ลงโทษ?

 

 

 

 

เมื่อจิ่งเหิงปัวลืมตาขึ้นมายังนึกว่าตนเองนอนหลับอยู่ 

 

 

มืดจัง ยังอยู่ในความฝันแน่เลย 

 

 

นางหลับตาลงอีกครั้ง สักพักจึงลืมตาขึ้นมาใหม่ คราวนี้นางแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่ได้นอนหลับไป 

 

 

นางพลิกตัวคลานขึ้นมา รู้สึกว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่ง ทว่าไม่มีแสงสว่าง ไม่มีมนุษย์ ไม่มีเสียง ไม่มีลมหายใจ ไม่มีแม้กระทั่งความรู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่ง ให้ความรู้สึกคล้ายกับ…ดินแดนแห่งความตาย 

 

 

ใช่แล้ว! ดินแดนแห่งความตาย ไอเย็นยะเยือกผนึกแน่นไร้ซึ่งพลังชีวิตแม้แต่น้อยนิด 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกเหน็บหนาวสั่นสะท้าน พยายามหวนคิดว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ลอยล่องอยู่ในสมองมีเพียงใบหน้าที่ตื่นตระหนกขาวซีดของจงฉิงและดอกทานตะวันเต็มสองตา 

 

 

อ้อ ยังมีแสงประหลาดสายหนึ่งที่คล้ายทะลุผ่านมาจากด้านหลังตนเองอีก 

 

 

นางลูบคลำข้างกาย เจ้าหมาโง่ไม่อยู่ เฟยเฟยไม่อยู่ อีกทั้งชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยก็ไม่อยู่ ที่แห่งนี้คล้ายกับว่าเหลือเพียงนางผู้เดียว 

 

 

ความคิดน่าหวาดกลัวความคิดหนึ่งโผล่ออกมาคว้าเส้นประสาททั้งหมดของนางในทันใด 

 

 

หา?! คงไม่ใช่ทะลุมิติอีกครั้งแล้วกระมัง? 

 

 

รอบด้านมืดครึ้มแปลกประหลาดไร้ซึ่งแสงสว่างขนาดนี้ คงจะไม่เหมือนที่นวนิยายน้ำเน่าพวกนั้นที่กล่าวเอาไว้ว่าทะลุมิติไปไม่สำเร็จ ด้วยไม่ระมัดระวังจึงทะลุไปยังถ้ำมืดมิดระหว่างมิติหรือว่ารอยแยกมิติล่ะมั้ง? 

 

 

เมื่อความคิดนี้ปรากฏกาย เส้นผมบนศีรษะของจิ่งเหิงปัวก็ลุกชันขึ้นมาเสียแล้ว 

 

 

นางกระโดดขึ้นมาลูบคลำทั้งสี่ด้าน แต่กลับไม่พบประตูหรือหน้าต่างใด 

 

 

นางเคาะผนัง ผนังก็เปล่งเสียงทึบแน่นออกมา รู้สึกคล้ายว่าทั้งสี่ด้านเป็นผนังทึบตัน 

 

 

พื้นที่โดยรอบคับแคบเป็นอย่างมาก ก้าวเพียงแค่สามก้าวก็ก้าวได้สุดทางแล้ว ที่ประหลาดก็คือทั้งๆ ที่แคบขนาดนี้แต่กลับไม่รู้สึกว่าอึดอัดอบอ้าวแต่อย่างใด 

 

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบตาปริบๆ ในใจคล้ายถูกทับไว้ด้วยหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง นางจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนเยี่ยมชมเวทีการอภิปราย เคยได้ยินว่าความมืดมิดระดับสูงสุดมีแรงกดดันต่อจิตใจมนุษย์ อีกทั้งกล่าวถึงการขังห้องมืดว่าเป็นการลงโทษที่เหนือกว่าการลงโทษที่โหดร้ายทารุณที่สุดทุกรูปแบบ แต่นางไม่ได้เชื่อแบบนั้น วันนี้นับว่าได้รู้ซึ้งเข้าแล้ว 

 

 

ความมืดมิดระดับสูงสุด และความเงียบสงัดทำให้คนสูญเสียการมองเห็น ตนเองยอมรับว่าสูญเสียความสามารถ ความหวาดกลัวที่ผลักดันให้จิตใจคิดมั่วซั่วและเกิดความคิดฟุ้งซ่านประกอบกันเช่นนี้ถึงเป็นอาวุธคมกริบยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ก่อให้เกิดบาดแผลต่อมนุษย์ ยิ่งเวลายาวนานก็ยิ่งอันตราย 

