องค์ชายจิ่วเยี่ยกลายเป็นคนปรนนิบัติผู้อื่นอย่างอดทนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว เขาผู้ที่อยู่เหนือผู้อื่นมาโดยตลอด ประเดี๋ยวไม่คุ้นเคยเขาก็วางมือลงแล้ว ตอนนี้มู่เฉียนซีจึงเลือกที่จะทำตามเขาไปก่อน

ผลสุดท้ายมู่เฉียนซีนึกไม่ถึงว่าจิ่วเยี่ยไม่เพียงแต่คุ้นเคย อีกทั้งยังชอบที่จะทำมันอีกด้วย

ทั้งสองใกล้ชิดกันเช่นนี้ทำให้จิ่วเยี่ยพึงพอใจเป็นอย่างมาก

เขาเป็นองค์ชายที่ไม่มีผู้ใดสามารถสั่งเขาได้ในแดนนรก ปฏิบัติต่อหญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขาราวกับราชินีก็มิปาน และไม่มีสิ่งใดผิด

ทว่า สิ่งที่ทำให้มู่เฉียนซียิ่งจนปัญญาไปมากกว่านั้นก็คือ จิ่วเยี่ยป้อนข้าวให้นางก็ช่างเถอะ แต่เขา…

นึกไม่ถึงว่าเขาจะลงมือทำอาหารให้มู่เฉียนซีด้วยตัวเองอีกด้วย ทันใดนั้นมู่เฉียนซีก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้น และรู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอีกด้วย

มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย ข้าว่าพอเถอะนะ! เจ้าเป็นถึงองค์ชายจิ่วเยี่ยแห่งแดนนรก เหตุใดถึงได้ยอมลดเกียรติมาทำอาหารเช่นนี้ล่ะ เรื่องนี้หากคนอื่นรู้เข้าคงต้องหัวเราะเยาะเจ้าเป็นแน่”

“ใครกล้าหัวเราะเยาะข้า!” แสงเย็นวาบผ่านดวงตาของจิ่วเยี่ย

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ไม่มีผู้ใดกล้าแน่นอน! แต่ว่า…”

จิ่วเยี่ยก้มหน้าลงและหอมแก้มมู่เฉียนซีเบา ๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นก็กล่าวว่า “รอมื้อเที่ยงของข้านะ!”

มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้น ห้องพักในสำนักส่วนในของนางค่อนข้างครบครัน และแน่นอนว่าต้องมีห้องทำอาหาร

ดังนั้นองค์ชายจิ่วเยี่ยจึงไปที่ห้องทำอาหาร มู่เฉียนซีรู้ว่าความสามารถในการเรียนรู้ของจิ่วเยี่ยนั้นแข็งแกร่งมาก และการเรียนรู้ในการรักษาบาดแผลของจิ่วเยี่ยนั้นก็สมบูรณ์แบบมากเช่นกัน

ทว่า ฝีมือด้านการทำอาหารนี้ มู่เฉียนซียังไม่วางใจในฝีมือของจิ่วเยี่ยเลย ครั้นแล้วนางจึงตัดสินใจไปดู!

มู่เฉียนซียังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ ทันใดนั้นเปลวไฟก็พุ่งขึ้นสู่หลังคา และเปลวไฟก็ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องทำอาหาร อีกทั้งยังลุกลามอีกด้วย

นี่ตกลงเป็นจอมภูตพลังธาตุอัคคีมาเผาห้องพักของนางหรืออย่างไรกัน ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!

“บุปผาหลั่งสายฝน!” ทันทีที่มู่เฉียนซีกวัดแกว่งมือ พลังธาตุวารีก็แผ่ซ่านออกมายับยั้งเปลวไฟนั้น!

“จิ่วเยี่ย!”

มู่เฉียนซีเพิ่งจะนึกออกว่าจิ่วเยี่ยยังอยู่ในห้องทำอาหาร แต่พลังธาตุวารีอันน้อยนิดเพียงนี้น่าจะทำอะไรจิ่วเยี่ยไม่ได้ มู่เฉียนซีก็ไม่ได้เป็นกังวลอะไร

บูม! เสียงบูมดังขึ้น เปลวไฟในห้องทำอาหารของมู่เฉียนซีจึงได้ดับลง

จิ่วเยี่ยเดินออกมาโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด เขาเดินมาตรงหน้ามู่เฉียนซี

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “จิ่วเยี่ย เกิดอันใดขึ้น คนตาถั่วที่ไหนลอบโจมตีเจ้าเหรอ ?”

“ล้มเหลวแล้ว!”

