ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 22 ไม่นะ อาวุธเซียนของสำนักต้องเสร็จแน่!

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 22 ไม่นะ อาวุธเซียนของสำนักต้องเสร็จแน่! โดย Ink Stone_Fantasy

          “…ศิษย์น้อง เมื่อคืนเจ้าได้หลับไหม”

          “ศิษย์พี่ แล้วท่านล่ะ”

          “เหอะ ใครจะข่มตานอนได้”

          ภายในหอชมพูบนยอดเขาสระวิญญาณที่เขากระบี่วิญญาณ ศิษย์จากสำนักเซียนหมื่นเวททต่างก็นอนไม่หลับกันทั้งคืน พวกเขาเอาแต่ถอนหายใจจนรุ่งอรุณมาเยือน

          ด้วยสมรรถภาพร่างกายที่แข็งแรงของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ต่อให้ไม่ได้นอนติดกันสามคืนก็ไม่มีปัญหาอะไร ทว่าเมื่อคืนจิตใจของพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นตลอดทั้งคืน จนทำให้แต่ละคนเหนื่อยอ่อนเป็นอย่างมาก

          การพ่ายแพ้ที่งานเลี้ยงรับรองไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับสำนักเซียนหมื่นเวท ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาไม่อาจหยุดคิดได้คือผลสรุปหลังจากจบการแข่งขัน

          ตามธรรมเนียมปฏิบัติของสำนักเซียนหมื่นเวท หลังจากจบการแข่งขันหรือการประลอง ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ พวกเขาจะสรุปและวิเคราะห์ความสำเร็จและความล้มเหลว ครั้งนี้พวกเขาลงแข่งด้วยความฮึกเหิมมั่นใจ แต่กลับแพ้ย่อยยับ ดังนั้นจึงงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาต้องวิเคราะห์การแข่งขันทั้งหมดอย่างละเอียดรอบคอบ

          ภายใต้การควบคุมของหยวนฉาวเหนียนและผู้อาวุโสอีกสองคน จ้านจื่อเย่และศิษย์อีกสี่คนก็ดำเนินการวิเคราะห์ของพวกเขา ทว่าผลสรุปนั้นช่างน่าผิดหวัง… ศิษย์หลายคนต่างงุนงงจนไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา

          เห็นได้ชัดว่าสำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้ใช้กลโกงเพื่อชนะการแข่งขัน สิ่งต่างๆ ที่ใช้ในการแข่งถูกวางไว้บนโต๊ะ ไม่มีการเล่นตุกติกกันแต่อย่างใด หนำซ้ำกฎการแข่งขันโดยรวมเอื้อประโยชน์ให้ฝั่งสำนักเซียนหมื่นเวท แม้หวังลู่จะใช้เล่ห์กลไม่น้อยตอนอยู่บนโต๊ะ ทว่า…สำหรับสำนักเซียนหมื่นเวทที่ภูมิอกภูมิใจในสติปัญญาของตน การถูกอีกฝ่ายหยอกล้อด้วยสติปัญญาถือเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียเกียรติมาก เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีไร้ยางอายในเหตุการณ์อาหารตีกลับครั้งสุดท้าย ทว่าเมื่อเทียบกับความหน้าหนาของหวังลู่แล้ว คนดูกลับหัวเราะขำให้การ ‘ขย้อน’ ของอีกคนฝ่ายมากกว่า ซึ่งนับเป็นจุดด่างพร้อยตลอดชีวิต หลังจบการแข่งขันเจ้าเจียงยวันนั้นรู้สึกอับอายมากกว่าโกรธจนถึงขั้นที่ว่าอยากจะฆ่าตัวตายให้พ้นๆ!

