บทที่ 645 อันตราย

บัลลังก์พญาหงส์

หากถาวจวินหลันไม่ยอมรับความผิด ปฏิเสธความรับผิดชอบหรือเถียงกลับ กู้ซีก็อาจจะพูดได้มากกว่านี้ แต่เมื่อนางตอบรับอย่างสบายใจเช่นนี้กลับทำให้คนพูดอะไรไม่ได้อีก

 

 

อย่างไรถาวจวินหลันก็รู้ว่าตนเองผิดไปแล้ว แล้วยังทำอะไรได้อีก? หรือจะให้ถาวจวินหลันฆ่าตัวตายล้างความผิดอย่างนั้นหรือ?

 

 

กู้ซีนิ่งไป จากนั้นก็เม้มปากหันกลับมาขอโทษถาวจวินหลันแทน “พูดไปแล้ว เป็นข้าเองที่ทำเกินไป ด้วยใจร้อนจึงเผลอพลั้งปาก ขอพระชายาองค์รัชทายาทอย่าได้ใส่ใจ”

 

 

ถาวจวินหลันมองกู้ซีทีหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ จวงผินพูดถูก เป็นความผิดของข้าเอง” นางพูดเช่นนี้แสดงออกว่ากู้ซีทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และยังใช้คำพูดให้ร้ายคนอื่นมากเกินไป แต่ตอนนี้กู้ซีหันกลับมาขอโทษ ก็ยิ่งทำให้เห็นว่ากู้ซีเป็นคนใช้ได้เลยทีเดียว

 

 

แต่…ถาวจวินหลันกวาดตามองรอบกาย เห็นภายในห้องนั้นล้วนเป็นคนของวังตวนเปิ่นและคนที่กู้ซีพามาเอง ในใจก็แอบคิดว่าจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ?

 

 

แต่ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ คำพูดก็ออกจากปากมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดมากอีก ถาวจวินหลันหลุบตาลงปกปิดอารมณ์ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เพียงแค่รอเวลาหมอหลวงมาเท่านั้น

 

 

พอเห็นภาพองค์ชายเก้าอาเจียนเป็นเลือด นางก็ใจไม่ค่อยดี และไม่อาจวางใจได้

 

 

“ไม่ทราบว่าเรื่องนี้ได้แจ้งฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้วหรือไม่?” กู้ซีเอ่ยปากถามอีกครั้ง

 

 

ถาวจวินหลันมองกู้ซี จงใจถอนหายใจออกมา “ตอนนี้หมอหลวงยังไม่มา ไม่รู้ว่าอาการขององค์ชายเก้าเป็นเช่นไร ข้าจึงยังไม่ได้ให้คนไปรายงานฮองเฮาเหนียงเหนียง เพราะอย่างไรฮองเฮาเหนียงเหนียงก็มีพระวรกายไม่ค่อยดี เหตุใดยังต้องให้พระองค์เป็นกังวลอีก? รอตรวจให้ชัดเจนแล้วค่อยไปรายงานก็ยังไม่สายนะเพคะ”

 

 

“ไม่เหมาะสม” กู้ซีส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ควรรีบไปแจ้งฮองเฮาเหนียงเหนียง อีกอย่างยังต้องมีคนไปแจ้งทางฮ่องเต้ด้วย แม้ว่าฮ่องเต้ตะขิดตะขวงจากเรื่องอี๋เฟย แต่ก็ยังทรงคิดถึงองค์ชายเก้ามากนัก”

 

 

พอพูดจบกู้ซีก็ไม่สนใจความเห็นของถาวจวินหลัน ออกคำสั่งกับนางกำนัลของตนเอง “เจ้าไปหาฮ่องเต้ ทูลเรื่ององค์ชายเก้า”

 

 

หงหลัวเหลือบมองถาวจวินหลันทันที สอบถามว่าจะให้ขัดขวางอีกฝ่ายหรือไม่ แต่ถาวจวินหลันกลับส่ายหน้า แสดงท่าทีให้หงหลัวอยู่เฉยๆ เรื่องนี้จะช้าเร็วฮ่องเต้ก็ต้องรู้ วังตวนเปิ่นคงหนีความรับผิดชอบได้ยาก นางจึงไม่คิดจะปิดบังใคร

 

 

อีกทั้งนางอยากรู้ว่ากู้ซีคิดจะทำอะไรกันแน่ มองเผินๆ คำพูดและการกระทำของกู้ซีในวันนี้เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่หลังจากเอามาร้อยเรียงครุ่นคิดดูแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงความผิดแผกเล็กน้อย

 

 

