ซือหยูหัวใจเต้นแรงเมื่อมองใบหน้างดงามของนางคงไม่มีบุรุษคนใดในโลกที่ไม่ปรารถนาสตรีอย่างม่อเทียนฉวน นางยิ่งดูน่าดึงดูดเมื่อพูดแบบเมื่อครู่ มันขัดกับความเยือกเย็นราวน้ำแข็งของนาง
ซือหยูสีหน้าประหลาดไปครู่เดียวก่อนจะคืนความสุขุมกลับมาเขามองแววตาม่อเทียนฉวนอย่างใจเย็น
ม่อเทียนฉวนขมวดคิ้วและพูดด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าจะไม่ยอมปล่อยให้ข้าได้เล่นสนุกสักครั้งเลยหรือ?”
นางรู้สึกอยู่เสมอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอซือหยูเซี่ยนจนถึงตอนนี้ว่ามิอาจควบคุมเขาได้ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่นางชอบเลย
ซือหยูใบหน้าไร้อารมณ์
“เจ้าตำหนักม่อ” “ถ้าท่านมีอะไรจะพูดก็พูดมาถ้าคนพวกนั้นรอนานไปกว่านี้ พวกเขาย่อมสงสัย”
ม่อเทียนฉวนดึงดัชนีที่เชยคางซือหยูออกและถอนหายใจแรง
“เจ้าใกล้ชิดกับปิงหวูชิงเช่นนี้ข้าจะแตะต้องเจ้าได้อย่างไร? ข้าขอให้เจ้าอยู่ก็เพื่อจะเตือนเจ้า”
ซือหยูเงี่ยหู
“เตือนเรอะ?เรื่องอะไรก็บอกข้ามา”
ม่อเทียนฉวนนำมือไพล่หลังและมองซือหยู
“ข้าได้ยินว่าปิงหวูชิงจากเขาอสูรยอมรับเจ้าอย่างเปิดเผยและแม่นางก็กำลังจะมาหมั้นอย่างเป็นทางการ ใช่หรือไม่?”
ม่อเทียนฉวนเพิ่งจะกลับตำหนักโลหิตและนางก็สนใจในเรื่องนี้
ซือหยูตอบกลับ
“ถึงมันจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดแต่เรื่องก็เป็นอย่างที่ท่านว่า” ม่อเทียนฉวนพูด
“ถ้าอย่างนั้นแล้วปิงหวูชิงศิษย์ข้าก็อยากจะเสนอตัวกับเจ้าสินะ?”
ซือหยูส่ายหน้าอย่างหนักแน่น
“ไม่นางก็แค่อยากจะขวางทางปิงหวูชิงอีกคน”
ใบหน้าม่อเทียนฉวนดูโล่งใจ
“ถ้าเจ้าสงบอยู่ได้แม้จะเผชิญหน้ากับสาวงามอย่างปิวหูชิงข้าก็ต้องนับถือเจ้ายิ่งกว่าเดิม ปิงหวูชิงศิษย์ข้าจะไม่รักใคร นางไร้หัวใจดั่งนามของนาง ถึงนางจะดูมีความรู้สึก นางก็คือคนที่ไร้หัวใจที่สุดคนหนึ่ง”
ม่อเทียนฉวนพูดช้าๆ
ซือหยูพยักหน้า
“เจ้าตำหนักม่อท่านให้ข้าอยู่ที่นี่เพียงเพราะเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของข้ารึ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นข้าไม่สนว่าเจ้าจะแต่งงานกับใคร แต่ข้าต้องเตือนให้เจ้าห่างจากสองคนนั้นไว้ เจ้าจะต้องไม่แตะต้องใครสักคน” ม่อเทียนฉวนพูดอย่างจริงจังคำพูดนางดูไม่ตลกเลย
ซือหยูคิดก่อนจะพูด
“ท่านเจ้าตำหนักโปรดอธิบายให้ชัด”
ม่อเทียนฉวนมองซือหยูอย่างไม่ไว้ใจ
“ก็ได้ข้าจะบอกให้ชัด และเจ้าก็ควรจะฟังคำเตือนข้าให้ดี เจ้าไม่ควรจะไปยุ่งกับการต่อสู้ของพวกนางสองคน ไม่ว่าสุดท้ายใครจะได้เป็นคู่หมั้นเจ้าก็ไม่ดีทั้งนั้น รังแต่จะมีภัยมาหาเจ้า”
ม่อเทียนฉวนหยุดพูดและไม่เปิดเผยเรื่องอื่นอีกนางคงจะรู้ความลับที่เปิดเผยกับคนอื่นไม่ได้ นางสร้างรอยแยกมิติด้วยมือเดียวอีกครั้ง
“ไปกันเถอะ”
ซือหยูยังคิดถึงสิ่งที่ม่อเทียนฉวนเพิ่งจะกล่าวแต่เขาก็ไม่ได้จริงจังนักเพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เขาจะได้เป็นคู่หมั้นของปิงหวูชิงจริง ๆ ม่อเทียนฉวนจับไหล่ซือหยูก้าวเข้าไปยังรอยแยกมิติรอบตัวหมุนวน กว่าสิ่งรอบข้างจะกลับมาชัดเจนอีกครั้งพวกเขาก็อยู่ในทุ่งหญ้าว่างเปล่าแล้ว ปิงหวูชิงกับคนที่เหลือก็อยู่ที่นี่ด้วย
ฟึ่บ!