          ความจริงแล้วเรื่องเดียวที่น่าสงสัยที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้คือโชคลาภขนาดใหญ่ที่หวังลู่ได้รับจากการเสี่ยงโชคสิบเอ็ดครั้งติด ทว่าหลังจากที่หยวนฉาวเหนียนอธิบายให้ลูกศิษย์ฟัง หลายคนก็ไม่มีทางเลือกนอกจากได้แต่ยอมรับ

          “สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนสวรรค์ประทาน โชคลาภนั้นไม่มีทางจะหลบหลีกไปไหน เมื่อผู้บำเพ็ญเซียนถูกเติมแต่งด้วยพลังอำนาจของสวรรค์ ด้วยวิชาเฉพาะอย่าง เขาหรือเธอจะสามารถควบรวมพลังอำนาจของสวรรค์ออกมาในรูปของโชคลาภได้ในระยะสั้นๆ สำนักเราก็มีวิชาที่คล้ายๆ ที่ว่านี้ ทว่าข้าไม่แนะนำให้พวกเจ้าเรียน เพราะด้านหนึ่งสำนักของเราไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพลังอำนาจของสวรรค์ อีกด้านหนึ่งคือผลที่ได้จากการควบรวมพลังอำนาจของสวรรค์ให้เป็นโชคลาภก็ต่ำมาก แม้ทั้งร่างของเจ้าจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจของสวรรค์จากคนนับหมื่น มันก็ใช้ได้กับการแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ ที่เจ้าสามารถสร้างปาฏิหาริย์ในการเสี่ยงโชคได้ก็เท่านั้น”

          เมื่อได้รู้ว่าหวังลู่มีโชควาสนาจากพลังอำนาจขอสวรรค์และเขาใช้พลังอำนาจของสวรรค์ที่มีเปลี่ยนให้เป็นโชคลาภ เหล่าศิษย์จึงไม่มีอะไรจะกล่าว

          แล้วหลิวหลีเล่า แน่ละหากหวังลู่ไม่เข้ามาก่อกวน แต้มโภชนาการของเจ้าเจียงยวันย่อมต้องสูงกว่านาง แต่ก็นั่นละ ผลที่ได้เกิดจากความพยายามอย่างหนักหน่วงของเจ้าเจียงยวัน แต่หลิวหลีนั้น ตั้งแต่ต้นนางไม่เคยแสดงท่าทีทุรนทุราย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความพยายาม นางยังไม่ได้สำแดงทักษะที่แท้จริงออกมาด้วยซ้ำ! วิชากระบี่กระจ่างใจของนางช่างน่ายำเกรงจริงๆ!

          เมื่อนึกถึงว่าเพลงกระบี่กระจ่างใจของนางสังหารปีศาจขั้นพิสุทธิ์ได้ถึงสิบสองตัวเมื่อสองปีที่แล้ว ศิษย์สำนักเซียนหมื่นเวทแต่ละคนก็รู้สึกราวกับว่าตนเองนั่งอยู่ท่านกลางเมฆหมอก แน่นอนว่าจ้านจื่อเย่พี่ใหญ่ของพวกเขานั้นทรงพลัง เขาทั้งฉลาดล้ำ การหยั่งรู้ก็น่าทึ่ง ความเข้าใจในวิชาต่างๆ ก็ลึกซึ้งเกินกว่าศิษย์คนอื่นๆ ในระดับเดียวกันรวมถึงพวกคนเถื่อนจากสำนักกระบี่วิญญาณด้วย  ทว่าไม่ว่าพวกเขาจะทะนงตนเพียงใด พวกเขาต้องยอมรับว่าในอาณาจักรเก้าแคว้น กรณีที่พวกคนเถื่อนใช้กำลังเอาชนะเหล่านักปราชญ์ได้นั้นมีอยู่มากมาย หลิวหลีเอาชนะเจ้าเจียงยวันในการแข่งกินก็ถือเป็นตัวอย่างให้เห็น แม้ฝ่ายหลังจะมีวิธีการย่อยอาหารที่ยอดเยี่ยมกว่าและได้แต้มโภชนาการต่อชามมากกว่าหลิวหลี แต่สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้ให้กับความสามารถในการย่อยอาหารที่น่าทึ่งของนาง หากเป็นเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่พี่ใหญ่จ้านจื่อเย่ของพวกเขาจะพ่ายแพ้ให้กับกระบี่กระจ่างใจของหลิวหลี