 

 

จิ่งเหิงปัวอยากหายตัว แต่ความสูงของที่นี่ไม่เพียงพอ เมื่อไร้หนทางที่จะยืนตัวตรงอย่างสมบูรณ์จึงไม่มีวิธีออกไป ในใจของนางรู้ว่าแย่แน่แล้วจึงรีบหลับตาลงแล้วนอนหลับ คิดว่าในเมื่อนอนหลับทะลุมิติออกมา บางทีอาจจะนอนหลับทะลุมิติกลับไปได้ จะกลับไปปัจจุบันหรือกลับไปแคว้นต้าเยียนหรือที่ไหนก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องอยู่ในความมืดมิดที่ยื่นมือออกไปแล้วมองไม่เห็นห้านิ้วแบบนี้ 

 

 

ไม่รู้ว่านอนหลับหรือไม่ อีกทั้งไม่รู้ว่านอนหลับไปนานเท่าใด คล้ายดังเนิ่นนาน คล้ายดังเพียงชั่วพริบตา พอนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ยังคงมองไม่เห็นตนเอง สิ่งที่ยังคงเผชิญหน้าคือความมืดมิดที่ทับถมแน่นหนัก พาให้คนหายใจขาดห้วง เหงื่อเย็นเยียบของนางค่อยๆ ไหลซึมออกมาในทันที 

 

 

บนเหนือศีรษะพลันมีเสียงเลือนรางรำไร 

 

 

จิ่งเหิงปัวหยุดทุกท่วงท่า เงยหน้าขึ้นมองข้างบน ในขณะที่ตึงเครียดนั้นในใจก็ผ่อนคลายไปเล็กน้อย มีเสียงก็ดี อย่างน้อยก็ย่อมดีกว่าความเงียบสงัดสุดขีด โลกที่เงียบสงัดอย่างสมบูรณ์แบบนั้นถึงจะทำให้คนเสียสติ 

 

 

เสียงนั้นคล้ายแว่วมาจากที่ห่างไกล 

 

 

เริ่มแรกเป็นเสียงลม เสียงคลื่นน้ำกระเซ็นขึ้นมา เสียงใบไม้ถูกขยับเขยื้อน ทั้งยังมีเสียงเลือนรางแผ่วเบาหลากหลายชนิด เช่น เสียงยุงดังหวึ่งๆ เสียงนกป่าจิ๊บๆ ในความเงียบสงัดยังเปี่ยมล้นด้วยความคึกคักแผ่วเบา คล้ายกับมีผู้เดินเท้าท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรและแม่น้ำไหลหลาก เขากำลังใช้สายตาน่าหวาดผวาพินิจธรรมชาติประหลาดตา จิ่งเหิงปัวพลันไม่แน่ใจเล็กน้อย นึกถึงวันเวลาที่เดินทางในป่าเขากับกงอิ้น 

 

 

จากนั้นทั้งสี่ด้านก็พลันเงียบสงัด จิ่งเหิงปัวกำลังฟังอย่างตั้งใจ ตกใจจนกลั้นหายใจอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ ในความเงียบสงัดนกไม่ร้อง แมลงไม่ส่งเสียง ใบไม้ไม่ขยับ มีเพียงเสียงลมคำรามต่อเนื่องยิ่งใกล้เข้ามาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  

 

 

จิ่งเหิงปัวเริ่มตึงเครียด นางนึกถึงสัตว์ดุร้ายเช่นเสือดาวตัวนั้นในทันที 

 

 

จากนั้นเสียงลมก็ดังขึ้น จากนั้นทั้งป่าคล้ายถูกปลุกให้ฟื้นคืนโดยพลัน จากความเงียบสงัดซ่อนอำพรางไปถึงความเยือกแข็งสุดขีดจนระเบิดออกมากะทันหัน ใบไม้สั่นไหวรุนแรง ฝูงนกบินสูงขึ้น หนอนแมลงเข้าถ้ำ สัตว์เล็กหลบลี้ ไม่รู้ว่าสัตว์ปราดเปรียวตัวไหนวิ่งบนยอดไม้เป็นกลุ่มเป็นก้อนแล้วตะบึงห้อผ่านไป 

 

 

เสียงทั้งหมดราวกับกำลังพร่ำกล่าวคำสี่คำว่า อันตรายใกล้เข้ามา รีบหนีไป! 

