ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 24 หลังชนฝา

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 24 หลังชนฝา โดย Ink Stone_Fantasy

          จู่ๆ หวังลู่ก็หายตัวไป

          เมื่อทุกคนไม่ว่าจะทึ่ม ฉลาด หรือขาดความรู้ถูกกระตุ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจนเลือดเดือดพลั่กๆ และมั่นอกมั่นใจขึ้นจากข้อมูลดีๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาจากเหล่าข้าราชการ พอพวกเขาคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องปฏิบัติการแล้ว หวังลู่กลับหายตัวไป

          เขาออกจากเมืองไปลำพัง ทิ้งผู้คุ้มกันและผู้ใต้บังคับบัญชาไว้เบื้องหลัง เช้าวันต่อมา ตอนที่ผู้คุ้มกันไม่พบตัวเขาในจวนที่พัก หวังลู่ก็จากเมืองมาไกลหลายร้อยลี้แล้ว

          ตอนนั้นเอง แม้แต่ผู้คนที่อยู่ด้านนอกประตูสู่ทุกสรรพสิ่งก็ไม่อาจเดาได้ว่าเขาจะไปที่ใด ทว่าไม่นานนักคำตอบก็เป็นที่ประจักษ์ และเหล่าผู้ชมต่างก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงอีกครั้ง

          หวังลู่มุ่งตรงไปยังฐานที่มั่นหลักของสำนักมาร! แน่ละว่าเขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้กลายเป็นนักบวชพเนจรเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เดินปรี่ไปยังยามที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าอยู่

          “ข้าคือนักบวชจูหยาง [1] ข้ามาเพื่อพบรองเจ้าสำนัก”

          “นักบวชจูหยาง!?”

          ยามคนดังกล่าวประหลาดใจจากนั้นก็มองหวังลู่กลับไปกลับมา เขาเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “ใครจะกล้าบุ่มบ่ามให้เข้าไป…”

          ก่อนที่เขาจะทันได้พูดต่อ วัตถุปลายแหลมเย็นเยียบก็พุ่งเข้าใส่หน้าผาก กระบี่แห่งเขาคุนของหวังลู่ไม่ได้เด่นดังด้านการเข่นฆ่า แต่ก็ไม่ได้อ่อนด้อยจนยามกระจอกนี่จะต้านทานไหว

          ผู้เป็นยามคำรามลั่น “หากเจ้าสังหารข้า ข้า…”

          “ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก ข้าแค่อยากให้เจ้าไปบอกรองเจ้าสำนักว่านักบวชจูหยางมาที่นี่ เดี๋ยวเขาก็รู้เองละ”

          ยามคนดังกล่าวรีบผละไปอย่างหวาดกลัว

          ไม่นานนัก ผู้บำเพ็ญเซียนจากสำนักมารนับสิบก็ออกมาล้อมหวังลู่ไว้จากทุกทิศทาง ทว่าไม่มีใครกล้าลงมือก่อน ผ่านไปพักใหญ่ชายชราหลังค่อมก็ปรากฏตัวจากด้านใน เขาส่งสายตาให้หวังลู่เดินตามเข้าไป

          หวังลู่ยิ้มจากนั้นก็เดินอาดๆ ตามชายแก่เข้าไปยังฐานที่มั่นหลักของสำนักมารอย่างไม่เกรงกลัว ราวกับว่าเบื้องหน้าเขาไม่ใช่รังของวายร้าย