กู้ซีไม่เพียงมาได้ถูกเวลา คำพูดก็ช่างบังเอิญพอดิบพอดี แม้แต่เสนอเรื่องรายงานฮ่องเต้ ดูเหมือนว่ากู้ซีจะไม่ได้จงใจอะไร แต่พอมาคิดให้ดีแล้ว ก็เห็นชัดว่าไม่ใช่เช่นนั้น จะต้องรู้ว่าแม้นคนปกติคิดว่าถาวจวินหลันทำไม่ถูก แต่ก็ไม่ถึงขั้นสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องในวังตวนเปิ่น องค์ชายเก้าเกิดเรื่องที่วังตวนเปิ่น ไม่ว่าวังตวนเปิ่นจะแจ้งรายงานหรือไม่ก็ต้องแบกความรับผิดชอบเหมือนกัน ดังนั้นจะรายงานขึ้นไปเมื่อไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของวังตวนเปิ่น

 

 

แต่กู้ซีส่งคนไปรายงานเองเช่นนี้ ก็เป็นการประจานความผิดของวังตวนเปิ่น หากฮ่องเต้ถามแล้วบอกสาเหตุไม่ได้ ไม่ใช่ว่าจะยิ่งบันดาลโทสะเหมือนสายฟ้าฟาดหรืออย่างไร?

 

 

ถาวจวินหลันคิดอยู่ในใจ แต่ใบหน้านั้นกลับนิ่งเฉยไม่แสดงอาการใด เพียงแค่มององค์ชายเก้าเงียบๆ บรรยากาศพลันก็อึมครึมขึ้นมาทันที

 

 

กู้ซีนั่งนิ่งๆ อยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วถึงถามว่า “พระชายาองค์รัชทายาทจะโทษว่าข้าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านใช่หรือไม่?” น้ำเสียงนั้นมีความขลาดกลัว

 

 

ถาวจวินหลันมองไปยังกู้ซี เห็นว่ากู้ซีมีสีหน้าระมัดระวังและเป็นกังวล เผยให้เห็นความอ่อนแอบอบบาง ก็แอบรังเกียจเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับนิ่งสงบ “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ? เรื่องนี้ควรต้องทูลฮ่องเต้อยู่แล้ว จวงผินเหนียงเหนียงส่งคนไปก็ถือว่าประหยัดกำลังข้าส่งคนออกไปอีกครั้งเพคะ”

 

 

กู้ซียังคิดจะพูดอะไรอีก แต่ก็ไม่มีโอกาสนั้น เพราะสุดท้ายหมอหลวงก็มาถึงเสียที

 

 

หลังจากหมอหลวงเข้าห้องมาแล้ว ก็รีบทำความเคารพถาวจวินหลันและคนอื่นๆ ถาวจวินหลันสะบัดมือ “มาดูอาการองค์ชายเก้าก่อน ทำความเคารพช่างไปก่อนเถิด”

 

 

หมอหลวงย่อมรู้ถึงความสำคัญ จึงลุกขึ้นตามสถานการณ์ แล้วไปดูองค์ชายเก้า แต่หลังจากตรวจชีพจรแล้ว หมอหลวงก็แสดงท่าทีฉงน ก้มหน้าถามว่า “ไม่ทราบว่าองค์ชายเก้าเกิดอาการเมื่อไร? ได้ทานอะไรเข้าไปหรือไม่?”

 

 

อาการอาเจียน ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าได้ทานของที่ไม่ควรทานมาหรือไม่

 

 

ถาวจวินหลันมองไปยังนางกำนัลที่ดูแลองค์ชายเก้า แสดงท่าทีให้นางตอบ

 

 

นางกำนัลคนนั้นเล่าสถานการณ์ตอนนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เมื่อคืนนี้กู่เหลียงตี้มาหาองค์ชายเก้าเพคะ หยอกล้ออยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบของว่างป้อนให้องค์ชายเก้าทานสองสามคำ ตอนนั้นเขายังไม่เป็นอะไร แต่ใครจะรู้ว่ายามดึกองค์ชายเก้าจะอาเจียนไม่หยุด แต่เดิมยังคิดว่าไม่เป็นอะไร เพียงแค่สำรอกนมปกติเท่านั้น แต่หลังจากนั้นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพคะ แม่นมก็เริ่มกังวลจึงคิดจะเชิญหมอหลวงมาดูอาการ แต่หลังจากกู่เหลียงตี้รู้เรื่องนี้แล้วกลับไม่ให้แม่นมทำเรื่องอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ ทั้งข่มขู่ และมอบผลประโยชน์ให้แม่นมอีกมากมาย พวกเราก็คิดแค่ว่าองค์ชายเก้าทานของว่างจนท้องไม่ดี ดังนั้นจึงไม่ได้พูดออกไป คิดว่าคงไม่ได้เป็นเรื่องอะไร คิดไม่ถึงว่า…”