เมื่อซือหยูกับม่อเทียนฉวนก้าวออกมาศิษย์หลายคนเข้ามาล้อมทันที
ม่อเทียนฉวนกล่าว
“เราจะเคลื่อนย้ายกันอีกสิบรอบพวกเจ้าทุกคนต้องพักครึ่งชั่วยามในทุกการเคลื่อนย้าย”
การเคลื่อนย้ายมิตินั้นส่งผลต่อจิตใจอย่างมากพวกเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้าในทุกการเคลื่อนย้าย
ม่อเทียนฉวนปล่อยซือหยูและตบไหล่เขาเบาๆ สื่อว่าให้เขาจดจำสิ่งที่นางพูดเอาไว้
ซือหยูลังเลก่อนจะเปิดปาก
“ขอบคุณ” ไม่ว่าจะอย่างไรม่อเทียนฉวนในตอนนี้ก็อยากจะปกป้องเขา นางไม่ได้ก่อเรื่องอย่างที่เขาคิด นางกลับเตือนให้เขาออกห่างจากการต่อสู้ของพี่น้องปิงหวูชิง
ซือหยูมองทั้งสองจากระยะไกลและสงสัยไม่ได้พวกนางมีความสัมพันธ์แบบใดกัน? เป็นพี่น้องฝาแฝดหรือ?
“นางทำอะไรกับเจ้า?”
ปิงหวูชิงจากเขาอสูรเดินเข้ามาถามเขา
ซือหยูยิ้มบางๆ
“นางไม่ได้ทำอะไรขอบคุณที่เป็นห่วง”
ปิงหวูชิงถอนหายใจแรงและละสายตา
“ใครเป็นห่วงเจ้า?”
“หึหึพี่หวูชิง ถ้าไม่เป็นห่วงเขา ข้าก็คงเป็นห่วงเขาเกินไปแล้วล่ะ”
กงซุนหวูซื่อโผล่หน้ามา
“ถ้าพี่หวูชิงไม่สนใจคำขอบคุณของพี่หยูเซี่ยนทำไมพี่หยูเซี่ยนไม่ขอบคุณข้าบ้างล่ะ?พี่จะขอบคุณนางแบบไหนหรือ? จะจูบด้วยความรักใช่ไหม? หรือว่าแค่หอมแก้ม หรือจูบนาน ๆ? จะใช้ลิ้น ทำแบบปกติ หรือจะลองทุกอย่างเลยล่ะ?”
กงซุนหวูซื่อลืมตากว้างด้วยความคาดหวัง
ปิงหวูชิงที่อยู่ถัดจากทั้งสองหรี่ตาและพูดเสียงทุ้มต่ำ
“ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ!”
นางรำคาญใจมากกงซุนหวูซื่อพูดจาเจ้าชู้กับคู่หมั้นนางต่อหน้าทุกคน นางไม่รู้จักเกรงใจกันเลยหรือ?
“หึพี่หวูชิง ถึงจะไม่ต้องการ แต่ก็ไม่อยากจะให้คนอื่นได้ด้วยสินะ”
กงซุนหวูซื่อหรี่ตามองปิงหวูชิง novel-lucky
เมื่อทั้งสองมองหน้ากันก็เกิดสายฟ้าปะทุกันที่ตรงกลางระหว่างสายตา
ซือหยูไม่มีทางเลือก
“พวกเจ้าใช้เวลาให้คุ้มค่าเถอะการเคลื่อนย้ายระยะไกลต้องใช้พลังดวงวิญญาณพวกเจ้าอีกเยอะ”
เขาพูด
ปิงหวูชิงเหลือบมองกงซุนหวูซื่อก่อนจะหลับตาช้าๆ นางเริ่มพักผ่อน
กงซุนหวูซื่อทำแก้มป่องและไปพักใกล้ๆ ซือหยู
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามทุกคนฟื้นพลังพอแล้ว
ม่อเทียนฉวนสร้างรอยแยกมิติด้วยมือเดียวอีกครั้งพวกเขาเคลื่อนย้ายกันออกไป มันเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง และเมื่อผ่านไปห้าชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงภูเขาที่โอบล้อมไปด้วยหมู่เมฆา ภูเขานี้สูงสองลี้ ยอดเขานั้นใหญ่มหึมา
หากมองจากที่ไกลๆ จะดูเหมือนเสาสวรรค์ที่ค้ำจุนท้องฟ้า มันเป็นภาพอันตระการตา!