          ความจริงหวังลู่มาได้จังหวะพอดิบพอดี ตอนนี้เจ้าสำนักมาร รองเจ้าสำนักทั้งสอง รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนไม่น้อยไม่อยู่ในฐานที่มั่นหลัก เหลือรองเจ้าสำนักเพียงคนเดียวที่คอยดูแลความปลอดภัยอยู่ ถือเป็นเวลาที่เหมาะเจาะที่สุดที่จะจู่โจม ทว่าหวังลู่กลับไม่แสดงท่าทีมุ่งร้ายแม้แต่น้อย หนำซ้ำดูเหมือนว่ารองเจ้าสำนักจะรู้จักตัวจริงของนักบวชจูหยาง ดังนั้นในเมื่อแขกไม่มีทีท่าหาเรื่อง สำนักมารเองก็ไม่คิดจะมีเรื่องมีราว หลังจากเดินตามหลังตาแก่หลังค่อมไป ในที่สุดหวังลู่ก็มาถึงยังห้องลับและได้พบกับเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้ นั่นคือชายร่างใหญ่รูปร่างแข็งแรง ซึ่งเป็นรองเจ้าสำนักที่อายุน้อยที่สุด

          “นักบวชจูหยาง? เจ้าคิดจะฉวยโอกาสในขณะที่สำนักอันยิ่งยงของเราว่างเปล่าผู้คนเช่นนั้นหรือ เจ้าเมืองหวังลู่!”

          หวังลู่ไม่สนใจสักนิดว่าตัวตนของเขาถูกเปิดโปงแล้ว แถมยังตอกกลับไป “ข้าอุตส่าห์มีน้ำใจมาหาถึงที่นี่ แต่เจ้ากลับไม่รู้จักรับน้ำใจจากข้า”

          “ฮึ!” ชายร่างใหญ่ส่งเสียงฮึอย่างฉุนเฉียว แต่ภายในใจกลับรู้สึกยินดี

          สำนักมารของเขาจงเกลียดจงชังเจ้าเมืองคนนี้ที่ใช้เวลาไม่กี่วันก็สามารถสกัดการแพร่กระจายของพิษแมลงทั้งในเมืองและรอบนอกเมืองได้ ในเมืองยอดนภานี้ นอกจากเขาจะกู้วิกฤตได้แล้ว เขายังบอกวิธีกักกันพิษแมลงและวิธีรับมือกับสถานการณ์ทั่วไปไปทั่วประเทศ นิลกาฬอีกด้วย ทำให้ความอุตสาหะในการแพร่กระจายพิษแมลงไปยังเมืองต่างๆ ได้ผลเพียงน้อยนิด หากไม่ใช่เพราะว่าพิษนี้ยังไม่มียารักษา ทำให้จำนวนผู้ติดพิษโดยรวมยังคงเพิ่มมากขึ้น แผนการของสำนักมารก็คงล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงไปแล้ว ทว่าผู้ที่เป็นคนริเริ่มปัญหาเหล่านี้กลับโผล่มายังรังของพวกเขาเอง นี่เป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานแท้ๆ รองเจ้าสำนักอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเขาจะมีโชคดีกว่านี้อีกหรือไม่

          ทันทีที่เขาได้ศีรษะของคนผู้นี้มา ตำแหน่งพี่ใหญ่สุดในบรรดารองเจ้าสำนักทั้งสามจะไปไหนเสีย

          “ไหนๆ เจ้าก็โผล่มาแล้ว อย่าหวังว่าจะได้กลับไปทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่เลย”

          รองเจ้าสำนักพูดพร้อมรอยยิ้มเหี้ยม

          ทว่าประโยคต่อมาของหวังลู่ทำให้สีหน้าของรองเจ้าสำนักเปลี่ยนไปในทันที ทั้งยังหยุดการกระทำลงอีกด้วย

          “ข้าได้ยาต้านพิษมาแล้ว พวกเจ้าไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

          “ว่าไงนะ!?”