          “แต่…ข้ารู้สึกว่าหลิวหลีมีปัญหาทางจิตนิดๆ” เจ้าเจียงยวันพูดพลางขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าทุกคนมองมาที่เขา เขาก็รีบพูดต่อทันที “ข้าไม่ได้จะว่าร้ายนางหรอกนะ แต่ข้ารู้สึกว่านางออกจะทึ่มนิดหน่อย พวกเจ้าจำไม่ได้หรือตอนที่หวังลู่ปลดกระดุมเม็ดบนของนาง นางกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรนอกจากกินต่อไป!”

          จ้านจื่อเย่และคนอื่นๆ หวนนึกถึงฉากนั้นและพบว่าเป็นจริงดังว่า

          “เป็นไปไม่ได้ หากนางหัวทึ่มจริงๆ เหตุใดสำนักกระบี่วิญญาณจึงเลือกนางเป็นศิษย์ผู้สืบทอดเล่า ต่อให้เป็นสำนักป่าเถื่อนก็เถอะ ก็ไม่น่าที่จะ…”

          ในตอนนั้นเอง ในฐานะที่เป็นอาจารย์ของพวกเขา หยวนฉาวเหนียนจึงอธิบายให้ฟัง “นั่นเป็นผลมาจากกระบี่กระจ่างใจ หลิวหลีไม่ใช่คนโง่เขลาแม้แต่น้อย ทว่าวิธีคิดของนางแตกต่างจากคนทั่วไป… หากว่ากันตามความรู้สึกแล้วนางก็ทึ่มจริงๆ นั่นละ ทว่าผู้ใดก็ตามที่ดูถูกวิชากระบี่กระจ่างใจย่อมต้องได้รับผลที่สยดสยองไม่น้อย นี่ไม่ใช่การพูดเปรียบเปรย แต่เป็นความคิดเห็นที่อิงจากข้อมูลสถิติ”

          เมื่อเห็นว่าจิตใจของเหล่าศิษย์เริ่มสั่นคลอน หยวนฉาวเหนียนก็พูดเสริม “ทว่าพวกเราไม่ควรจะย่อท้อ พวกเจ้ายังจำสิ่งที่เรายึดถือกันได้หรือไม่”

          ศิษย์ทั้งหลายต่างมองหน้ากันจากนั้นก็พูดขึ้น “ความรู้คือพลัง!”

          “ถูกต้อง ความรู้คือพลัง! ผู้บำเพ็ญเซียนแห่งสำนักกระบี่วิญญาณแข็งแกร่งก็จริง แต่เรามีทั้งความรู้และความฉลาด ซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าพลังอิทธิฤทธิ์หรือการบำเพ็ญเซียนใดๆ สิ่งนี้เพียงพอที่จะรับประกันความอยู่ยงคงกระพันของเรา วันนี้พวกเจ้าพักผ่อนกันก่อน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เราจะทำให้คนพวกนั้นได้รู้จักสำนักเซียนหมื่นเวทอย่างแท้จริง”

          เมื่อได้เห็นสีหน้าฉงนของเหล่าศิษย์ หยวนฉาวเหนียนก็หัวเราะออกมา “มาครั้งนี้ข้านำประตูสู่ทุกสรรพสิ่งมาด้วย”

          “ประตูสู่ทุกสรรพสิ่ง!? อาจารย์ หรือว่าท่านคิดจะ…”

          “ถูกต้อง เราแพ้มาสองครั้งติด ที่พิธีต้อนรับและที่งานเลี้ยงรับรอง หากเราคิดจะกู้สถานการณ์ ก็ต้องใช้วิธีที่เด็ดขาดสักหน่อย ข้ารู้ว่าหลายคนวิจารณ์พวกเราว่าเป็นพวกไร้ประโยชน์ที่เต็มไปด้วยความรู้และทฤษฎีแต่ไม่มีความสามารถจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ ได้ บางคนถึงกับล้อเลียนเราว่าเป็นพวกหมกมุ่นที่ใช้การไม่ได้ เช่นนั้นเราจึงจะใช้ของจริงเอาชนะพวกเขา!”

