“ไม่เลวไม่มีปัญหาเรื่องคะแนนเจ้า เจ้าเหมาะสมแล้ว ตอนนี้ข้าจะตรวจสอบคะแนนคนอื่นทีละคน”
ม่อเทียนฉวนกล่าว
คนราวห้าสิบคนเริ่มยื่นตราประจำตัวให้นางทีละคนเพื่อที่นางจะได้ตรวจนับคะแนนสุดท้ายก็มีอยู่ห้าสิบสามคนที่มีคะแนนมากกว่าสี่ล้านคะแนน ส่วนอีกห้าคนมีสี่ล้านคะแนนพอดี ในห้าคนนั้นมีซือหยู ปิงหวูชิงและกงซุนหวูซื่ออยู่ด้วย
เทียนหยูกับคนอื่นๆ แสยะยิ้มเมื่อเห็นผล มีเพียงห้าสิบตำแหน่ง คนส่วนเกินย่อมเสียโอกาสไป
ศิษย์พี่ถังสีหน้าดีขึ้นเขายิ้มให้ซือหยูอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าที่เขาเพิ่งพูดจะเป็นเรื่องจริง…คือซือหยูต้องรอไปอีกร้อยปี
ศิษย์พี่หลิวหัวเราะเบาๆ “ศิษย์น้องเจ้ายังคงมีคะแนนไม่พออยู่ดี เจ้าต้องไปยืมมาจากผู้หญิงนะ!”
ซือหยูขมวดคิ้วยากพออยู่แล้วที่จะเก็บสี่ล้านคะแนนในเวลาไม่ถึงปี และเขาก็ไม่คิดว่ามันจะยังไม่พอ
แม้แต่ปิงหวูชิงกับกงซุนหวูซือเองก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้
“ในคราวก่อนมีคนไม่ถึงสี่สิบคนที่เก็บสี่ล้านคะแนนได้ ทำไมปีนี้ถึงมีคนเพิ่มขึ้นมาหลายคนเล่า?”
พวกนางแปลกใจ
จำนวนคะแนนที่ตำหนักออกให้ได้ในแต่ละปีนั้นมีปริมาณจำกัดดังนั้นจำนวนศิษย์ในที่มีสี่ล้านคะแนนอยู่ในมือจึงไม่ควรจะมีมากกว่าสี่สิบคน
คำอธิบายเดียวก็คือมีคนซื้อคะแนนมาด้วยสิ่งอื่นเพื่อรวบรวมคะแนนในระยะเวลาอันสั้นและก็ต้องมีอย่างน้อยสิบคนที่ใช้วิธีเดียวกันนี้ด้วย ซือหยูกับคนอื่น ๆ จึงถูกคัดออกมา
คงเป็นเพราะเรื่องความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในดินแดนพรสวรรค์เมื่อเร็วๆ นี้ที่ทำให้หลาย ๆ คนร้อนใจ พวกเขาใช้ทุกวิถีทางในการหาคะแนนให้มากพอเพื่อไปยังแดนมณีก่อนที่อันตรายร้ายแรงจะมาถึง จนสุดท้าย ซือหยูที่คิดว่าเขามีสิทธิ์ไปแดนมณีได้ถูกคัดออก
ม่อเทียนฉวนมองซือหยูด้วยความพอใจคงจะดีกว่าถ้าให้เขาอยู่ในที่ที่นางมองเห็นเขาได้อย่างตำหนักโลหิตแทนที่จะให้เขาไปแดนมณี นางจะได้ใช้โอกาสที่ปิงหวูชิงไม่อยู่ค้นวิญญาณของเขาอีกครั้ง นางเชื่อว่านางจะได้เห็นความลับมากมายของเขา
“ดีล่ะทุกคนเห็นผลแล้ว ห้าสิบลำดับแรกเตรียมตัวให้ดี พวกเราจะมุ่งหน้าไปตำหนักเมฆาม่วง”
ม่อเทียนฉวนกล่าว
ครั้งนี้งานชุมนุมเฟิงหยุนถูกจัดโดยตำหนักเมฆาม่วง เทียนหยูยิ้มบางๆ ให้ซือหยู นางคิดแล้วว่าเขาไม่มีโอกาสไปที่แดนมณีอีกแล้ว
“ช้าก่อน!”