          เมื่อเห็นใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจของหวังลู่ รองเจ้าสำนักก็ลังเล เขารู้สึกสับสนไม้น้อย สำนักมารใช้เวลาหลายปีพัฒนาพิษแมลงนี้ขึ้นมา และเพิ่งเริ่มใช้เมื่อไม่นานมานี้ แล้วทำไมคนพวกนี้ถึงคิดยาต้านได้รวดเร็วนัก ทว่าอีกฝ่ายดูไม่มีทีท่าว่าจะตบตากัน… เหลวไหล ใครจะเสี่ยงชีวิตตัวเองมาถึงที่นี่เพื่อปั่นหัวฝ่ายตรงข้ามกัน เจ้านี่ป่วยจิตรึอย่างไร

          หวังลู่กล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อ ดังนั้นข้าจึงจะแสดงให้ดู… นี่ เจ้าจำสิ่งนี้ได้ใช่ไหม”

หวังลู่เขย่าขวดของเหลวสีดำเข้ม รองเจ้าสำนักย่อมจำได้ว่ามันเป็นพิษแมลงเข้มข้น ที่มากพอจะเปลี่ยนคนนับร้อยให้กลายเป็นผีดิบได้ในทันที เมื่อคิดได้ดังนี้ สีหน้าของรองเจ้าสำนักก็เปลี่ยนไปทันที เขาพลางคิดว่าหากเจ้านี่ทำขวดแตก ค่ายกลของที่นี่จะสกัดมันอยู่ไหม หากพิษนั้นแพร่กระจายทั่วฐานที่มั่นหลักของพวกเขาจะต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่… ทว่าการเข้าหาแบบพิเศษเช่นนี้รังแต่จะทำให้ย่อยยับทั้งสองฝ่าย  ต่อให้อีกฝ่ายมียาต้านพิษที่สำนักทำขึ้นเป็นพิเศษ ก็ไม่อาจจะต้านทานพิษที่เข้มข้นเช่นนี้ได้ นอกจากยาต้านพิษของสำนักจะเป็นความลับที่รู้กันเฉพาะพวกระดับสูงแล้ว มันยังไม่เคยปรากฏอยู่ในบันทึกใดๆ ของสำนักอีกด้วย หนำซ้ำเขายังไม่ได้รับรายงานว่ามียาต้านพิษหายไป เช่นนั้นแล้วรองเจ้าสำนักก็ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าอีกฝั่งหนึ่งได้ยาต้านพิษของพวกเขาไปครอง!

          ทว่าอึดใจถัดมา หวังลู่ก็เปิดฝาขวดออกท่ามกลางสายตาตกตะลึงของรองเจ้าสำนัก

          ทันทีที่ฝาขวดเปิดออก หวังลู่ก็กลืนของเหลวสีเข้มเข้าไปในปาก!

          จนไม่หลงเหลือยาพิษอยู่ในขวดแม้สักหยด

          “เจ้า…” รองเจ้าสำนักอับจนคำพูดไปพักใหญ่ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ตั้งท่าพร้อมรับมีผีดิบซึ่งเป็นที่รู้กันว่าแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง

          ต่อให้เป็นเจ้าสำนักที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างแกน การกลืนพิษแมลงเข้มข้นเข้าไปเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากรับโทษตาย…

          ทว่าภายใต้สายตาที่สับสนและงุนงงของรองเจ้าสำนัก หวังลู่กลับยังมีรอยยิ้มอยู่บนหน้า แถมยังอ้าปากพูดได้ด้วยซ้ำ “รสชาติเช่นนี้ทำให้ข้าหวนนึกถึงฝีมือของสหายคนหนึ่ง”

          เด็กหนุ่มดูมีท่าทีสบายอกสบายใจ ไม่เจ็บปวดทุรนทุราย หนำซ้ำยังไม่ติดพิษจากพิษแมลงอีกด้วย… รองเจ้าสำนักรู้สึกขมขื่นใจ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อคำกล่าวอ้างของอีกฝ่าย นี่คือหลักฐานพิสูจน์ที่ชัดแจ้งที่สุด แถมยาต้านพิษของฝ่ายตรงข้ามดีกว่าของทางฝ่ายเขาเสียอีก

          ขณะเดียวกันที่ด้านนอกของประตูสู่ทุกสรรพสิ่ง เหล่าคนจากสำนักเซียนหมื่นเวทต่างขมวดคิ้วงุนงง

