บทที่ 145 แลกเปลี่ยน
“อะไรนะ ? ท่านจะส่งข้าไปแดนเผ่าคนเถื่อน ? ทำไมเล่า ?” เยี่ยเม่ยตะโกนเสียงโกรธเคืองแล้วเบิกตากว้างตวัดตามอง
ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “ตอนนี้ซูเฉินอยู่ในอาณาจักรเหล็กเลือด เพิ่งได้พบกองทัพกำลังสวรรค์ และกำลังช่วยขุดพวกเขาขึ้นจากโคลนอยู่ ตอนนี้ แม้กองทัพกำลังสวรรค์จะยังไม่ออกจากอาณาจักรเหล็กเลือด แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก เผ่าคนเถื่อนพวกนั้นกำลังจะเสียอำนาจควบคุมสถานการณ์แล้ว”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า ?”
“ชายแดนเผ่าคนเถื่อนและเผ่ามนุษย์ยังถูกปิด และแม้ว่ากองทัพกำลังสวรรค์จะยังรอดชีวิต แต่ก็ฝ่าออกมาได้ยาก ดังนั้นจึงอาจต้องรบกันยาวนาน เจ้ารู้ไหมนั่นหมายความว่าอะไร ?”
เยี่ยเม่ยส่ายหน้าซื่อ ๆ
ฉือหมิงเฟิงส่ายหัวด้วยความโมโห “เงินไง ! เงินเป็นกอง ! หินพลังต้นกำเนิด ยาวิญญาณ ทรัพยากรมากหลาย !”
“แล้วเของพวกนั้นเกี่ยวอะไรกับกองทัพกำลังสวรรค์ ?” เยี่ยเม่ยยังไม่เข้าใจ
ฉือหมิงเฟิงได้แต่อธิบายให้ง่ายที่สุด “แดนเผ่าคนเถื่อนขาดทรัพยากร ขาดเสบียง ขาดแร่ ขาดหลาย ๆ อย่าง แต่พวกเขาอยู่ออกไปทางเหนือ ซึ่งที่นั่นมียาพิเศษที่ไม่อาจหาได้จากที่อื่น ต่างจากภาคตะวันตกที่พื้นที่ส่วนมากเป็นของเผ่าวิญญาณและเผ่าสัตว์อสูร พวกนั้นเองก็มีสินค้าพิเศษของตน และเพราะคนเถื่อนมักขาดทรัพยากรอยู่ตลอด รอดมาได้ด้วยการล่าสัตว์อสูรอย่างหนักเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมีผลึกแก้วต้นกำเนิดมากมายแน่นอน อธิบายอย่างนี้เถอะ หากเราส่งอาหาร สมุนไพรวิญญาณ และเศษเหล็กให้พวกเขา เราก็แลกผลึกแก้วต้นกำเนิดมาได้ไงเล่า !”
เยี่ยเม่เข้าใจแล้ว “อ้อ ของพวกนั้นถูกจะตาย ! ทำไมพวกเราไม่ไปซื้อเอาล่ะ ?”
“ซื้อบ้านเจ้าสิ !” ฉือหมิงเฟิงตบท้ายทอยเยี่ยเม่ยเข้าให้ “รู้ไหมว่าหลายปีมานี้พวกเราทำอะไรไปบ้าง ? พวกเราก็ทำการค้าเช่นนี้อย่างไรเล่า !”
เยี่ยเม่ยกลอกตา “ก็ในเมื่อทำอยู่แล้ว ทำไมท่านยังเอามาพูดอีกเล่า ?”
“เจ้าบื้อนี่ เราเคยทำการค้ากับประตูฟื้นความเยาว์มาก่อน แต่ผลประโยชน์ทำแบบแบ่งครึ่ง จำนวนก็ค่อนข้างน้อย… ประตูฟื้นความเยาว์ไม่อาจทำให้โดยไร้ค่าใช้จ่ายได้ ดังนั้นจึงต้องยอมแบ่งผลประโยชน์ไป หากแต่ตอนนี้ สถานการณ์ต่างออกไปแล้ว ประตูฟื้นความเยาว์เกรงกลัวผ่าคนเถื่อน แต่กองทัพกำลังสวรรค์ไม่กลัว”
เยี่ยเม่ยเกาหน้าผาก ราวกับกำลังคิดเรื่องนี้อย่างหนัก “ท่านจะบอกว่าเราควรทำการแลกเปลี่ยนกับกองทัพกำลังสวรรค์หรือ ?”