 

 

การแว่วมาของคลื่นเสียงในความมืดมิดสมจริงอย่างมากจนพาให้คนเข้าใกล้สภาพแวดล้อมนั้น จิ่งเหิงปัวเริ่มควานทั้งสี่ด้านหาโพรงเล็กๆ มาเจาะทะลวง 

 

 

นางหาโพรงไม่เจอเพราะทั้งสี่ด้านคล้ายทำจากเหล็ก จากนั้นเสียงคำรามทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังจิ่งเหิงปัว 

 

 

ท่วงท่าของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อเพียงครั้ง ขนด้านหลังคล้ายกับลุกชันขึ้นมาทีละเส้น 

 

 

สัตว์ร้าย! 

 

 

ในขณะที่หวาดกลัวถึงขีดสุดนั้น นางยังรู้สึกได้อย่างรำไร คล้ายกับว่าคุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้อยู่บ้าง น่าเสียดายแต่ว่าเมื่อคนหวาดกลัวถึงขีดสุดแล้ว การสังเกตจะหยุดลงเพียงอวัยวะรับความรู้สึกของตนเอง ไม่มีความสามารถในการครุ่นคิดใดๆ 

 

 

เสียงคำรามใกล้เข้ามาเหลือเกิน เหล่าสัตว์ในป่าไม้ยิ่งหวาดกลัวบ้าคลั่ง จิ่งเหิงปัวหมอบราบอยู่บนพื้นรู้สึกคล้ายว่าลมหายใจเหม็นคาวของในปากกว้างดุจอ่างเลือดของสัตว์ร้ายนั้นพุ่งอยู่เหนือศีรษะของตนเอง น้ำลายใสวาวยาวครึ่งฟุตย้อยสั่นไหวลงมา เมื่ออ้าปากคำราม หอบลมรุนแรงพัดผ่านขึ้นมาในป่า 

 

 

เสียงลมดุร้ายสายหนึ่งพัดผ่านเหนือศีรษะอย่างฉับพลัน คล้ายสัตว์ร้ายที่กำลังย่างกายผ่านพุ่มไม้ จากนั้นเสียง ตึง! เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น คล้ายร่างคนผู้หนึ่งถูกสัตว์ร้ายกระโจนใส่จนล้มลง ขนทั่วทั้งร่างของจิ่งเหิงปัวลุกชันขึ้นมา รู้สึกว่าคล้ายตนเองถูกพุ่งล้มลงกระนั้น 

 

 

ในป่าเงียบสงบลง ใบไม้ห้อยย้อยลงมา เหล่าสัตว์หายใจถี่ระรัว คล้ายหลบอยู่หลังต้นไม้แอบมองอย่างเงียบเชียบ 

 

 

มีเสียงเคี้ยวทึบแน่นดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกร๊อบบางเบา เสียงแกร๊บ เสียงแควกอย่างต่อเนื่อง สัตว์ร้ายคล้ายกำลังเสพสุขกับอาหารจานใหญ่ของมัน ทั้งกำลังขบเคี้ยว กัดกลืน ตะปบ สะบั้นกระดูก ฉีกกล้ามเนื้อออกมาเคี้ยวกินอย่างละโมบทีละคำ… 

 

 

ครั้งนี้แม้แต่หนังศีรษะของจิ่งเหิงปัวเองก็ยังชาด้านไปเสียแล้ว 

 

 

ความมืดมิดทำให้ความรู้สึกของมนุษย์กว้างใหญ่ไพศาล ทำให้ไวต่อความรู้สึกอย่างไร้ขอบเขต อีกทั้งทำให้คนยากจะแยกแยะสภาพแวดล้อมและสภาพการณ์ที่ตนเองอยู่ ส่วนเสียงสมจริงขนาดนั้น คนที่เคยมีประสบการณ์คล้ายกันยิ่งยากจะรักษาสติสัมปชัญญะได้ จิ่งเหิงปัวค่อยๆ กลับกลายเป็นไม่แน่ใจ คล้ายดั่งว่าผู้ที่ถูกทับอยู่ใต้ร่างของสัตว์ร้ายกลิ่นสาบสางนั้น ผู้ที่ถูกปากกว้างดุจอ่างเลือด ถูกฟันคมโหดร้ายนั้นฉีกขย้ำเคี้ยวกลืนทีละคำ…ก็คือตนเอง 

 

 

