TB:บทที่ 160 ระฆังทอง

หลังจากฟังที่หว่านซูจื่อกล่าว เฉินหลงรู้สึกว่าโลกของหว่านซูจื่อช่างดูวิเศษกว่าโลกนี้ของเขา

เช่นเดียวกันหว่านซูจื่อที่ได้ยินเฉินหลงกล่าวถึงทุกๆอย่างบนโลกแล้ว หว่านซูจื่อก็ต้องการโลกแบบนั้นด้วย

ในท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าใครหรืออะไรก็ตามหากพำนักอยู่ที่ใดเป็นเวลานานแล้ว คนคนนั้นย่อมต้องการไปที่อื่นที่มีสิ่งแวดล้อมแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง

เฉินหลงและหว่านซูจื่อคุยกันในระบบเป็นเวลาสองสามชั่วโมง ก่อนที่พวกเขาจะออกจากระบบไป

แต่ก่อนที่จะออกจากระบบพวกเขาได้ดูของในร้านพวกตน หว่านซูจื่อยังได้กล่าวอีกว่าจะส่งวิชาลับที่เฉินหลงอยากได้ให้

จะมีสิ่งอื่นที่เฉินหลงจะกล่าวได้กับผู้ยิ่งใหญ่ที่ตรงไปตรงมาอย่าเขาคนนี้หรือ เฉินหลงทำได้เพียงตกลง คนที่อยู่ในระบบมาเป็นร้อยปีจะไปมีแต้มแลกเปลี่ยนน้อยได้อย่างไรกัน เขาคงไม่ใส่ใจอะไรแบบนี้

เมื่อเขาออกจากระบบแล้ว เฉินหลงนำม้วนวิชาของ “ระฆังทอง” ออกมาเพื่อฝึกฝนในทันที

มีคำกล่าวว่า “ระฆังทอง” สร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของธรรมมะ และเป็นสิ่งที่สูญหายไปกว่าร้อยปี สิ่งที่เรียกว่า“ระฆังทอง” คือเสื้อที่ทำด้วยแร่เหล็กเป็นสิ่งที่ใช้ในชี่กงทั่วไป

เมื่อเฉินหลงได้ฝึกการใช้“ระฆังทอง”จากม้วนวิชาในมือเขาแล้ว เฉินหลงจึงรู้หลักของการฝึกฉีด้วย

ตามวิธีการที่เขียนอยู่ในม้วนวิชาลับ ฉีของระฆังทองจะกลั่นอยู่ในร่างกายและเมื่อฉีของระฆังทองเปลี่ยนรูปร่างมาอยู่ข้างนอกแล้ว ก็จะกลายเป็นฉีที่ปกป้องร่างกาย

มีระดับของ“ระฆังทอง”อยู่ด้วยกันสิบสองระดับ พลังของแต่ละดับมีความแตกต่างกัน พลังของระดับแรกจะยังไม่ปรากฏชัดแต่จะมีความมั่นคงที่ต่างจากคนทั่วไป ระดับที่สองและสามจะไม่บาดเจ็บจากการโจมตีของระดับชั้นนำ ระดับสี่และห้าจะไม่บาดเจ็บจากผู้เชี่ยวชาญ  ระดับเจ็ดและแปดจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากระดับปรมาจารย์ ระดับเก้าและ ระดับสิบจะไม่บาดเจ็บจากระดับปรมาจารย์ชั้นสูง ระดับสิบเอ็ดจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากระดับกำเนิดและระดับสิบสองจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากระดับลมปราณ

เนื่องจากเฉินหลงมีพลังเป็นระดับกำเนิด เมื่อได้เรียนรู้จากม้วนวิชาลับแล้ว ต่อมาไม่นานร่างของเขาจึงผลิต“ฉีระฆังทอง” ได้และมีการผ่านพ้นของพลังไปเรื่อยๆ

ขั้นที่สอง

ขั้นที่สาม

ขั้นที่สี่

………

สองชั่วโมงต่อมา เฉินหลงฝึกระฆังทองไปได้ถึงขั้นสิบเอ็ด

มี“ฉีระฆังทอง”รูปทรงคล้ายนาฬิกาทองปรากฏรอบตัวเฉินหลง ด้านบนของนาฬิกาทองเรือนใหญ่มีสัญลักษณ์ที่งดงามเคลื่อนที่อยู่รอบๆ

