ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 23 ข้ารู้ว่าเขาย่อมไม่ซื่อตรงแน่

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 23 ข้ารู้ว่าเขาย่อมไม่ซื่อตรงแน่ โดย Ink Stone_Fantasy

           “ถ้าเช่นนั้นก็ลองให้จ้านจื่อเย่แสดงประสิทธิภาพของประตูสู่ทุกสรรพสิ่งให้ทุกคนได้เห็นก็แล้วกัน ส่วนเรื่องราวของภาพมายานี้… ที่คือฉากที่ทำสำเร็จไว้แล้ว พวกท่านเลือกได้ตามใจชอบเลย”

           ด้านหน้าประตูสู่ทุกสรรพสิ่ง หยวนฉาวเหนียนที่มีหน้าไร้อารมณ์เสกหยกหน้าตาเรียบๆ ขึ้นมามากกว่าสิบชิ้นแล้วส่งต่อให้เหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณ หลิวเสี่ยนและศิษย์น้องชายหญิงมองหน้ากับครู่หนึ่งจากนั้นก็สุ่มหยิบหยกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง

           หยวนฉาวเหนียนกล่าว “การระบาดของพิษแมลง… เป็นฉากที่น่าสนใจมาก จื่อเย่ เจ้าพร้อมไหม”

           “ขอรับอาจารย์!”

           ขณะพูด หยวนฉาวเหนียนก็เปิดประตูสู่ทุกสรรพสิ่งออก ประตูดูดร่างของจ้านจื่อเย่เข้าไปภายใน และหลังจากที่เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ประตูก็ปิดลง

           จากนั้นหยวนฉาวเหนียนก็ร่ายอาคมที่ทำให้คนภายนอกสามารถเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังบานประตูได้ด้วย

           เนื้อหาของภาพมายานี้ก็สามัญธรรมดา เพื่อที่จะสะสมจิตวิญญาณและเลือดเนื้อของชาวบ้าน กลุ่มคนชั่วจากสำนักมารได้แพร่พิษแมลงไปทั่วประเทศหนึ่ง พิษแมลงชนิดนี้ร้ายกาจสุดขั้ว เมื่อถูกพิษ ชาวบ้านผู้นั้นจะกลายเป็นเพียงซากศพที่มีชีวิต และจะมีความรู้สึกจงเกลียดจงชังต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ในขณะเดียวกันร่างของผู้ที่ติดพิษนี้ก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์พิษ เมื่อคนทั่วไปถูกผู้ที่ติดพิษทำร้ายจนเกิดบาดแผล คนผู้นั้นก็จะติดพิษและกลายเป็นซากศพเดินได้เช่นกัน

           จ้านจื่อเย่ปรากฏตัวขึ้นในเมืองที่พิษแมลงกำลังระบาด ซึ่งก็คือเมืองฉู่เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศนิลกาฬรองจากเมืองหลวง หมู่บ้านและเมืองเล็กๆ ที่อยู่รอบนอกของเมืองฉู่มีร่องรอยว่ามีผู้ติดพิษจำนวนมาก ตอนนี้ประตูของเมืองฉู่ถูกปิดลงแล้ว แต่ก็ยังรับรองความปลอดภัยของคนในเมืองไม่ได้อยู่ดี ที่มุมเมืองซึ่งหลุดรอดจากสายตาของเวรยาม พิษนี้ดูเหมือนจะค่อยๆ แพร่กระจายขึ้น

           จ้านจื่อเย่ไม่ได้ปรากฏตัวเป็นคนธรรมดาที่หล่นมาจากฟากฟ้า แต่เป็นเจ้าเมืองที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายนี้โดยตรง

           ทันทีที่ปรากฏตัวในโลกเสมือนจริง จ้านจื่อเย่ก็ตรงไปยังหมู่บ้านและเมืองเล็กๆ ข้างเคียงเพื่อเก็บตัวอย่างพิษอย่างไม่ลังเล เขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานที่มีร่างกายแข็งแกร่งผิดธรรมดา ดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวว่าตนจะติดพิษแมลงนี้ด้วย