 

 

หมอหลวงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทันที แอบกลัวเล็กน้อย ยังไม่รู้ว่าองค์ชายเก้ามีสถานการณ์เช่นไร เขากลับได้ยินเรื่องลับลมคมในเต็มไปหมด สิ่งที่คดเคี้ยวไปมาในเรื่องนี้ไฉนเลยหมอหลวงคนเดียวอย่างเขาจะทำอะไรได้? อย่าต้องสละชีวิตน้อยๆ เพราะเรื่องนี้เลย

 

 

ถาวจวินหลันมองหมอหลวง แต่หมอหลวงนั้นก้มหน้าต่ำ นางเองก็มองไม่เห็นท่าทีของหมอหลวง ย่อมไม่อาจคาเดาความคิดของหมอหลวงได้ ดังนั้นนางทำได้แค่ส่งเสียงถามออกมา “อาการขององค์ชายเก้าเป็นอย่างไรกันแน่?”

 

 

หมอหลวงได้สติกลับมา รีบตอบว่า “อาการค่อนข้างรุนแรงพ่ะย่ะค่ะ” ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น อาเจียนอย่างรุนแรงเช่นนี้แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ทนไม่ไหวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กเล็ก ย่อมต้องร้ายแรงเป็นแน่

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหมอหลวงผิดไป ใจหล่นวูบ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติ ถามว่า “ถ้าเช่นนั้นเพราะเหตุใดองค์ชายเก้าจึงอาเจียนเช่นนี้?” ถูกพิษหรือ? แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดเรื่องสุดท้ายออกไป แต่ในเมื่อไม่ได้พูดออกไป คิดว่าทุกคนคงเข้าใจความหมายกันดีอยู่แล้ว

 

 

หมอหลวงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดว่า “อาจจะกินอะไรที่ทำให้ท้องไม่ดี ท้องไม่ย่อยจึงอาเจียนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป จากนั้นได้สติกลับมาก็สบายใจไปเฮือกหนึ่ง ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลัน คนอื่นในวังตวนเปิ่นก็ลอบถอนใจเช่นเดียวกัน คลายกังวลไปไม่น้อย

 

 

โดนวางยากับทานของแล้วท้องไม่ดีย่อมแตกต่างกัน และผลลัพธ์ของวังตวนเปิ่นก็จะแตกต่างกัน

 

 

หากโดนวางยา เกรงว่าคนมากมายในวังตวนเปิ่นคงไม่รอดเคราะห์กรรมนี้ต้องถูกพาลลากไปด้วยเป็นแน่ แต่ถ้ากินของทำให้ท้องไม่ดีนั่นก็จะไม่เหมือนกัน เรื่องนี้มาหาความรับผิดชอบจากวังตวนเปิ่นไม่ได้ แต่เดิมท้องไส้ของเด็กก็อ่อนแออยู่แล้ว เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ไม่ถือว่าแปลก มากที่สุดก็เป็นแค่โทษที่ดูแลไม่รอบคอบเท่านั้นเอง

 

 

โดยเฉพาะกู่อวี้จือ ยิ่งถอนใจอย่างแรง ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนล้มพับไปนั่งกับพื้น ตอนที่ยังไม่รู้ว่าอาการขององค์ชายเก้าแน่ชัด ตัวนางเองก็ตกใจแทบตาย ตอนนี้พอรู้ว่าแค่กินของที่ทำให้เสาะท้อง นางก็สบายใจเหมือนได้เกิดใหม่

 

 

และในขณะเดียวกัน นางก็เริ่มรู้สึกถึงอาการเจ็บจากการคุกเข่ามานาน จะต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้นางตกใจจนชาไปทั้งร่าง ไฉนเลยจะรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้?!

 

 

หลังจากลอบถอนใจ ถาวจวินหลันก็คิดถึงเรื่องที่หมอหลวงพูดว่าอาการค่อนข้างอันตรายได้ รีบพูดว่า “ไม่ว่าจะใช่วิธีอะไร จะต้องรักษาองค์ชายเก้าให้ดี”

 

 

หมอหลวงรีบพูด “กระหม่อมต้องทำสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า “รีบเขียนเทียบยาเถิด อีกอย่างรีบคิดหาวิธีให้หยุดอาเจียนก่อนถึงจะดี จริงสิ องค์ชายเก้าอาเจียนเป็นเลือดจะเป็นอะไรหรือไม่?”