“เข้าใจสักที” ฉือหมิงเฟิงถอนหายใจยาว “กองทัพกำลังสวรรค์ไม่กลัวเผ่าคนเถื่อน เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนพวกคนเถื่อนแล้ว พวกเขาอยากได้เสบียง ส่วนเราอยากได้สมุนไพรและผลึกแก้วต้นกำเนิด พวกเขาอยู่อาณาจักรเหล็กเลือดคงจะหาอาหารยาก… กระทั่งเผ่าคนเถื่อนเองยังมีอาหารเลี้ยงพวกตนไม่พอ แล้วคนอื่นจะเหลือหรือ ? หากแต่พวกสมุนไพรวิญญาณที่นั่นขึ้นไปทั่วราวกับดอกไม้ป่า เราก็ไปทำการค้ากับพวกเขาโดยตรงเลยเป็นไง ?”
เยี่ยเม่ยมุ่ยปาก ”ฮึ่ม ทางก็ถูกปิดไปแล้ว แล้วเราจะทำการค้าอย่างไรกัน ?”
ดูท่านางจะฉลาดขึ้นบ้างแล้ว
ฉือหมิงเฟิงขำ “ข้าถึงได้บอกว่าเจ้าน่ะมันบื้อ เจ้าคิดดู ซูเฉินไปช่วยกองทัพกำลังสวรรค์อย่างไรเล่า ?”
เยี่ยเม่ยชะงักไป “อย่าบอกนะว่าเขาเป็นคนที่เอาเสบียงทั้งหมดไปให้ทั้งกองทัพเพียงตัวคนเดียวน่ะ ?”
“ทำไมเขาจะทำไมได้เล่า ?” ฉือหมิงเฟิงโต้กลับ “แผนการที่คนส่วนมากไม่อาจทำได้ สำหรับเขาไม่นับเป็นอะไร”
ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงความร่ำรวยของซูเฉินไปมากกว่าเขาแล้ว หากจะมีใครที่สามารถพกเอาแหวนพลังเป็นภูเขาที่ภายในมีแต่เสบียงล้วน ๆ ไปได้ และผลก็ยังทำให้ราคาเสบียง แหวนพลัง และสิ่งของจำเป็นต่อการใช้ชีวิตอื่น ๆ พุ่งสูงขึ้นได้แล้วละก็ ก็คงมีแต่ซูเฉินเท่านั้น
ฉือหมิงเฟิงรู้ก็เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงในตลาด เจ้านั่นกว้านซื้อแหวนพลังในตลาดไปหมดภายในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้ราคาแหวนพลังพุ่งเสียดฟ้า เครื่องมือต้นกำเนิดประเภทพื้นที่พวกนี้ราคาก็สูงอยู่แล้วได้กลายเป็นสินค้าหายากไปทันใด
“แล้วข้าจะไปหาแหวนพลังมาจากไหนเล่า ?”
ฉือหมิงเฟิงว่า “จากภายนอกย่อมหาไม่ได้ แต่หาจากภายในเอาก็ได้นี่ อาณาจักรหลงซางอาจไม่เหลือแล้ว แต่หาจากอาณาจักรอื่นเอาก็คงไม่ยากนี่ ? หากเราพร้อมคิดหาทาง ย่อมมีหนทางเอาแหวนพลังมาได้ น่าเสียดายที่ทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้ราคาแหวนพลังพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ”
“แล้วข้าจะเข้าไปอย่างไร ? ซูเฉินสามารถแปลงกายเข้าไปได้ แต่ข้าทำไม่ได้นะ”
“เจ้าไม่ต้องห่วง คนจากประตูฟื้นความเยาว์จะช่วยเราเอง”
“ไม่ใช่ว่าเราคิดจะข้ามหัวพวกเขาแล้วทำการค้ากับซูเฉินและคนอื่น ๆ เองงั้นหรือ ? แต่พวกเขาก็คิดจะช่วยเราอีก ?” เยี่ยเม่ยถามเสียงประหลาดใจ
“ไม่ใช่ทั้งประตูฟื้นความเยาว์ เป็นเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้น” ฉือหมิงเฟิงตอบ
ข้ออ้างที่อาซือถิงมอบให้ฉือหมิงเฟิงคือ แม้ประตูฟื้นความเยาว์จะไม่อาจทำการค้ากับกองทัพกำลังสวรรค์ได้ เพราะนั่นจะทำให้เป็นการท้าทายเผ่าคนเถื่อนอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป ดังนั้นจึงแอบติดต่ออารามนิรันดร์อย่างลับ ๆ ว่าจะเป็นคนดำเนินการค้านี้ให้เอง
ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ดีนัก ในโลกนี้ หากไม่ควักกระเป๋าตนทำเพื่อคนอื่นบ้างสักหน่อย ก็คงไม่มีใครเรียกขานว่าวีรบุรุษได้หรอก
ไม่ว่าจะเป็นฉือหมิงเฟิงหรือใครอื่นย่อมไม่คิดว่าข้ออ้างนี้แปลกประหลาดอันใด
ในเมื่อจะไปพบกับกองทัพกำลังสวรรค์ ก็สมควรส่งคนที่น่าเชื่อถือไปสักหน่อย อารามนิรันดร์เป็นกลุ่มที่คนภายนอกมองว่าเป็นพวกกลุ่มผู้ก่อการร้าย มีหรือจะคุยกับกองทัพกำลังสวรรค์รู้เรื่อง ? ก็ต้องคุยผ่านซูเฉินอย่างไรเล่า
แม้จะไม่รู้ฐานะของซูเฉินในกองทัพ แต่ดูจากนิสัยและของที่นำติดตัวไปแล้ว ก็คงเดาฐานะได้ไม่ยาก อาจมีอำนาจด้อยกว่าเพียงผู้บัญชาการทัพเลยก็ได้
แต่น่าขันนัก ที่พวกเขาไม่รู้ว่าแม้กระทั่งผู้บัญชาทัพเองก็ยังทำตามแผนของซูเฉิน มีคนไม่เท่าไหร่ที่สามารถสร้างอาวุธวิญญาณขึ้นมาได้ แล้วเหตุใดไม่นำหลี่ฉงซานมาทำประโยชน์เล่า ?
ในเมื่อทัพต้องพึ่งพาซูเฉิน ฉือหมิงเฟิง เยี่ยเม่ย และคนอื่น ๆ จึงกลายเป็นมีประโยชน์ไป
ดังนั้นฉือหมิงเฟิงจึงตามตัวเยี่ยเม่ยมา เพราะไม่มีใครที่เจรจากับซูเฉินได้ดีเท่านางแล้ว
ประจบเยี่ยเม่ยก็เท่ากับประจบซูเฉิน คนทั้งอารามนิรันดร์อาจไม่เห็นเช่นนี้ แต่อย่างน้อยฉือหมิงเฟิงและลูกน้องก็เห็นตรงกัน ดังนั้นช่วงนี้นางจึงได้รับการปฏิบัติที่ดีเป็นพิเศษ
“ก็คือท่านอยากให้ข้าติดต่อเรื่องการค้าซูเฉิน ?” เยี่ยเม่ยถามขึ้น
“ใช่แล้ว แผนเป็นเช่นนั้น แต่เจ้าไม่ไปคนเดียว เฮ่อซื่อกับข้าจะไปด้วย”
เยี่ยเม่ยตกใจอยู่บ้าง “เฮ่อซื่อแปลงร่างได้ เข้าใจได้ว่าต้องส่งไป แต่ท่านจะมาด้วยทำไมกัน ?”
ฉือหมิงเฟิงส่งเสียงบ่น “ก็ไปเพื่อคุ้มกะลาหัวเด็กอย่างเจ้าไงเล่า คิดหรือว่าแดนเผ่าคนเถื่อนจะเข้าไปได้ง่าย ๆ พอได้ประตูฟื้นความเยาว์คุ้มครองแล้วคิดหรือว่าจะเดินเข้าไปสบายใจได้ ? อีกอย่าง ห้ามบอกเรื่องเฮ่อซื่อเด็ดขาด ภายนอกให้มีแต่ข้ากับเจ้าที่ไปเท่านั้น”
เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจว่าทั้งเฮ่อซื่อและฉือหมิงเฟิงเดินทางไปด้วย ก็เพื่อปกป้องนาง
ฉือหมิงเฟิงนั้นปกป้องนางแบบออกหน้า ส่วนเฮ่อซื่อคอยช่วยอยู่ในเงามืด
ทั้งหมดเป็นเพราะซูเฉิน
ไม่ว่าอย่างไร จะเสียเยี่ยเม่ยไปไม่ได้ ความสัมพันธ์ของซูเฉินกับนางในเวลานี้ หากเกิดเรื่องกับนาง ซูเฉินย่อมไม่เหลือทางลงให้อารามนิรันดร์แน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉือหมิงเฟิงจึงเลือกพาเฮ่อซื่อไปด้วย หากแต่งานของเฮ่อซื่อไม่ใช่การแปลงกายเป็นคนอื่น แต่คือการเร้นกายในเงา และคอยทำหน้าที่แทนเยี่ยเม่ยในจังหวะฉุกเฉินต่างหาก
‘หากเป็นไปได้ก็ขออย่าให้ต้องใช้แผนสำรองนี้เลย’ ฉือหมิงเฟิงคิด