           หลังจากเก็บตัวอย่างมาได้แล้วเขาก็เดินทางกลับเมือง สั่งให้คนไปรวบรวมทรัพยากร และเริ่มพัฒนายาต้านพิษขึ้น

           นอกจากจะเป็นหนึ่งในผู้บำเพ็ญเซียนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของพันธมิตรหมื่นเซียน เขายังเป็นนักปราชญ์ผู้มากพรสวรรค์อีกด้วย สำหรับเขา ความยากของฉากเสมือนจริงฉากนี้ไม่ถือว่ามากมาย แม้การแพร่กระจายของพิษแมลงจะเข้าขั้นวิกฤต แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถรับมือได้

           แน่นอนว่าการค้นคว้าเพื่อทำยาต้านพิษนั้นต้องใช้เวลา ระหว่างนั้นเขาก็ได้ออกคำสั่งจำนวนมาก ควบคุมเมืองทั้งเมืองให้อยู่ในกฎอัยการศึกระดับสูง ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานที่ควรต้องทำ แม้จะไม่ใช่ความคิดที่แปลกใหม่แต่ก็ไม่อาจตำหนิได้เช่นกัน ครึ่งเดือนต่อมา เมื่อพิษแมลงได้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง และคำสั่งหรือข้อบังคับใดก็ไม่อาจช่วยให้เมืองดีขึ้นได้ จ้านจื่อเย่ก็พัฒนายาต้านพิษได้สำเร็จพอดี

           ขณะนั้นทั้งเมืองอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง ดังนั้นเขาจึงทิ้งเมืองฉู่ไปอย่างไม่ไยดีและส่งยาต้านพิษไปยังเมืองหลวง หลังจากใช้แหล่งวัตถุดิบจากในเมืองหลวง เขาก็เริ่มทำสงครามที่ยาวนานและยากลำบากแต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพื่อไปสู่ชัยชนะ ระหว่างนั้นสำนักมารก็ได้พัฒนาพิษแมลงขึ้นอีกครั้ง ทว่าจ้านจื่อเย่มียาต้านพิษแมลงที่หลากหลาย ในสงครามครั้งสุดท้าย จ้านจื่อเย่พร้อมความรู้หมื่นแขนงของเขาก็สามารถเอาชนะหัวหน้าพรรคมารและกำชัยชนะทั้งหมดไว้ได้!

           เวลาในโลกเสมือนจริงเวลานั้นผ่านไปรวดเร็ว เมื่อชาวบ้านคนสุดท้ายที่ติดพิษได้รับยาต้านพิษ ฉากของโลกเสมือนจริงก็จบลงและจ้านจื่อเย่ที่มีใบหน้าเหนื่อยล้าก็ออกมาจากประตูสู่ทุกสรรพสิ่งพร้อมส่งยิ้มให้ผู้เป็นอาจารย์

           “เรียบร้อย”