——

          วันถัดมา เหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณก็พาคนของสำนักเซียนหมื่นเวทไปที่เขาเมฆาครามเล็ก ในฐานะจุดเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ที่สำคัญของสำนักกระบี่วิญญาณ เขาเมฆาครามเล็กดึงดูดความสนใจคนจากสำนักเซียนหมื่นเวทเป็นอย่างมาก เพราะแผนผังและรูปแบบของที่นี่นั้นไม่เหมือนใคร ทว่าหลังจากเยี่ยมชมเป็นที่เรียบร้อย ศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณก็ประเมินที่นี่อย่างล้อเลียน

          “ในฐานะสนามเด็กเล่น ที่นี่ถือว่าไม่เลว”

          ทว่าอาวุโสหลิวเสี่ยนที่เป็นคนนำพวกเขามากลับไม่โกรธ หนำซ้ำยังตอบรับด้วยเสียงหัวเราะ “ที่นี่ก็เป็นสนามเด็กเล่นของเหล่าศิษย์จริงๆ นั่นละ แน่นอนว่าสถานที่จริงในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ย่อมเป็นโลกมนุษย์”

          เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยวนฉาวเหนียนกลับคิดไปอีกทางหนึ่ง ‘โลกมนุษย์? นี่มันเป็นแนวความคิดล้าสมัยตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน มันไม่มีประสิทธิภาพทั้งยังไม่รับรองผลสำเร็จ โลกมนุษย์นั้นกว้างใหญ่ไพศาล หากเจ้าปล่อยเหล่าศิษย์ออกไปเรียนรู้อย่างอิสระ โดยหวังว่าพวกเขาจะได้อะไรกลับมาในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร เหล่าศิษย์นั้นควรที่จะเผชิญกับสถานการณ์อะไรบางอย่างที่ส่งอิทธิพลต่อพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้เติบโต แต่ไม่ใช่ไปเป็นใครก็ไม่รู้ในโลกปุถุชน’

          อาวุโสหลิวเสี่ยนเองก็รู้ในจุดนี้ดี “เคราะห์ร้ายที่ไม่ค่อยมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกินขึ้นในตอนนั้น มันเกิดจากการเจอเข้าเองไม่ใช่มองหา”

          หยวนฉาวเหนียนกล่าว “เรื่องนั้นไม่จำเป็นเลย”

          “อาวุโสหยวนรู้อะไรอย่างนั้นหรือ”

          หยวนฉาวเหนียนยิ้มพลางคิดในใจ ‘ข้ารอให้เจ้าถามคำถามนี้อยู่พอดี’

——

          อึดใจถัดมา ที่ด้านบนของเรือคลื่นเมฆา ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งก็ถูกนำออกมา

          “นี่คือสิ่งที่ศิษย์จากสำนักเซียนหมื่นเวทของเราใช้เพื่อเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์” หยวนฉาวเหนียนยืนอยู่หน้าประตูหินหน้าตางดงาม และอธิบายวิธีการใช้ต่อหลิวเสี่ยน ฟางเฮ่อและผู้อาวุโสคนอื่นแห่งสำนักกระบี่วิญญาณ รวมถึงศิษย์อีกหลายคนของสำนักกระบี่วิญญาณที่ติดตามมา