กล้ามเนื้อฉีกขาด เลือดเนื้อลอยกระเซ็น ความหวาดกลัวและความเจ็บปวด ความสิ้นหวังและความงงงวย นางค่อยๆ หายใจแรงขึ้น ความคิดค่อยๆ ปะปนเลือนราง เพียงดิ้นรนไปเบื้องหน้าด้วยจิตใต้สำนึกที่อยากจะหลุดพ้นจากความรู้สึกน่ากลัวนี้… 

 

 

หนึ่งนิ้ว สองนิ้ว รู้สึกถึงเสียงอันน่ากลัวกร่อนกระดูกขับวิญญาณเสียงนั้นคล้ายค่อยๆ แผ่วเบาลง เหงื่อเย็นเยียบทั่วร่างของนางไหลริน ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่น้อยนิด นางหมอบหายใจอยู่บนพื้นครู่ใหญ่ พลางดิ้นรนคลานขึ้นมาวางแผนตบกำแพงขอความช่วยเหลืออีกครั้ง ในใจคิดว่าหากขณะนี้มีคนช่วยนางออกไปจากถ้ำมืดมิดน่ากลัวแห่งนี้ นางคงต้องมอบทั้งตัวและหัวใจให้เขา หากเขาไม่ชอบนาง นางก็จะยกไท่สื่อหลัน จวินเคอ หรือเหวินเจินให้ก็ได้… 

 

 

ขณะที่จิตใจกำลังคิดฟุ้งซ่าน เสียง กร๊อบ! เสียงหนึ่งดังก็ฉับพลันขึ้นข้างหลัง 

 

 

ใสไพเราะดังกังวานยวดยิ่ง ความกลัวแทรกซึมสู่ไขกระดูก 

 

 

กระดูกช่วงเอวคล้ายกับถูกฟันเหล็กแหลมคมขย้ำสะบั้นในคำเดียว 

 

 

เลือดเนื้อลอยกระเซ็น เรือนร่างสองท่อนร่วงลงกับพื้น… 

 

 

“กรี๊ด!” ในที่สุดนางก็รับการกระตุ้นอย่างรุนแรงขนาดนี้ไม่ไหวจึงอ้าปากกรีดร้องออกมา เสียงกู่ก้องน่าเวทนาคล้ายจะกรีดแทงถ้ำมืดมิดแห่งนี้จนแหลกสลาย ทิ่มแทงทั้งจักรวาลจนโลหิตสาดชุ่มโชก 

 

 

เสียงทึบดังพลั่กเสียงหนึ่ง พื้นดินสั่นสะเทือนหนึ่งระลอก จากนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวูบคล้ายกับว่าความมืดมิดถูกฉีกออกเป็นรอยแยกสายหนึ่งโดยพลัน เงาร่างสูงสายหนึ่งใช้ความเร็วที่ไร้หนทางมองเห็นได้ชัดพุ่งเข้ามาโอบนางเข้าสู่อ้อมแขนอย่างแนบแน่นในคราเดียว 

 

 

“เป็นอะไรไป…” เสียงสั่นเทาน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดถึง…” 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเสียงนี้คล้ายกับกงอิ้นอยู่บ้าง แต่ว่าน้ำเสียงนั้นไม่คล้ายอย่างแน่นอน กงอิ้นจะร้อนใจจนร่างสั่นเทาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? เขาก็มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ด้วยหรือ? 

 

 

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อได้ยินเสียงของเขาแล้ว นางก็อ่อนยวบลงมาโดยไม่รู้สาเหตุ เหงื่อท่วมทั่วร่างจนแนบเปียกชื้นอยู่บนแขนของเขา ตนเองยังคงไม่ลืมที่จะพยายามยกแขนขึ้นบีบคอเขาไว้ครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ตนหายใจแผ่วเบา 

 

 

ทำไมเพิ่งมาตอนนี้! 

 

 

“เหิงปัว!” เขาคล้ายกับกำลังเรียกหานางอีกครั้ง อีกทั้งเสียงยังร้อนรนกระวนกระวาย จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองหูฝาดไป กงอิ้นจะมาเรียกชื่อของนางอย่างนั้นหรือ? ปกติเขาเรียกนางว่าฝ่าบาท หรือไม่ก็ ‘นี่!’ ใส่นางอย่างเย็นชา! 