“งดงามมาก” เฉินหลงมองตัวเขาในกระจกและเห็นว่าตัวเขามีนาฬิกาทองที่แวววับอย่างไม่มีอะไรเทียบเคียงได้ล้อมอยู่

ยิ่งไปกว่านั้นฉีของระฆังทองระดับสิบเอ็ดจะไม่บาดเจ็บหากโดนโจมตีด้วยคนที่มีพลังระดับกำเนิด

ในตอนนี้หากศัตรูของเฉินหลงไม่มีใครที่มีพลังระดับลมปราณแล้วละก็ มีคนแค่ไม่กี่คนที่ทำร้ายเขาได้

เฉินหลงค่อยๆเคาะบน“รัศมีของระฆังทอง”ด้วยมือเปล่า เขาพบว่าการที่เคาะเช่นนี้เหมือนกับการเคาะลงบนเหล็กที่แข็งแรงและมีพลังอ่อนๆส่งกลับมา

“เช่นนี้ แบบนี้น่าจะใช้ได้”

จบคำเฉินหลงหยุดการใช้“ฉีระฆังทอง” แล้วระฆังทองรอบตัวเขาจึงเลือนหายไป

จากนั้นก็มีชั้นไอของระฆังทองบนท้องแขนทั้งสองของเฉินหลง ราวกับว่าเขาสวมถุงมือทองป้องกันแขนไว้

ไอของฉีทองคำยังคงเป็น“ระฆังทอง”อยู่ ทว่าเฉินหลงไม่อยากใช้“ฉีระฆังทอง”ไปทั้งร่าง เขาจึงจำกัดให้“ฉีระฆังทอง”อยู่กับแขนทั้งสองของเขาคล้ายกับเป็นสนับแขน

เมื่อทำเช่นนี้ เมื่อจะใช้“ฉีระฆังทอง”แล้วจะไม่เป็นทองแววาวอย่างก่อนหน้า

เมื่อใช้เวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อคุ้นชินแล้ว เฉินหลงเพิ่งรู้สึกว่าเขาลืมที่จะหาอาวุธมาให้ตัวเขาเอง

กระบองคู่เป็นสิ่งสามัญที่หลายร้านจำหน่าย เขาซื้อกระบองคู่แสตนเลสจากร้านขายเครื่องกีฬาแล้วจึงกลับไป

ที่วิลล่าของเขา เฉินหลงเริ่มทำการฝึกใช้กระบองคู่

กระบองคู่เป็นอาวุธที่ใช้ยาก ต้องมีความแม่นยำ ต้องไม่ปราณี แต่ตราบใดที่ฝึกอย่างเหมาะสมแล้วคนธรรมดาๆก็ใช้อย่างทรงพลังได้ อีกทั้งกระบองคู่นี้ยังถือไปไหนมาไหนง่ายอีกด้วย เป็นอาวุธป้องกันตัวที่เด็ดขาด

และด้วยร่างกายของเฉินหลงแล้วการฝึกใช้กระบองคู่จึงเป็นเรื่องไม่ยากเลย เพราะสุดท้ายแล้วหากคนสามัญยังฝึกใช้กระบองคู่ได้ อย่างเฉินหลงคงไม่มีปัญหาใด

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินหลงฝึกใช้กระบองคู่จนเป็นเหมือนแขนและมือของตน

ในที่สุดเฉินหลงก็ใช้ท่าที่เหนือกาลเวลาอย่าง “พี่น้องมังกร” ได้

“สวยงาม” เมื่อได้เห็นที่งดงามนี้ในกระจกแล้ว เฉินหลงอดจะชมตัวเองไม่ได้

เมื่อชมความงามตัวเองแล้ว เฉินหลงก็เข้าห้องเขาไปพักผ่อน

วันต่อมา เฉินหลงใส่ “หน้ากากพันหน้า” เขากลายมาเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีที่มีใบหน้าเด็ดเดี่ยว

จากนั้นเขาก็ออกจากวิลล่าไป

แท็กซี่จอดรับเขาและออกไปยังมหาวิทยาลัยปักกิ่ง

เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง ที่นั้นมีตำรวจหน่วยพิเศษคอยตรวจตราความสงบอยู่ เพราะเฉินหลงมีบัตรเชิญเขาจึงเข้าไปได้ไม่ยาก

พวกพนังฃกงานที่เห็นเฉินหลงมีบัตรเชิญเข้างานชุมนุมแลกเปลี่ยนนี้รีบพาเขาไปยังโรงยิมทันที