ซือหยูพูด
ม่อเทียนฉวนหันมองซือหยูด้วยแววตาซุกซนราวกับแมวที่เล่นกับหนู
“มีเรื่องอันใดหรือ?”
“เจ้าตำหนักม่อข้าอยากรู้ว่าการคัดเลือกไปแดนมณีกี่ครั้ง?”
ซือหยูถาม
“สอง”
ม่อเทียนฉวนตอบอย่างใจเย็น
“เงื่อนไขสี่ล้านคะแนนของตำหนักคือการคัดเลือกแรกงานชุมนุมเฟิงหยุนคือการคัดเลือกที่สอง มีแค่คนที่ผ่านการคัดเลือกสองครั้งเท่านั้นที่ตำหนักโลหิตจะแนะนำให้ไปแดนมณี”
“เจ้าตำหนักม่อมั่นใจรึว่าคนที่พาไปจะผ่านการคัดเลือกที่สองได้?”
ซือหยูถามยอดฝีมือมากมายต้องไปอยู่ในงานชุมนุมเฟิงหยุนอย่างแน่นอน แม้แต่ม่อเทียนฉวนเองก็ยืนยันไม่ได้ว่าทั้งห้าสิบคนที่นางพาไปจะอยู่ในร้อยอันดับแรกได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนว่าม่อเทียนฉวนจะคิดอยู่แล้วว่าซือหยูจะพูดแบบนี้ แววตาซุกซนแสดงออกมา แต่ใบหน้านางยังคงแข็งกร้าว
“เจ้าไม่ต้องถามข้าหรอกแน่นอนว่าจะมีหลายคนที่ไม่ได้เป็นร้อยอันดับแรก พวกเราวางแผนไว้แล้ว พวกคนที่มาเติมเต็มจะเป็นสำนักในฝ่ายเรา”
นางตอบ
ถ้าหากตำหนักโลหิตใช้สิทธิ์ทั้งหมดเองและไม่ทิ้งที่ว่างให้สำนักทั้งแปดที่อยู่ในฝ่ายเดียวกันเลยพวกเขาจะต้องร้องเรียนเป็นแน่ พวกเขาจึงทิ้งสิทธิ์เล็กน้อยให้กับสำนักอื่นตามธรรมเนียม
ปิงหวูชิงกับคนที่เหลือขมวดคิ้วสิ่งที่พวกนางทำมาจะสูญเปล่ารึ? “ถ้าเจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็ถอยไปซะกลับไปบ่มเพาะพลังให้ดี ถ้าพวกเจ้ายังคงเป็นศิษย์ตำหนักโลหิตในอีกร้อยปีข้างหน้า พวกเจ้าก็อาจจะมีโอกาสอีกครั้ง”
ม่อเทียนฉวนพูดนางรู้สึกสบายใจมากที่ทำให้ซือหยูได้ลำบาก
แต่ซือหยูก็ยังคงถามอย่างใจเย็นต่อไป
“เจ้าตำหนักม่อคิดจริงๆ รึว่าจะมีแค่ไม่กี่คนจากห้าสิบที่ไม่ผ่าน?”
ผู้ถูกเลือกทั้งห้าสิบคนไม่พอใจซือหยูบอกว่าพวกเขาอ่อนแอเกินไปงั้นรึ?
ม่อเทียนฉวนตากระตุก
“หืม?เจ้าคิดอ่านอย่างไร?”