ทันทีที่จิ่วเยี่ยโบกมือ ของบางอย่างสีดำซึ่งดูไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดปรากฏอยู่บนจานใบหนึ่ง

ในที่สุดมู่เฉียนซีก็เข้าใจแล้ว “จิ่วเยี่ย คงไม่ใช่เพียงเพราะอาหารจานนี้ใช่หรือไม่ ที่ทำให้เจ้าถึงกับต้องเผาห้องทำอาหารของข้า นี่เจ้าใช้ไฟใดกัน พลังธาตุอัคคีแข็งแกร่งมาก!”

จิ่วเยี่ยโบกมือขึ้น เปลวไฟสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้น

“ก็แค่ไฟวิญญาณชนิดหนึ่งของแดนนรก”

นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจิ่วเยี่ยจะเอามันมาจุดไฟทำอาหาร นี่ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้นักปรุงยาและนักหลอมอาวุธทุกคนต้องโกรธจนกระอักเลือดแน่นอน แม้กระทั่งมู่เฉียนซีก็ตาแดงก่ำแล้ว

นางต้องการสิ่งนี้!

“พลังของซีในเวลานี้ยังไม่สามารถรับไฟวิญญาณนี้ได้ หากเจ้าชื่นชอบข้าจะหาสิ่งที่เหมาะให้กับเจ้า” จิ่วเยี่ยกล่าว

ไฟวิญญาณนี้ หากพลังขั้นมหาจักรพรรดิโดนเข้า จุดจบก็คงจะมอดไหม้เป็นเถ้าธุลี

มู่เฉียนซีกล่าว “พลังการสังหารและการทำร้ายของไฟวิญญาณนี้ช่างสูงเกินไปแล้ว เจ้าเอามันมาทำอาหาร หากไม่เกิดเรื่องขึ้นก็แปลกแล้วล่ะ ใช้ไฟธรรมดาก็พอแล้ว”

“ไฟธรรมดา ?”

ในสายตาของเขานั้น ไฟวิญญาณกับไฟธรรมดาไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

นั่นเป็นเพราะในสายตาขององค์ชายจิ่วเยี่ย ถึงแม้ว่าจะเป็นไฟวิญญาณ แต่เมื่ออยู่ในมือของเขาแล้วมันก็เป็นเหมือนไฟธรรมดา ไม่มีพลังการทำลายล้างแต่อย่างใด

หลังจากที่รู้สาเหตุที่เขาได้ทำอาหารล้มเหลวแล้ว จิ่วเยี่ยก็เตรียมพร้อมที่จะพยายามทำใหม่

มู่เฉียนซีกล่าว “จิ่วเยี่ย ข้าว่าช่างมันเถอะ ห้องทำอาหารก็ถูกไฟเผาหมดแล้ว ข้าให้คนเอามื้อเที่ยงมาส่งให้ก็ได้แล้ว”

“ข้าคิดว่า ก่อนที่ข้าจะไป ข้าจะทำอาหารที่ซีชอบให้ซีสักมื้อ” จิ่วเยี่ยกล่าว

ดูเหมือนว่า ไม่ว่าองค์ชายจิ่วเยี่ยจะทำสิ่งใดก็ล้วนแต่สำเร็จไปหมด ไม่มีทางที่ล้มเหลว!

วันนี้ล้มเหลว แต่เขาไม่ยอมวางมือง่าย ๆ แน่

“แต่ว่า ห้องทำอาหารไฟไหม้หมดแล้ว!”

“ในสำนักศึกษาซวนเสียน่าจะมีห้องทำอาหารห้องอื่นอยู่”

“รอข้านะ!” จิ่วเยี่ยจูบมู่เฉียนซีเบา ๆ จากนั้นเขาก็จากไป

ตูม!

ตูม!

ตูม ตูม ตูม!

จากนั้นก็โชคร้ายเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งสำนักศึกษาปรากฏเสียงระเบิดขึ้น

“เกิดอันใดขึ้น หรือว่าคนของหุบเขาหมอเทวดาจะมาฆ่าฟันกันอีกแล้วเหรอ ?”

“คนของสำนักปีศาจดำลอบโจมตีแล้วเหรอ ?”

“……”

ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่ ๆ!

อาจารย์ใหญ่ให้เหล่าผู้อาวุโสไปปลอบขวัญ จากนั้นก็ไปที่เกิดเหตุด้วยความจำใจ พวกเขาได้เห็นกับบุรุษผู้เย็นยะเยือกดุจดั่งเทพมาร เขาไม่กล้าเอ่ยปากกล่าวแต่อย่างใด

ห้องทำอาหารห้องเล็กห้องใหญ่ของสำนักศึกษาส่วนในล้วนแต่ถูกทำให้เสียหายไปหมดแล้ว

“ยังมีที่ไหนอีก ?” จิ่วเยี่ยเหลือบมองอาจารย์ใหญ่พลางกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

อาจารย์ใหญ่จำใจต้องเผชิญกับเหตุการณ์อย่างห้าวหาญ “นายท่านหวงจิ่วเยี่ย เหลือเพียงแค่ห้องทำอาหารในโรงอาหารของสำนักส่วนในแล้ว หากห้องทำอาหารนี้ระเบิดอีก วันนี้นักเรียนของสำนักส่วนในก็คงต้องหิวแย่แน่”

“พลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิทนหิววันนึงไม่ตายหรอก! นำทางข้าไป!” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างไม่จะงอยปาก

ตอนนี้อาจารย์ใหญ่อยากจะเป็นลมหมดสติไปจริง ๆ เขารู้สึกแค่ว่าวันนี้ทุกคนต้องหิวโหยอย่างแน่นอน!