           หยวนฉาวเหนียนพยักหน้าอย่างพออกพอใจ เขายินดีในผลลัพธ์เป็นอย่างมาก

           หากจะกล่าวว่าฉากเสมือนจริงนี้ยากก็นับว่าไม่ถูกต้อง ทว่ามันก็ไม่อาจพิชิตได้อย่างง่ายดายนัก หัวหน้าของสำนักมารเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกน และผู้ใต้บังคับบัญชาที่เก่งกล้าก็มีมากราวกับเมฆบนฟ้า ดังนั้นมันก็ไม่ต่างจากการฝืนลิขิตสวรรค์หรือรนหาที่ตาย หากคิดจะเอาชนะคนเหล่านั้นโดยหวังพึ่งแค่ขั้นตบะเพียงอย่างเดียว! ทว่าหากไม่มีขั้นตบะ ย่อมไม่มีใครรอดในโลกที่กำลังเผชิญหายนะนี้แน่นอน ระหว่างที่ใช้ความสามารถด้านวิชาการที่ลุ่มลึกพัฒนายาต้านพิษแมลงขึ้นมา เขายังเป็นแม่ทัพของกองทัพในการเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนที่เก่งกล้าของสำนักมาร จ้านจื่อเย่พิชิตฉากการระบาดของพิษแมลงได้อย่างหมดจด เขาคู่ควรกับการเป็นพี่ใหญ่ของศิษย์รุ่นใหม่ในสำนักเซียนหมื่นเวทอย่างแท้จริง

           หยวนฉาวเหนียนเงยหน้าขึ้นส่งสายตาถมึงทึงให้หวังลู่ “ตาเจ้าแล้ว”

          หวังลู่ยิ้มหยัน “รอชมปาฏิหาริย์ได้เลย”

           จากนั้นประตูสู่ทุกสรรพสิ่งก็เปิดออก และหวังลู่ก็ก้าวเข้าไปข้างใน

 ——

          ฉากนี้เป็นฉากการระบาดของพิษแมลงเช่นเดียวกัน ท่ามกลางวิกฤตที่กำลังลุกลามไปทั่วเมือง หวังลู่ในฐานะเจ้าเมืองเดินทางมาถึงจวนเจ้าเมือง นอกจากเขาแล้ว ยังมีเหล่าผู้ช่วยผู้พิพากษา ที่ปรึกษา และข้าราชการต่างๆ ในเมืองอีกด้วย

           “ใต้เท้า ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ…” ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งรายงานความเป็นไปล่าสุดให้เจ้าเมืองฟังด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายลงเรื่อยๆ จริงๆ แต่เขาไม่รู้สึกเป็นกังวล ในฐานะข้าราชการชั้นสูง เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ภายในเมืองกับพวกชาวบ้านทั้งหลาย เมื่อสถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด เขาก็แค่ขึ้นรถม้าหนีออกไป ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงนี้ต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกัน และตามความเห็นของเขา ท่านเจ้าเมืองเองก็คงจะคิดเห็นไม่ต่างกัน

           ทว่าหวังลู่กลับฟังรายงานแล้วหัวเราะออกมา “สถานการณ์ยังไม่เลวร้ายถึงขั้นนั้นสักหน่อย ตอนนี้หากรวมหมู่บ้านและเมืองเล็กๆ ที่อยู่รอบนอกแล้ว จำนวนคนที่ติดเชื้อมากที่สุดก็ยังไม่ถึงหนึ่งส่วนด้วยซ้ำ”

           ผู้ช่วยคนหนึ่งเสริมขึ้น “แต่มันแพร่กระจายเร็วมากเลย”

           “แล้วอย่างไร พวกเจ้าจะมาหว่านล้อมให้ข้าเตรียมการสองด้านงั้นหรือ โอ้ พวกเจ้านี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ พวกเจ้าคิดว่าจะทิ้งเรื่องยุ่งเหยิงนี่แล้วเดินออกไปง่ายๆ หรือ คิดว่าในแผ่นดินอันกว้างใหญ่นี้ยังจะมีที่ให้พวกเจ้าได้ซุกหัวนอนอีกหรือหากพวกเจ้าทิ้งสถานการณ์ที่ใหญ่หลวงเช่นนี้ไป หรือจะบอกว่าเจ้ามีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งและสามารถเผชิญกับหายนะนี้ได้ ใช่ หลายสิบปีให้หลังพอพวกเจ้าเกษียณแล้ว พวกเจ้าจะถูกพวกเบื้องบนหัวเราะเยาะใส่ ถูกชนชั้นล่างสาปแช่ง หากเจ้าสามารถรับมือกับเสียงหัวเราะพวกนี้อย่างเมินเฉยได้ เจ้าก็คงจะสามารถอยู่แบบตัวลีบได้ต่อไป โชคร้ายที่แม้เจ้าจะอยากเป็นสุนัข แต่ข้าไม่อยาก ตรงกันข้าม สำหรับข้าหายนะครั้งนี้เป็นเสมือนโอกาสจากสวรรค์ หากเรากำจัดการระบาดของพิษนี้ได้ อนาคตของเราจะรุ่งเรืองและไม่ถูกจำกัดแค่เพียงกำแพงของเมืองนี้แน่นอน!”