 

 

นิ้วมือของนางออกแรงหวังจะบีบคอเขาไว้แล้วเขย่าไปมาแรงๆ หลายรอบ แล้วถามสักหน่อยว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถามเขาว่าเหตุใดถึงมาช่วยช้า ถามเขาว่าอยากตายหรืออย่างไร น่าเสียดายที่ว่านางยังไม่ทันได้เขย่าร่างของเขา ตนเองก็โอนไปเอนมา ดวงตากลอกจนเห็นตาขาว 

 

 

นางหมดสติไปแล้ว 

 

 

… 

 

 

กงอิ้นนั่งลงท่ามกลางความมืดมิด แขนโอบจิ่งเหิงปัวไว้ รู้สึกงงเป็นไก่ตาแตกครั้งแรกในชีวิต 

 

 

เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? 

 

 

เบื้องหลังกายมีผู้ประชิดเข้ามา พร้อมลากผ้าสีดำออกเสียงดังพึ่บพั่บคราหนึ่ง ท้องนภาพลันสว่างไสว 

 

 

หากยามนี้จิ่งเหิงปัวฟื้นคืนสติขึ้นมา นางคงจะต้องโกรธจนแทบสิ้นชีพแน่ 

 

 

สิ่งที่เรียกว่าถ้ำมืดมิดนั้นเป็นเพียงรถม้าเหล็กคันก่อน เพียงถอดล้อออก ปิดประตูรถให้สนิท คลุมด้วยผ้าสีดำทั้งสี่ด้านเพื่อกลบแสงสว่างทุกสายจนสิ้น เช่นนั้นก็ย่อมกลายเป็น ‘ถ้ำมืดมิด’ ที่ไร้ซึ่งช่องว่างแห่งหนึ่งแล้ว 

 

 

ด้วยเพราะรถม้าปิดสนิทจึงเงียบสงบยิ่งนักเป็นธรรมดา ทุกผู้คนล้วนถูกไล่ให้ออกห่างจากรถม้าและไม่ให้เปล่งเสียงใดๆ ออกมา มีเพียงองครักษ์ที่เชี่ยวชาญการเลียนเสียงผู้หนึ่งที่นั่งยองๆ อยู่บริเวณรถม้า 

 

 

ยามนี้องครักษ์ที่เชี่ยวชาญการเลียนเสียงผู้นั้นกำลังยักย้ายส่ายเอว เดินออกห่างจากกงอิ้นอย่างลับๆ ล่อๆ พอมองจากลมหายใจที่เปล่งออกมาจากร่างของกงอิ้นและสภาพของจิ่งเหิงปัวแล้ว เขาก็รู้ได้ว่าตนเองได้ก่อเรื่องแน่แล้ว แม้ว่าเภทภัยครานี้จะเป็นความคิดของกงอิ้น จะมาโทษเขาไม่ได้ ทว่าเขาก็กังวลอย่างยวดยิ่งว่าท่านราชครูผู้แลดูผิดปกติยิ่งนักในยามนี้จะโกรธาแล้วฆ่าคน 

 

 

หัวหน้าองครักษ์ผู้ผอมนามเหมิงหู่เรียกลูกน้องมาเก็บกวาดรถม้าเสียใหม่อย่างแผ่วเบาเงียบเชียบ ก่อนจะถีบองครักษ์ผู้เลียนเสียงนั้นครั้งหนึ่งแล้วให้เขารีบไสหัวไปไกลหน่อย อีกทั้งยังสั่งลูกน้องให้ไปตามหมอมาโดยเร็ว และตามหาโรงเตี๊ยมบริเวณใกล้เคียง เขาจัดการเรื่องราวอย่างเหมาะสมตามหน้าที่เพื่อหลีกเลี่ยงภายหลังที่ราชครูคืนสติแล้วจะโกรธา จนทำให้ทุกคนซวยกันจนสิ้น 

 

 

เหมิงหู่ผู้ทั้งจัดการเรื่องราวอย่างเหนื่อยล้าและมีสีหน้าอมทุกข์ลอบจ้องมองกงอิ้นปราดหนึ่งแล้วจ้องมองอีกปราดหนึ่ง 

 

 

ผู้อื่นอาจจะไม่รู้ว่าท่านราชครูเป็นอะไรไป แต่ว่าเขาก็พอจะเดาได้ 

 

 

นับตั้งแต่ราชินี ‘หลบหนี’ ท่านราชครูก็ดูจะผิดปกติไป 

 

 

ผู้ที่แต่ไหนแต่ไรไม่ชอบเปลี่ยนการแต่งกาย ถึงกับเปลี่ยนการแต่งกาย 

 

 

ยามที่ติดตามข้างกายนาง มองนางยิ้มแย้มให้ผู้อื่นงามดุจบุษบา เขาก็มองผ่านด้วยสายตาเย็นชา 

 

 