          “ประตูสู่ทุกสรรพสิ่ง สถานที่ที่อยู่เบื้องหลังประตูนี้ดูเหมือนโลกของสิ่งมีชีวิตไม่ผิดเพี้ยน แน่นอนว่าโดยแก่นแล้ว มันคืออาวุธเซียนที่สร้างภาพมายาที่ซับซ้อนและขัดเกลามาอย่างดี สิ่งมีชีวิตทุกประเภทหลังประตูบานนี้ไม่อาจแยกแยะจากของจริงได้”

          ในหมู่คนของสำนักกระบี่วิญญาณ ผู้ที่รู้วิชาด้านภาพมายาได้กระจ่างแจ้งที่สุดคืออาวุโสฮว๋าอี้ ทันทีที่ได้ยินหยวนฉาวเหนียนอธิบายความมหัศจรรย์ของประตูบานนี้ นางก็อดประหลาดใจไม่ได้ “อาวุธเซียนงั้นหรือ”

          “ใช่ นี่คืออาวุธเซียน” หยวนฉาวเหนียนพยักหน้าเล็กน้อยอย่างภาคภูมิใจ แม้ศิษย์พี่เจ้าสำนักตบะขั้นหลอมรวมของเขาจะเป็นคนขัดเกลาสมบัติชิ้นนี้รวมทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขัดเกลาประจำสำนัก เขาในฐานะหนึ่งในผู้ที่สร้างมันขึ้นมา ก็สามารถอวดอ้างความดีความชอบในผลงานสร้างสรรค์นี้เช่นกัน! และแน่นอนว่าประตูสู่ทุกสรรพสิ่งนี้ย่อมเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเองในชีวิตเขา!

          “ตราบใดที่มีประตูสู่ทุกสรรพสิ่งบานนี้ มันย่อมง่ายมากที่จะให้เหล่าศิษย์ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์สำคัญๆ ที่หลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นความหายนะทางธรรมชาติหรือความหายนะที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ รวมถึงการดื่มด่ำในชีวิตที่หรูหรา เมื่อเทียบกับการส่งเหล่าศิษย์ลงภูเขาเพื่อหาประสบการณ์อย่างไร้ความหมาย ประตูนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าหลายเท่า ไม่สิ หลายสิบเท่า ตอนนี้มันยังไม่เป็นที่แพร่หลายในสำนักเซียนหมื่นเวทนัก แต่ก็คาดการณ์ได้ถึงความนิยมในอนาคตแล้ว”

          เมื่อได้ฟัง ฮว๋าอี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าจิตใจของนางจดจ่ออยู่กับประตูสู่ทุกสรรพสิ่งรวมถึงการใช้งานที่หลากหลายของมันเป็นที่เรียบร้อย ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของสำนักกระบี่วิญญาณกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเจ้าสิ่งนี้แม้แต่น้อย

          หยวนฉาวเหนียนมีท่าทางผิดหวังเล็กน้อย เขาคิดในใจ ‘อย่างไรก็เถอะ สิ่งนี้ก็เป็นถึงอาวุธเซียน แม้สำนักกระบี่วิญญาณของพวกเจ้าจะ… อย่างไรเสียนี่ก็เป็นถึงอาวุธเซียน หนำซ้ำยังต่างจากกระบี่หรือตราประทับเซียนที่ใช้ได้เพียงต่อสู้และเข่นฆ่า อาวุธชิ้นนี้สามารถใช้ฝึกฝนเหล่าศิษย์ได้ด้วย ทั่วทั้งอาณาจักรเก้าแคว้นนี้ ความสำคัญของอาวุธที่สามารถพัฒนาศิษย์ที่มีพรสวรรค์ไม่อาจกกล่าวเกินจริงได้ พวกเจ้าจะมีปฏิกริยาสักหน่อยไม่ได้หรือ’

          ทันทีที่เขาคิดถึงสิ่งนี้ ปฏิกริยาที่เขามองหาก็ปรากฏขึ้น

          “มันไม่ใช่แค่ของเล่นหรอกหรือ”

          เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น อาวุโสหยวนฉาวเหนียนตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณผู้ทรงเกียรติก็แทบจะเป็นลม โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่ถามคำถามนี้เป็นเพียงศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณเท่านั้น!