          เหล่าข้าราชการพากันขมวดคิ้ว “แต่เหตุการณ์นี้พิลึกมาก พิษชนิดนี้ร้ายกาจมหันต์ และเราไม่มีความสามารถพอที่จะหาทางแก้ไขได้”

           “จะเป็นอะไรไปเล่า ก็ทำเท่าที่ทำได้เท่านั้นก็พอ ท่านเฒ่าหลี ท่านเป็นคนดูแลเรื่องสุขภาพของเมือง อีกสองสามวันข้าอยากให้ท่านทำตามนี้…”

           จากนั้นหวังลู่ก็สั่งการกับข้าราชการทุกคนที่อยู่ในนั้นราวกับเป็นเจ้าเมืองผู้ชำนาญการ หลังจากได้รับคำสั่ง คนเหล่านั้นรู้สึกราวกับว่าเพิ่งได้ค้นพบแสงสว่าง การจัดการเรื่องต่างๆ ของหวังลู่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถที่ปราดเปรื่องของเขา ความคิดหลายอย่างนั้นแปลกใหม่และสร้างสรรค์ เสมือนได้สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไป เพียงแต่ว่าแม้จะเป็นอากาศที่บริสุทธิ์แต่จะสามารถเอาชนะพิษร้ายได้จริงหรือ อย่างไรเสีย ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ชาวบ้านต่างอยู่ในสภาวะที่ไม่มั่นคง มีการแบ่งเป็นก๊กเป็นหมู่กัน ดังนั้นแม้ว่านโยบายจะดีงามเพียงใด ก็เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุผลได้อย่างรวดเร็ว

           ดังนั้นหลายคนจึงลังเล จากนั้นหวังลู่ก็กล่าวขึ้น “เช่นนั้นก็ดี ต่อไป ทุกคนที่มีตำแหน่งทางการต้องออกเดินทางไปกับข้า”

           “ออกเดินทาง?”

           “ใช่ ไปยังพื้นที่ที่มีการติดพิษรุนแรงที่สุด เพื่อกล่าวปลอบประโลมให้เหล่าชาวบ้านช่วงเวลานี้ หากเหล่าข้าราชการมัวแต่ซุกหัวอยู่ในที่ทำการ เจ้าว่าพวกชาวบ้านจะคิดอย่างไรเล่า”

           “แต่ใต้เท้า พื้นที่ที่ติดพิษรุนแรงที่สุดนั้น…”

           “หากพวกเจ้าพร้อมใจจะไป เช่นนั้นก็ไป หากไม่ ก็หาสนามฝึกซ้อมแถวๆ นี้แล้วมาเจอกับข้าหน่อย”

           หลังจากกล่าวประโยคนี้ เขาก็ชี้ไปที่เหล่าผู้อารักขาและออกจากจวนเจ้าเมืองไป

           สถานการณ์ในตอนนี้นั้นอลหม่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหล่าบุคคลสำคัญของเมืองต่างพากันเบียดเสียดออกจากจวนเจ้าเมือง กลุ่มข้าราชการ ผู้ช่วยและบุคคลอื่นที่อยู่ในการประชุมในจวนเจ้าเมืองก่อนหน้านี้รู้สึกสิ้นหวังราวกับว่ากำลังตามหวังลู่ไปสู่ประตูนรก