หมอกสีม่วงเคลื่อนคล้อยที่ชั้นบนของยอดเขาตำหนักมากมายและกลุ่มคนแฝงอยู่ภายใน ที่นี่เหมือนกับสวรรค์ของคนทั่วไป
“ยอดเขาสูงสองลี้นี้คือที่ตั้งตำหนักเมฆาม่วงข้ารับใช้อย่างพวกเจ้าต้องตามข้ามา”
ม่อเทียนฉวนกล่าว
ซือหยูกับอีกเก้าคนตามม่อเทียนฉวนไปราวกับข้ารับใช้
ซือหยูเรียกหน้ากากที่กิเลนน้อยสร้างให้มาสวม
ม่อเทียนฉวนเห็นว่าเขาทำอะไรและเลิกคิ้วนางตรวจดูวัตถุดิบของหน้ากากและก็ต้องตกใจที่พบว่าสายตานางมิอาจมองทะลุเห็นใบหน้าด้านหลังได้
ม่อเทียนฉวนอ้าปากจะพูดแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรซือหยูมีฐานะที่สำคัญ นามอาจารย์ซือดังก้องไปทั่วดินแดนพรสวรรค์แล้ว คนทุกประเภทมารวมตัวกันในงานชุมนุมเฟิงหยุน เป็นการดีที่เขาจะปกปิดตัวตนในตอนนี้
เมื่อพวกเขาไปถึงม่อเทียนฉวนสั่งให้พวกเขาพัก หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม มีสิบคนออกมาจากยอดเขาที่เต็มไปด้วยหมอกมาที่ระดับของพวกเขา
ซือหยูเคยเจอหนึ่งในสิบคนนี้มาก่อนเขาคือนักบวชไร้เส้นผมที่รู้ภาษาไม้และอยู่ที่พิธีเซ่นป่าปีศาจร้าง
ดูเหมือนว่าพวกเขาทุกคนจะเป็นผู้เฒ่าตำหนักเมฆาม่วงเมื่อซือหยูตรวจดูพลังของแต่ละคนก็แปลกใจในสิ่งที่เห็น
ในบรรดาสิบคนนี้ห้าคนเป็นจ้าวเทวะระดับเก้า ตำหนักโลหิตไม่มีผู้เฒ่าคนใดที่มีพลังมากเช่นนี้นอกจากเจ้าสำนักซ้ายขวาและเจ้าตำหนักนอก ดูจากพลังของผู้เฒ่า ตำหนักเมฆาม่วงก็น่าจะมีกำลังเหนือกว่าตำหนักโลหิต
“บุรุษเมฆาม่วงอยู่ที่ไหน?”
ม่อเทียนฉวนถาม
ผู้เฒ่าสตรีที่มีรอยสักที่ลำคอตอบด้วยความนับถือ
“ท่านเจ้าตำหนักม่อท่านผู้นั้นรอมานานแล้ว พวกเราเพียงทำตามคำสั่งมาต้อนรับท่าน”
ม่อเทียนฉวนถอนหายใจแรง
“ร้อยปีผ่านไปแล้วตั้งแต่ที่ข้าเจอตาแก่นั่นข้าอยากจะรู้ว่าเขาได้เป็นเซียนหรือยัง ข้าแทบจะไม่ได้มาที่นี่ และข้าจะต้องประมือกับเขาให้ได้”
เมื่อนางพูดนางก็ฉีกมิติด้วยมือข้างเดียวและหายตัวไป
เสียงของนางยังคงอยู่
“พวกเจ้าช่วยจัดการศิษย์กับข้ารับใช้ข้าเสียถ้าคนของข้าเส้นผมหายไปสักเส้น ข้าจะไปหาเจ้าด้วยตัวเอง”
เหล่าผู้เฒ่าที่มาต้อนรับเหลือบมองกันคนประเภทใดกันที่ทิ้งศิษย์ตัวเองแล้วไปประมือกับเจ้าสำนักอื่น?
เหล่ายอดฝีมือตำหนักโลหิตคำรามในใจใบหน้าพวกเขาดูอับอาย
คนตำหนักเมฆาม่วงจัดแจงพื้นที่ให้พวกเขาซือหยูกับคนอื่น ๆ ไปยังยอดเขาที่สาม ยอดเขานี้ชื่อว่ายอดเขาสุริยาม่วง มันคือที่รับแขกของเมฆาม่วง
เมื่อพวกเขาาถึงก็พบยอดฝีมือจากดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบหกสำนักเขาพบจ้าวเทวะระดับห้าหลายคน จ้าวเทวะระดับหกเองก็ไม่ได้หายาก มีจ้าวเทวะระดับแปดอยู่ด้วยอีกจำนวนหนึ่ง
แล้วก็ยังมีรังสีพลังของจ้าวเทวะระดับเก้าแฝงอยู่ซือหยูเห็นได้ด้วยเนตรวิญญาณ
เขาเริ่มระแวงเพราะสัมผัสได้ว่าพลังจ้าวเทวะระดับเก้านี้ไม่ได้เป็นของตำหนักโลหิตและตำหนักเมฆาม่วง
“ดินแดนพรสวรรค์มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่มากนักมีสำนักอื่นนอกจากสองสำนักใหญ่ที่บ่มเพาะศิษย์จนเป็นจ้าวเทวะระดับเก้าได้”
ซือหยูแปลกใจเขาสงสัยว่าสำนักใดที่บ่มเพาะคนได้ถึงระดับนี้