“ข้าไม่ได้มีความเห็นแต่เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น”
ซือหยูตอบ
“เร็วๆ นี้ ดินแดนพรสวรรค์ปั่นป่วน แม้แต่ศิษย์ตำหนักในยังต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อเก็บสะสมคะแนนไปแดนมณี แล้วคนตำหนักเมฆาม่วงจะไม่คิดแบบเดียวกันหรือ? ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนที่เมืองเทียนหยาจะไม่คิดแบบเดียวกันหรือ? แล้วสำนักในฝ่ายเดียวกับเราจะไม่คิดแบบเดียวกันหรือ? เจ้าตำหนักม่อ หากคิดอ่านเช่นในอดีต ข้ารับรองเลยว่าจะไม่ใช่แค่ไม่กี่คนที่ไม่ผ่านร้อยอันดับแรก”
สีหน้าของม่อเทียนฉวนและยอดฝีมือคนอื่นที่ไม่ได้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจังเริ่มตึงเครียดแดนมณีในครั้งนี้เปิดในช่วงเวลาอ่อนไหว สงครามครั้งใหญ่ระหว่างมนุษย์กับภูติผีเกิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน และผู้คนก็ยังมีความกลัวหลงเหลืออยู่
ดินแดนพรสวรรค์ช่วงนี้ยังเกิดเรื่องราวมากมายทุกคนที่สายลมเฉียบแหลมย่อมตระหนักถึงอันตรายที่กำลังมาถึง พวกเขาจำต้องเตรียมการ
การต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์ไปแดนมณีนั้นเข้มข้นกว่าที่เคยเป็นในอดีตเมื่อก่อน มีไม่ถึงสี่สิบคนที่สะสมสี่ล้านคะแนนได้ แต่ตอนนี้กลับมีราวหกสิบ ดูจากเรื่องนี้อย่างเดียวก็บอกได้ว่าหากพวกเขาไม่วางแผน พวกเขาก็คงจะเสียหายอย่างหนัก
ม่อเทียนฉวนหรี่ตาจ้องซือหยู
“แล้วเจ้ามีความคิดดีๆ ยังไงกัน?”
นางมักจะพาคนไปแค่ห้าสิบคนเสมอเพราะถ้าหากนางพาไปมากกว่านี้ ตำหนักโลหิตจะถูกสงสัยว่าอยากจะใช้สิทธิ์ทั้งหมดกับตำหนัก นั่นจะทำให้เกิดปัญหาภายในได้ง่าย
“ข้าไม่มีความคิดดีๆ แต่ข้าก็คิดว่าท่านควรหาแผนสำรอง”
ซือหยูพูดด้วยใบหน้าจริงจัง
“แม้พวกเราที่มีสี่ล้านคะแนนจะไม่ได้เป็นห้าสิบลำดับแรกพวกเราก็ยังเป็นตัวสำรองได้ ถ้าหากศิษย์พี่คนหนึ่งปวดหัวหรือป่วยไข้ พวกเราก็จะแทนที่ได้”
สำรองรึ?ม่อเทียนฉวนเพิ่งคิดได้ ถึงวิธีนี้จะไร้ยางอาย มันก็ยังได้ผล ซือหยูกำลังบอกว่าหากในห้าสิบคนนี้มีผู้ที่กำลังจะแพ้ในงานชุมนุมเฟิงหยุน เขาก็เพียงแค่อ้างความเจ็บป่วยและถอนหัว จากนั้นจึงเอาตัวสำรองมาแทนที่
กฎของงานชุมนุมเฟิงหยุนไม่ได้อนุญาตให้เปลี่ยนผู้ประลองในจังหวะสุดท้ายแต่พวกเขาก็ไม่มีกฎที่ห้ามเอาไว้เช่นกัน
สีหน้าของศิษย์คนอื่นๆ หม่นหมองไป งานชุมนุมเฟิงหยุนเป็นงานชุมนุมครั้งใหญ่ของดินแดนพรสวรรค์ มันเป็นงานที่มีเกียรติ ถ้าหากพวกเขาจะแพ้หรือชนะก็ย่อมเป็นไปตามนั้น ถ้าพวกเขาทำเรื่องอย่างเปลี่ยนตัว ชื่อเสียงของตำหนักโลหิตย่อมด่างพร้อย novel-lucky
“ท่านเจ้าตำหนักข้าไม่เห็นด้วย ตำหนักโลหิตมีเกียรติยศเหนือสำนักอื่นในฝ่ายเรา หากเราทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ไป พวกเราจะยังมีที่ยืนอยู่ในดินแดนพรสวรรค์อีกหรือ?”