           ในไม่ช้า หวังลู่ก็ไปยังศูนย์ผู้ลี้ภัยของเมือง มีบ้านที่ถูกทิ้งร้างไว้มากกว่าสิบหลัง และผู้คนที่มีใบหน้าซีดเผือดนับร้อยกำลังนั่งบ้างนอนบ้าง พวกเขาเหล่านี้ลี้ภัยมาจากหายนะของพิษแมลงที่เกิดขึ้นในเมืองชายขอบ เมื่อมีเหตุการณ์ชวนฝันร้ายคอยหลอกหลอน คนเหล่านี้ก็ไม่เห็นความหวังใดๆ ในชีวิตอีก

           การปรากฏตัวของหวังลู่และเหล่าข้าราชการทำให้พวกชาวบ้านพากันเสียขวัญ เหล่าคนต่ำต้อยจะเคยเห็นพวกข้าราชการและผู้คนระดับสูงมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า บางคนทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม หลายคนหมอบราบไปกับพื้น อีกหลายคนร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว

           หวังลู่ไม่ใส่ใจคนเหล่านี้ เขาเดินไปหาเด็กที่ดูป่วยซึ่งกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า เขากอดเด็กคนนั้น มองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจและเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างเงียบเชียบของเด็กน้อย “ขอโทษที ข้ามาช้าไปหน่อย!”

          หลังจากนั้นหวังลู่ก็กล่าวปราศรัยด้วยถ้อยคำที่ลึกซึ้ง ทำไม้ทำมือประกอบเพื่อให้เห็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมของเขา ทุกคำที่ออกมาจากปาก ทุกสีหน้าที่แสดงออก ทุกการเคลื่อนไหวดึงดูดใจผู้คนที่อยู่ตรงนั้น อารมณ์ของพวกเขาก็ค่อยๆ คล้อยตามไปด้วย เนื้อหาที่หวังลู่พูดนั้นเรียบง่าย เขากล่าวว่าทางการไม่ได้ดูดายเหล่าชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองจะร่วมหัวจมท้ายกับทุกคน พิษแมลงนี้เป็นเพียงอันตรายชั่วคราวที่ในที่สุดแล้วก็จะผ่านไป รวมถึงวิธีรักษาสุขภาพและความเป็นระเบียบวินัยในเวลาสั้นๆ และเรื่องอื่นๆ…

           เนื้อหาแต่ละเรื่องนั้นประทับอยู่ในใจเหล่าผู้อพยพ และจุดประกายความหวังให้กับทุกคน ไม่นานนักเสียงโห่ร้องก็ดังกึกก้องขึ้น จากนั้นเสียงกล่าวขอบคุณก็ดังมาจากคนโน้นทีคนนี้ทีราวกับเป็นระลอกคลื่น คำพูดของหวังลู่นั้นราวกับมนตร์วิเศษที่ช่วยใส่ความหวังเข้าไปในใจของผู้อพยพผู้สิ้นหวัง เมื่อเหล่าชาวบ้านมีท่าทีกระตือรือร้นและรู้สึกเคารพหวังลู่ เจ้าตัวก็พึงพอใจและออกจากสถานที่นั้นไป

