมอหลวงเล่า? นางกำนัลก็เหมือนกัน ปรนนิบัติกันอย่างไร?” 

 

 

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน กู้ซีต่อว่าเช่นนี้ก็สมเหตุสมผล อย่างแรงกู้ซีเป็นสตรีของฮ่องเต้ พอจะถือได้ว่ามีฐานะสูงกว่านาง อย่างที่สองมากล่าวว่ากันตอนนี้ก็ด้วยเป็นห่วงองค์ชายเก้า อีกทั้งวังตวนเปิ่นเองก็ทำไม่ดีจริง 

 

 

แต่กู้ซีอายุน้อยกว่าถาวจวินหลัน พอถูกต่อว่าเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็อึดอัดและลำบากใจ จะต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้กู้ซีปฏิบัติกับนางอย่างเคารพ แต่ตอนนี้… 

 

 

ท่าทีเช่นนี้ของกู้ซีเตือนให้ทุกคนรู้ถึงฐานะของนางทั้งสอง แน่นอนว่าทำให้บรรยากาศยิ่งอึดอัดมากขึ้นอีก 

 

 

ถาวจวินหลันถูกกู้ซีต่อว่าเช่นนี้ก็ไม่ได้หงุดหงิดแม้แต่น้อย และยิ่งไม่ได้แสดงความประหม่าออกมา แต่กลับยอมรับความผิดของตนอย่างตรงไปตรงมา “เป็นความผิดของข้าเอง หากข้าใส่ใจกว่านี้เสียหน่อย คงไม่เป็นเช่นนี้”