โชคดีที่ห้องทำอาหารของสำนักส่วนในค่อนข้างสุดโต่ง เขายิ้มพลางกล่าวว่า “คุณชายต้องการทำอาหารให้คนรักใช่หรือไม่!”

เดิมทีจิ่วเยี่ยผู้ที่ไม่อยากจะสนใจผู้ใดนั้น เมื่อได้ยินคำว่า “คนรัก” สองคำนี้แล้วก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขากล่าวเสียงต่ำว่า “อืม!”

“มือใหม่อย่างคุณชาย รับผิดชอบหน้าที่นี้อันที่จริงแล้วไม่ง่ายเลย ทำบะหมี่สักชามก็แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของคุณชายแล้ว อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่ใช่ตอนเช้า ดังนั้น…”

“เช่นนั้นก็ต้มบะหมี่!” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงขรึม

หลังจากที่จิ่วเยี่ยต้มบะหมี่เสร็จและจากไป อาจารย์ใหญ่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ในที่สุดห้องทำอาหารสำนักศึกษาของพวกเขาก็ปลอดภัยแล้ว

“เหล่าจู เป็นเช่นไรบ้าง บะหมี่นั่นคงจะไม่กินแล้วตายใช่หรือไม่ ?” เวลานี้อาจารย์ใหญ่ซวนกลับรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของมู่เฉียนซีแล้ว

พ่อครัวจูกล่าว “ขะ ข้า เอ่อ ข้าก็เพิ่งจะเคยเจอเด็กที่ไร้พรสวรรค์เช่นนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน เด็กผู้นั้นไม่เลวเลย พลังก็แข็งแกร่งมากด้วย แต่ฝีมือการทำอาหารบอกได้แค่สี่คำ…”

อาจารย์ใหญ่ซวนกล่าวถามด้วยความแปลกใจว่า “สี่คำไหนรึ ?”

“ทนดูไม่ได้!” พ่อครัวจูกล่าวอย่างจนปัญญา

“เจ้าเตรียมปรุงยาให้แม่นางน้อยผู้นั้นได้เลย คาดว่าแม่นางน้อยผู้นั้นจะต้องปวดท้องเป็นแน่ แต่จะว่าไปนี่ก็เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขานะ”

บุรุษผู้ที่สูงศักดิ์และมีอำนาจเหนือใครผู้หนึ่ง สามารถลงมือทำอาหารให้นางด้วยตัวเองเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องที่ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเลยล่ะ

ในที่สุดมู่เฉียนซีก็รอจนจิ่วเยี่ยกลับมา จากนั้นจิ่วเยี่ยก็เอาผลงานอันยิ่งใหญ่ของเขาวางบนโต๊ะอาหาร

เมื่อได้เห็นสีดำ ๆ คล้ายกับแป้งไหม้ มู่เฉียนซีร่นตัวถอยหลังเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัว

สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นมีความเสี่ยงสูงมาก รีบห่างไว้สักหน่อยจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ

ผลสุดท้ายนางถูกจิ่วเยี่ยดึงเอาไว้ จากนั้นก็ถูกบังคับโดยการกอดและกลับเข้าไป

มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุก “จิ่วเยี่ย นี่คือสิ่งใด ?”

“บะหมี่หยางชุน!”

บะหมี่หยางชุนหน้าตาเป็นเช่นนี้เหรอ ? ตอนนี้มู่เฉียนซีรู้สึกสงสัยในความทรงจำของนางแล้ว

“ซีลองชิมดู!”

จิ่วเยี่ยหยิบตะเกียบมา แต่ก็ไม่ได้คีบ เขาใช้แค่ช้อนเท่านั้น

ลางสังหรณ์ของมู่เฉียนซีบอกกับนางว่า พลังการสังหารและการทำให้บาดเจ็บของบะหมี่หยางชุนชามนี้รุนแรงยิ่งกว่าพิษของนางเสียอีก เมื่อเห็นว่าจิ่วเยี่ยกำลังจะยื่นของไหม้นี้ใกล้มาที่ปากมู่เฉียนซี มู่เฉียนซีก็ปิดตาแน่นพลางกล่าวว่า “อือ! ไม่…”