           ระหว่างทาง ท่าทีของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นเฉยชามึนตึง “เห็นหรือไม่ คนพวกนี้นั้นไม่ซับซ้อน ตอนนี้ต่อให้ข้าพูดว่าจะเลือกบางคนในหมู่พวกเขาไปสังเวย ข้าก็เกรงว่าพวกเขาก็จะยอมทำอย่างที่พูด… ขั้นต่อไปเราก็จะทำอย่างเดียวกันแต่คนละสถานที่ เราจะพูดจาลวงคนเหล่านั้น จะได้จูงจมูกได้ง่ายหน่อย เหมือนอย่างในหมู่บ้านชายขอบและเมืองเล็กๆ นั่นคือกุญแจสำคัญของงานของเรา ให้พวกเขาเข้าใจว่าปัญหาพิษแมลงนั้นไม่รุนแรงเพราะทางการกำลังลงมืออย่างเต็มที่ นั่นเพราะพวกเราจะร่วมหัวจมท้ายกับพวกเขา! พูดสั้นๆ ก็คือ เราจะปลุกเร้าความมั่นใจของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่หมดกำลังใจไปตั้งแต่ช่วงแรกๆ  จำนวนคนที่ติดพิษตอนนี้มีเพียงสิบส่วนจากประชากรทั้งหมด หากเรากันผู้ติดพิษเอาไว้ได้ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว! และหากเราหายารักษาไม่ได้เล่า คำตอบสั้นๆ ก็คือ ไม่จำเป็นต้องหา ตราบที่เราสามารถระงับการแพร่กระจายของพิษได้ คนอื่นๆ ก็จะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะกวาดล้างสำนักมารเอง! พวกคนชั่วเหล่านั้นไร้ซึ่งความมั่นใจ ไม่เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาต้องใช้วิธีแอบปล่อยพิษในหมู่บ้านและเมืองเล็กๆ ด้วยเล่า”

          ข้าราชการหลายคนที่ติดตามมาด้วยรู้สึกรู้แจ้งขึ้นอย่างมาก หลายคนมีกำลังใจขึ้นไม่น้อย ท่วงท่ามั่นอกมั่นใจของหวังลู่นั้นไม่ต่างจากไฟนำทาง ที่ช่วยปัดเป่าความมืดมิดออกจากผู้คนที่อยู่รายรอบและเรียกคืนขวัญและกำลังใจกลับมา

           ไม่แน่ว่าสิ่งที่หวังลู่กล่าวอาจจะถูก มหันตภัยพิษแมลงนี้อาจไม่ใช่หายนะที่หาทางออกไม่ได้ ตรงกันข้าม หากจัดการได้ถูกจุด นี่อาจจะเป็นโอกาสใหญ่สำหรับพวกเขา! ผู้คนที่เข้ามาเป็น เจ้าหน้าที่บ้านเมืองและข้าราชการส่วนใหญ่มักไร้จิตวิญญาณ ตราบใดที่อัตราได้นั้นมากกว่าเสีย พวกเขาย่อมไม่ขี้ขลาดตาขาวอย่างแน่นอน!

           ครั้งนี้ขวัญและกำลังใจของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้ทั้งภายในและภายนอกเมืองยังคงเผชิญกับวิกฤตเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ แต่การตระเตรียมงานและคำพูดที่ลึกซึ้งกินใจของหวังลู่ก็ได้สร้างความมั่นใจให้กับเหล่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเหล่านี้

           ขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกประตูสู่ทุกสรรพสิ่ง ความรู้สึกของผู้ชมนั้นหลากหลาย เหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณดูไม่ใส่ใจนักราวกับว่าพวกเขาต่างคาดการณ์เอาไว้แล้ว ทว่าคนจากสำนักเซียนหมื่นเวทถึงกับประหลาดใจจนแทบจะอ้าปากค้าง

           เจ้าหวังลู่คนนี้มีดีอะไรกันแน่!?