ในตอนนั้นมีคนเพียงไม่มากที่นั่งอยู่ในโรงยิม เฉินหลงเห็นซ่งนั่งอยู่แถวขอบสนาม ใบหน้าเขาฉายแววเศร้านิดหน่อย คล้ายกับว่าผิดหวังที่ไม่เห็นเฉินหลงมา แถวๆเขายังมีคนหนุ่มอีกสองสามคนนั่งอยู่

ในมุมหนึ่งมีนักสู้ต่างชาตินั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา

ด้วยความเป็นคนหนึ่งในชนชาติจีนที่เกรียงไกร เฉินหลงจึงเลือกนั่งฝั่งของซ่งเจิ้งโดยธรรมชาติ

หลังจากนั้นไม่นานชายที่ดูเป็นทางการคนหนึ่งก็กล่าวสุนทรพจน์ เขาประกาศให้งานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะเริ่มต้นขึ้น

ในตอนเริ่มแรก มีเด็กจากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ขึ้นมาแสดงการใช้มีด ปืน และกระบอง หลากหลายประเภทบนเวที ตอนที่พวกเขาแสดงถึงช่วงที่เยี่ยมที่สุดก็มีเสียงปรบมือชื่นชมดังขึ้นเป็นพักๆ

แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนของซ่งเจิ้งและนักสู้คนอื่นๆกลับไม่แสดงสีหน้าใด

ในเวลานี้พวกเขาไม่ได้มาการชุมนุมนี้เพื่อดูเด็กจากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้แสดง

สองชั่วโมงต่อมาเมื่อการแสดงของเด็กๆจากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้จบ ปิศาจตัวน้อยก็ขึ้นเวทีมาพร้อมกับมีดในมือ ในตอนเดียวกันนั้น ผู้ช่วยดูแลได้นำเสาสี่ต้นออกมาและตั้งเสาพวกนั้นไว้ห่างจากเฉินหลงไปสามเมตร

ได้เห็นปิศาจอยู่ในสนามเช่นนี้แล้ว ผู้คนเริ่มโห่ไล่

เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เป็นเช่นนั้น เพราะมองจากมุมว่าชาติจีนที่ยิ่งใหญ่นี้กำลังมีเรื่องวิวาทกับประเทศญี่ปุ่น เสียงโห่ไล่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดขึ้น

เมื่อปิศาจน้อยๆพวกนั้นได้ยินเสียงไล่แล้ว ใบหน้าพวกเขาถอดสี

พวกเขาดึงมีดออกมาจากฝัก และโยนฟักลงพื้นอย่างตั้งใจ เขาชูมีดขึ้นที้งสองมือและยื่นไปข้างหน้าอย่างแรง

“ฆ่ามัน”

เสี้ยววินาทีต่อมา เขายืนอยู่และใช้มีดทั้งสี่ตัดเสาพวกนั้นที่วางอยู่รอบตัวอย่างว่องไว

เมื่อตัดเรียบร้อยแล้ว เขาก็ค่อยๆโค้งและหยิบฝักมีดที่โยนลงบนพื้น เขาใส่มีดกลับฝักและเดินออกไปจากสนาม

ได้เห็นพวกเขาใช้มีดแบบนั้นจากขอบสุดของสนาม และมองผู้คนที่ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากโห่ไล่ พวกนี้เรียกง่ายๆว่าทำตัวโง่ๆ

เสาไม้สี่ต้นที่ห่างจากปิศาจจิ๋วไปสามเมตร รวมถึงมีมีดที่ห่างไปอย่างมากที่สุดสองเมตร ในที่แบบนี้เขาทำอะไรไม่ได้เลย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องละเอียดอ่อน ไม่ใช่เรื่องโง่ๆ แต่เป็นเรื่องอภัยไม่ได้

ทว่าสีหน้าของซ่งเจิ้งกลับมีความสง่าอยู่ เขามองปลายสุดของสนาม มองใบหน้าของพวกปิศาจน้อย

เมื่อได้เห็นภาพเบื้องหลัง คนที่ตอนแรกโห่ไล่นั้นกลับเผยความไม่พึงพอใจแล้วพวกเขาก็ปิดปากไป คนที่กล้าจะทำต่อไปตอนนี้ช่างไม่มีความละเอียดอ่อนแต่เป็นคนสามัญเกินกว่าจะเห็น