          ทว่าเมื่อเขาเพ่งมองใกล้ๆ เขาก็ได้รู้ว่าบุคคลที่เอ่ยคำถามนี้ออกมาคือหวังลู่ ผู้ที่เมื่อวานนี้เป็นศูนย์รวมความสนใจ หากเป็นคำพูดของศิษย์คนอื่น เขาอาจจะมองว่าความคิดเห็นเช่นนั้นเกิดจากความเขลา ทว่าแม้หวังลู่จะเป็นเพียงศิษย์ แต่วิธีที่เขาจัดการสิ่งต่างๆ นั้นยากที่จะหยั่งรู้ได้ นั่นแปลว่าเด็กคนนี้ไม่อาจประมาทได้แม้แต่น้อย

          ทว่าหยวนฉาวเหนียนไม่อาจยับยั้งความโกรธที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ เขาจึงถามด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญออกไป “ทำไมเจ้าถึงคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ของเล่นเล่า”

          เมื่อถูกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณมองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว หวังลู่จึงทำเป็นไม่ใส่ใจและส่งยิ้มออกไปแทน “ของปลอมก็คือของปลอม ภาพมายาไม่อาจเทียบกับความเป็นจริงได้ แม้จะสามารถจำลองรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งห้าและทุกอย่างได้ แต่ท่านไม่อาจจำลองเหตุและผลที่เกิดขึ้นโลก และยิ่งไม่อาจจำลองความกว้างใหญ่ของโลกใบนี้… ดังนั้นเจ้านี่ก็เป็นเพียงของเล่นชั้นเยี่ยมที่ใช้จำลองเหตุการณ์เท่านั้น”

          ใบหน้าของหยวนฉาวเหนียนเริ่มถมึงทึง ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ทว่าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายพูดจาดูหมิ่นกัน แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเผยให้เห็นจุดอ่อนเพียงข้อเดียวของประตูสู่ทุกสรรพสิ่งต่างหาก

          ในแง่ของความสมจริง ภาพมายาที่สร้างขึ้นไม่อาจจำแนกออกจากความเป็นจริงได้ ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งสามารถสร้างได้ทุกสิ่ง แต่ไม่สามารถสร้างเหตุและผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ได้ ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งเป็นเพียงภาพมายาที่ใกล้เคียงกับของจริง แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่าของจริง และมักจะมีความแตกต่างอย่างเด่นชัดระหว่างการเรียนรู้ในโลกจริงๆ กับการเรียนรู้ในโลกจำลอง แต่เขาก็ยืนยันหนักแน่นมาตลอดว่าความแตกต่างนี้เทียบไม่ได้เลยกับประสิทธิภาพที่มากมีของมัน

          “จุ๊ๆ นี่ท่านไม่เชื่อหรือ” หวังลู่หัวเราะ “เช่นนั้นก็ง่ายมาก มาลองดูกันไหมเล่า ในฐานะนักผจญภัยมืออาชีพ ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นความแตกต่างระหว่างของเล่นกับความเป็นจริง ไม่ต้องใช้คลื่นไฟฟ้าก็เห็นผลได้[1]!”

          เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่กระหายใคร่ลองของหวังลู่ หยวนฉาวเหนียนผู้ที่เชื่อมั่นในประตูสู่ทุกสรรพสิ่งอย่างเต็มเปี่ยม ก็รู้สึกสังหรณ์ใจจนเกิดอาการปั่นป่วนในใจลึกๆ ขึ้นมา

……………………………………….

[1] หนึ่งในวิธีรักษาโรคติดเกมออนไลน์ของประเทศจีนคือการใช้ไฟฟ้าช็อต