           ในเมื่อประตูสู่ทุกสรรพสิ่งเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมา ดังนั้นฉากเหตุการณ์ระบาดของพิษแมลงจึงถูกฉายซ้ำมาเป็นสิบๆ ครั้งแล้ว ทว่ากลับไม่เคยมีใครปลุกเร้าขวัญและกำลังใจของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ได้ง่ายดายเช่นนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้มีศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทคนหนึ่งใช้อาคมจัดการความรู้สึกของผู้คน ทว่าจำนวนผู้คนในเมืองมีนับพันนับหมื่น เช่นนั้นแล้วคนเพียงคนเดียวจะสามารถควบคุมความรู้สึกนึกคิดของคนมากมายได้อย่างไร หนำซ้ำคำพูดสุดท้ายของหวังลู่ไม่นับว่าผิด ตามเหตุการณ์นี้นั้น พวกคนชั่วจากสำนักมารไม่ถือว่าแข็งแกร่ง ตราบใดที่วิกฤตพิษแมลงนี้ถูกควบคุมไม่ให้แพร่กระจายออกไปได้ สำนักมารก็ไม่อาจออกอาละวาด นั่นเพราะสำนักที่เที่ยงธรรมก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นเดียวกัน หากสำนักมารไม่ได้ประโยชน์จากพิษแมลงมากพอ พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานความโกรธแค้นของคนทั้งประเทศได้แน่! ในการประชุมและปราศรัยครั้งแรกของหวังลู่ เขาได้สร้างความมั่นใจว่าจะได้ชัยชนะในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในโลกเสมือนจริงนี้ วิธีการของเขาก็ตรงไปตรงมาและยุติธรรม ไม่มีการสมคบคิดหรือใช้เล่ห์กลใดๆ ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!

           จ้านจื่อเย่ที่เพิ่งเสร็จภารกิจในฉากเดียวกันนี้มีสีหน้าถมึงมึง เขาคิดว่าตนเองพิชิตฉากนี้ได้อย่างดีเยี่ยม นั่นคือพัฒนายาต้านพิษได้อย่างรวดเร็วในเวลาที่จำกัด เพื่อควบคุมการระบาดของพิษแมลงในวงกว้าง เพื่อที่คนจากสำนักมารจะได้ไม่อาจ… ทว่าก็ไม่อาจเทียบได้กับหวังลู่ที่สามารถพลิกฟ้าได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ

           ส่วนหยวนฉาวเหนียนนั้น เขาอดนึกถึงความมุทะลุของหวังลู่ตอนประเมินประตูสู่ทุกสรรพสิ่งไม่ได้ “นี่เป็นเพียงแค่ของเล่นหรือ”

           ประตู่สู่ทุกสรรพสิ่งเป็นถึงอาวุธเซียน ไม่ใช่ของเล่นอย่างที่หวังลู่ประเมิน ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิบัติต่ออาวุธเซียนนี้ราวกับเป็นของเล่น หนำซ้ำยังเล่นเสียอย่างกับว่าสิ่งนี้เป็นของเล่นสำหรับเด็กน้อย! เป็นการสาธิตที่บาดตายิ่งนัก

           คนจากสำนักเซียนหมื่นเวทย่อมไม่รู้ว่าเมื่อสองปีก่อนหวังลู่ได้ตั้งสำนักที่มีผู้ติดตามนับล้านคน และตอนนี้ก็ยังเป็นเจ้าสำนักที่เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนอีกด้วย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีประสบการณ์มากมายกว่าเจ้าสำนักเซียนหลายสำนักด้วยซ้ำ! สำหรับหวังลู่แล้ว วิกฤตพิษแมลงนี่เป็นเพียงเรื่องกล้วยๆ เท่านั้น

           หยวนฉาวเหนียนส่ายศีรษะพลางคิด ‘ต่อไปถ้าเขาค่อยๆ ควบคุมสถานการณ์และฉวยโอกาสใหญ่ได้ เขาย่อมได้ชัยชนะแน่ๆ เมื่อต้องเผชิญกับเจ้าเมืองปราดเปรื่องและมีทักษะเช่นนี้ สำนักมารย่อมไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้ต่อให้พวกเขาปล่อยพิษอีกรอบหนึ่งก็ตาม… ข้าเกรงว่าครั้งนี้ สำนักเซียนหมื่นเวทคงถูกเขาดูถูกเสียแล้ว’

           ทว่าตอนนั้นเอง ภายในโลกเสมือนจริง ความเก่งกาจของหวังลู่กลับค่อยๆ เผยออกมา