ยามที่หลบอยู่ในตรอก มองนางปล้นจี้คนเดินถนน เขาก็เม้มริมฝีปากอย่างเงียบเชียบ 

 

 

ยามที่นางกระโดดขึ้นอวดรูปโฉมงดงามบนโต๊ะพนัน สีหน้าของเขาก็เริ่มจะเขียวคล้ำ 

 

 

ยามที่นางยื่นมือช่วยเหลือจงฉิงบนบันได สีหน้าเขาก็เริ่มอึมครึม 

 

 

ยามที่จงฉิงเริ่มแสดงความรักอย่างที่ใจหวังกระทำในห้องลับ ในที่สุดเขาจึงโมโหโกรธา… 

 

 

นับตั้งแต่ความไม่ชอบใจในยามที่ได้ยินนางเอ่ยวาจา ทำท่าทำทางพรรณนาทิวทัศน์ ‘ความตาย’ ของเขายามแรกเริ่ม ในที่สุดสะสมจนถึงระดับใกล้จะระเบิดออกในคราเดียว กระตุ้นให้เขาใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ‘ลงโทษ’ สตรีที่เจ้าชู้อย่างยิ่งยวด เพ้อฝันอย่างยวดยิ่ง ทั้งไม่ได้แยแสและไม่ได้เชื่อฟังนางนั้นเบาๆ สักครา 

 

 

แท้จริงหากคิดดูแล้วนี่ก็ช่างเรียบง่ายนัก 

 

 

ไม่ใช่ว่าเจ้าสาปแช่งให้ข้าถูกเสือดาวขย้ำกระดูกช่วงเอวจนสะบั้นและกัดกินทีละคำหรอกหรือ? 

 

 

เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าได้ฟังเสียงยามที่ถูกเสือดาวขย้ำกระดูกช่วงเอวจนสะบั้นและกัดกินทีละคำ 

 

 

ฟังแล้วฉ่ำอุราหรือไม่ ชอบใจหรือไม่เล่า? 

 

 

… 

 

 

เหมิงหู่ถอนหายใจออกมา 

 

 

ฟังย่อมฟังแล้ว ลงโทษย่อมลงโทษแล้ว ทว่าผู้ถูกลงโทษคล้ายจะเป็นตัวท่านราชครูเอง 

 

 

ก่อนหน้าการเลียนแบบเสียงเสือดาวกลืนกินร่างมนุษย์ ท่านราชครูคล้ายจะพบสิ่งผิดปกติ จึงเฉียดเข้ามาเพื่อขัดจังหวะอย่างรวดเร็ว แต่เพราะว่าวิ่งรวดเร็วเกินไปทำให้เหยียบถูกหลุมบนพื้น นำพาให้มหาเทพผู้หนึ่งถึงกับข้อเท้าเคล็ด 

 

 

ฉะนั้น ฟางเส้นสุดท้ายซึ่งทำให้หลังอูฐหัก[1]หรือเสียงน่ากลัวที่เลียนแบบเสียงขย้ำกระดูกช่วงเอวสะบั้นเสียงนั้น กลับไม่ใช่ผลงานอันเยี่ยมยอดของผู้เลียนเสียง 

 

 

ทว่าเป็นเพียงเสียงกระดูกข้อเท้าของกงอิ้นเคล็ดอย่างรุนแรงเช่นนั้น… 

 

 

เหมิงหู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครา 

 

 

ท่านราชครูผู้เฉลียวฉลาดเลื่องลือ นับแต่ได้พานพบกับองค์ราชินีผู้ไม่เข้าท่าเข้าทาง ก็คล้ายกับว่า บางทีอาจจะเป็นไปได้ว่าสติปัญญานี้ย่อมค่อยๆ ถดถอยลง 

 

 

เมื่อนึกถึงอสนีจากท้องนภาและเพลิงอัคคีจากพสุธาขององค์ราชินีหลังฟื้นขึ้นมารู้ความจริงแล้ว เหมิงหู่ก็รู้สึกว่าปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมา ทว่ากลับไม่กล้าช่วยนายท่านออกความคิดใดอีกแล้ว รีบเร่งหลบออกไปให้ห่างไกล 

 

 

เฮ้อ นายท่าน… 

 

 

ท่านก็ช่วยเหลือตนเองเถิดหนา! 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ฟางเส้นสุดท้ายซึ่งทำให้หลังอูฐหัก จากสุภาษิตอาหรับว่า “the last straw that breaks the camel’s back” มีความหมายว่าทนรับต่อไปไม่ไหว