ศิษย์พี่หลิวเป็นคนต่อต้านคนแรก
ซือหยูไม่แม้แต่เหลือบมองเขาเขาพูดอย่างใจเย็น
“เกียรติยศรึ?สิ่งที่ทุกสำนักท้าทายเราไม่ได้ก็เพราะพลังเพียงอย่างเดียว ถ้าศิษย์ที่ยอดเยี่ยมในตำหนักเราพลาดโอกาสเช่นนี้ไป กำลังโดยรวมของพวกเราก็ย่อมลดลง สำนักอื่นในฝ่ายเดียวกันจะไม่ฟังคำสั่งอีก ศิษย์พี่กำลังลืมพื้นฐานไปแล้ว”
เกียรติยศของสำนักหนึ่งมิได้ตัดสินด้วยคุณธรรมและสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือพลัง ถ้าหากไม่มีพลังบดขยี้สำนักอื่น ใครกันจะยอมโอนอ่อนต่อตำหนักโลหิตและตำหนักเมฆาม่วง?
ศิษย์พี่หลิวมองซือหยูด้วยความเหยียดหยามเขากำลังคิดว่าซือหยูไม่เข้าใจอะไรเลย เขาจึงประสานหมัดให้ม่อเทียนฉวน
“ท่านเจ้าตำหนักโปรดอย่าเชื่อใจซือหยูเซี่ยนอย่าทำให้ชื่อเสียงของตำหนักโลหิตเราต้องมลทิน”
ม่อเทียนฉวนเพียงแค่จ้องซือหยูและยิ้มอ่อนๆ
“ข้าคิดว่าเขาแนะนำได้มีเหตุผล” นี่คือนิสัยของม่อเทียนฉวนนางมักจะทำสิ่งที่นางต้องการโดยไม่กังวลกฎระเบียบ สิ่งที่นางทำมักจะทำให้ผู้คนแปลกใจอยู่เสมอ นางค่อนข้างที่จะชอบคำแนะนำจากซือหยู ชื่อเสียงถือเป็นเรื่องเล็กน้อยหากมาเทียบกับการทำตำหนักในแข็งแกร่งขึ้น
“เจ้าคิดอ่านได้ดีข้าชอบ”
ม่อเทียนฉวนพูดด้วยรอยยิ้มสีหน้านางน่าจดจำอย่างมาก
“ยินดีด้วย!ข้าจะทำตามเจ้า แต่ขอเปลี่ยนแปลงสักเล็กน้อย ถึงพวกเจ้าจะเป็นตัวสำรอง ข้าก็จะบอกว่าพวกเจ้าเป็นแค่ข้ารับใช้ของข้า เจ้าก็ด้วย…ซือหยูเซี่ยน”
ซือหยูหัวใจเต้นแรงเมื่อมองสายตาม่อเทียนฉวนเขารู้สึกไม่ดีเลย ข้ารับใช้รึ? นังนั่นวางแผนอะไรอยู่?
“หึหึตกลงตามนี้ พวกเจ้าห้าสิบคนถือเป็นผู้เข้าร่วมอย่างเป็นทางการ ที่เหลืออีกสิบคนจะเป็นตัวสำรองที่อยู่กับข้า” ม่อเทียนฉวนประกาศ
“ออกเดินทางได้”
ม่อเทียนฉวนเงยหน้ากระชากมิติเกิดรอยแยกดำสนิท
“รีบเข้าไปมันจะเคลื่อนย้ายพวกเจ้าไปได้สิบล้านลี้”
ม่อเทียนฉวนยังคงยื่นมือค้างไว้เพื่อทำให้มิติไม่ปิดตัว
ซือหยูมองรอยแยกด้วยความตกใจ
“อุโมงค์มิติ!”