 

 

หมอหลวงส่ายหน้า “น่าจะกระเพาะเป็นแผลพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ให้องค์ชายเก้ากินนมเท่านั้น ห้ามให้กินของมั่วซั่วอีกพ่ะย่ะค่ะ แม่นมเองก็จะต้องดื่มยาขององค์ชายเก้าพร้อมกันด้วย เช่นนี้ฤทธิ์ยาจะผ่านน้ำนมไปให้องค์ชายเก้าได้ด้วย เช่นนี้ถึงเห็นผลเร็วขึ้น”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดของหมอหลวงก็ค่อยๆ คลายกังวล ความไม่สบายใจก่อนหน้านี้ก็หายไป

 

 

แต่หมอหลวงยังพูดอีกว่า “ตามหลักการแล้ว ดื่มยาเข้าไปอย่างไรก็เห็นผลบ้าง แต่หากอาเจียนหนักจนดื่มยาไม่ได้ เช่นนั้นก็จะลำบากพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พอได้ยินประโยคนี้ ถาวจวินหลันก็เริ่มกังวลอีกครั้ง

 

 

หมอหลวงเปิดยา และฝังเข็มให้องค์ชายเก้าอีกครู่หนึ่ง และไม่กล้าทิ้งไปไหน แต่อยู่เฝ้า เคี่ยวยาด้วยตนเองเพื่อรอให้องค์ชายเก้าดื่มเข้าไป แล้วดูว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร

 

 

กู้ซีก็ไม่ได้จากไปไหน อยู่ที่วังตวนเปิ่นตลอดเวลา จนกระทั่งฮองเฮาและฮ่องเต้ที่มากันทั้งคู่ แม้แต่หวังฮูหยินก็ตามมาด้วย

 

 

พอได้ยินฮ่องเต้เสด็จมา ถาวจวินหลันก็รู้ว่าคงหนีคำสั่งสอนและบทลงโทษในวันนี้ไม่พ้นเป็นแน่ จึงเดินออกไปรับขบวนเสด็จอย่างเปิดเผย

 

 

กู้ซีก็ตามออกไปเช่นเดียวกัน

 

 

พอเห็นฮ่องเต้กับคนอื่นๆ ถาวจวินหลันจึงทำความเคารพอย่างนอบน้อม กู้ซีก็เช่นเดียวกัน แต่ฮ่องเต้เรียกให้กู้ซีให้ลุกขึ้นมาคนเดียว ไม่ได้ให้นางลุกขึ้นด้วย

 

 

ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ถือว่าทำให้ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

 

 

ถาวจวินหลันก้มหน้า เม้มปาก ใบหน้าไร้อารมณ์ก้มมองปลายเท้าของตนเอง รักษาท่าทางทำความเคารพเอาไว้นิ่งๆ เวลาผ่านไปนานย่อมต้องรักษาท่าทางเดิมไม่ค่อยไหวเท่าไร แต่นางก็รู้ดีว่าฮ่องเต้ต้องการเช่นนี้ จึงยังกัดฟันทนต่อไป

 

 

สุดท้ายก็เป็นกู้ซีที่เอ่ยปากขึ้นมา “ฮ่องเต้เพคะ พระองค์ทรงลืมบอกให้พระชายาองค์รัชทายาทลุกขึ้นมาแล้วเพคะ?”

 

 

ที่จริงแล้วฮ่องเต้จ้องถาวจวินหลันอยู่ตลอด ไฉนจะลืมได้? แต่กู้ซีพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ต้องยอมโอนอ่อนให้ เปิดปากพูดว่า “ลืมไปจริงๆ ลุกขึ้นเถิด”

 

 

ถาวจวินหลันถึงได้ลุกขึ้น แต่ด้วยรักษาท่าทางทำความเคารพเอาไว้นานเกินไป พอลุกขึ้นกะทันหันก็เซไป ยังดีที่หงหลัวเข้ามาประคองได้ทัน

 

 

จากนั้นถาวจวินหลันก็เอ่ยรับผิดเบาๆ “หม่อมฉันดูแลองค์ชายเก้าไม่รอบคอบ ขอฮ่องเต้และฮองเฮาเหนียงเหนียงโปรดลงโทษหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”

 

 

ฮองเฮามองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมามาก เพียงแค่บอกว่า “พวกเราไปดูองค์ชายเก้ากันก่อนดีกว่าเพคะ ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรบ้าง ได้ยินว่าค่อนข้างรุนแรงมิใช่หรือ?”