เขาไม่ใช่คนเดียวที่ตกใจอุโมงค์มิติคืออุโมงค์ที่เชื่อมต่อพื้นที่สองจุดไว้ด้วยกัน มันมักจะทำด้วยวิธีพิเศษจากปรมาจารย์ค่ายกลที่ช่วยเชื่อมต่อตำแหน่งทั้งสองเข้าด้วยกันและสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายขึ้นมา
แต่ม่อเทียนฉวนเพียงแค่ใช้มือข้างเดียวและพลังของนางสร้างอุโมงค์มิติอย่างง่ายดายนี่คือสิ่งที่ยอดฝีมือขอบเขตเซียนทำได้เท่านั้น ถึงม่อเทียนฉวนจะยังไม่เป็นเซียนวิชาของนางก็เทียบได้กับเซียน นางจึงคู่ควรแก่การยอมรับว่าเป็นอสูรเนรมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากเซียน ซือหยูตระหนักได้ถึงพลังมหาศาลของนางอีกครั้ง
กลุ่มคนไม่กล้าลังเลพวกเขาเข้าไปในรอยแยกอย่างกังวลใจ
ซือหยูก็อยากจะเข้าไปแต่เขาก็ได้ยินเสียงของม่อเทียนฉวน
“ซือหยูเซี่ยนเจ้ารอเป็นคนสุดท้าย”
ซือหยูใจเต้นแรงเมื่อหันไปมองก็พบแววตาซุกซนของม่อเทียนฉวน เขาลังเลก่อนจะตัดสินใจอยู่ต่อ
ปิงหวูชิงจากเขาอสูรมองม่อเทียนฉวนด้วยความแปลกใจนางรับรู้ว่าม่อเทียนฉวนเล็งซือหยูเพื่อเหตุผลใดสักอย่าง
“พวกเจ้าเข้าไปก่อนไม่นานข้าจะตามไป”
ซือหยูพูด ปิงหวูชิงคิดครู่หนึ่งด้วยนิสัยของม่อเทียนฉวน ถ้าหากนางคิดร้ายต่อซือหยู นางก็คงจะไม่แอบทำ
“ก็ได้”
ปิงหวูชิงพยักหน้าและก้าวเข้าไปในรอยแยกมิติกับกงซุนหวูซื่อไม่นานก็เหลือเพียงซือหยูกับม่อเทียนฉวนเพียงสองคน
ม่อเทียนฉวนโบกมือรอยแยกมิติปิดตัวลงช้า ๆ นางสะบัดแขนเพื่อผนึกพื้นที่โดยรอบเอาไว้ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นที่นี่ก็ไม่มีใครได้ล่วงรู้อีกแล้ว
“เหลือแค่เจ้ากับข้าแล้วซือหยูเซี่ยน”
ม่อเทียนฉวนลุกขึ้นช้าๆ
ซือหยูไม่เห็นสิ่งที่นางทำแต่เขาเห็นร่างทมิฬแล่นผ่านมาข้างหน้า ม่อเทียนฉวนเคลื่อนย้ายตัวมาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว แววตาผสานแววตาอย่างใกล้ชิด
ซือหยูมองใบหน้าสง่างามอันเย็นชาของนางนางมีผิวเรียบเนียนและกลิ่นหอมหวานก็ฟุ้งกระจายออกมาจากร่าง แต่แม้จะได้ใกล้กับนางเช่นนี้ ซือหยูก็มิได้ยินดีแม้แต่น้อย
ม่อเทียนฉวนยื่นดัชนีเชยคางของซือหยูขึ้นมานางยิ้ม
“เจ้าคิดว่าข้าเหลือเจ้าไว้ทำไม?”
สีหน้าของซือหยูสุขุมเยือกเย็นเมื่อไม่มีใครอยู่ที่นี่ เขาไม่ต้องแสดงอีกแล้ว เขาพูดอย่าใจเย็น
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรมันก็ไม่ใช่การอยู่แสดงความรักกับคนอย่างข้าหรอก”