          หวังลู่ได้ยาต้านพิษมาตั้งแต่เมื่อไร พวกเขาไม่เห็นจะรู้สักนิด! หนำซ้ำหวังลู่เอาเวลาที่ไหนมาคิดค้นยาต้านพิษกัน ในฉากพิษแมลงระบาดนี้ ทุกครั้งที่เริ่มต้นฉากใหม่ พิษจะแตกต่างกันไปตลอด แม้เขาจะได้เห็นกระบวนการทั้งหมดในการค้นค้นยาต้านพิษของจ้านจื่อเย่แล้วก็ตาม แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะย่นเวลาค้นคว้าได้มากถึงขนาดนี้ นอกเสียจากว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาที่มีทักษะสูงล้ำ ที่จะสามารถลดทอนสูตรปรุงยาได้ทันทีที่ชายตามอง ทว่า…

          แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มนี้ไม่อาจเดาได้ว่าหวังลู่ใช้วิธีสุดอำมหิต เมื่อมีวิชาไร้ลักษณ์ เขาจะสามารถป้องกันพิษทุกชนิดที่เข้ามาในร่างกาย! พิษกระแสน้ำทมิฬจากภูเขาฝั่งตะวันตกรุนแรงกว่าพิษแมลงหลายเท่า แต่ก็ยังไม่อาจทำอันตรายหวังลู่ได้สักนิด ดังนั้นการกลืนพิษแมลงลงไปจึงไม่ครณากายของเขาแม้เพียงน้อย

          ทว่าการกระทำครั้งนี้ได้สร้างความหวาดหวั่นให้ทั้งคนที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกโลกเสมือนจริง

          ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่รองเจ้าสำนักจะระงับอาการปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในจิตใจลงได้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถาม “เจ้ามียาต้านพิษจริงหรือ”

          หวังลู่ยิ้ม “คิดว่ายังไงล่ะ นี่เจ้าไม่รู้ถึงความร้ายกาจของพิษที่สำนักตัวเองสร้างขึ้นมางั้นหรือ”

          “…” เป็นอีกครั้งที่รองเจ้าสำนักเงียบไป “งั้นเจ้ามาทำอะไรที่นี่”

          “ไม่ต้องมาพาซื่อ ข้านำไพ่แห่งชัยชนะมาถึงฐานที่มั่นของสำนักเจ้า เดาไม่ออกหรือว่าข้าต้องการอะไร”

          “เจ้าจะมาเกลี้ยกล่อมให้เรายอมแพ้หรือ ฝันไปเถอะ!” รองเจ้าสำนักพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “เจ้าดูถูกข้ามากไปแล้วหากคิดว่าจะลวงข้าได้ด้วยคำพูดหวานหูสวยหรูของเจ้า…”

          “หุบปากเดี๋ยวนี้เจ้าโง่!” หวังลู่พูดขัดอีกฝ่ายอย่างไม่ปรานี เมื่อต้องเผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของรองเจ้าสำนัก หวังลู่ก็พูดขึ้นพร้อมสายตาที่เยือกเย็น “หวานหูสวยหรู? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าในวิกฤตพิษแมลงนี้ ความพ่ายพ่ายของสำนักเจ้าถูกกำหนดไว้แล้ว แต่เจ้ายังคิดว่ามันเป็นแค่คำพูดหวานหูสวยหรู พิษแมลงของเจ้าร้ายกาจก็จริง แต่ตราบใดที่มีการป้องกันที่มีเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ มันย่อมไม่ลุกลามจนกลายเป็นสถานการณ์ที่ควบคุมไม่อยู่ นี่ยังไม่พูดถึงยาต้านพิษที่อยู่ในตัวข้าอีกด้วย ไม่ช้าความวุ่นวายในประเทศนิลกาฬก็จะสิ้นสุดลง แล้วเจ้าคิดว่าสำนักมารของเจ้าจะต้านทานการโต้กลับเต็มประสิทธิภาพของประเทศเราได้นานแค่ไหนกัน”

          รองเจ้าสำนักอยากจะสบถความโกรธเกรี้ยวออกมาสักหลายคำ แต่แม้คำเดียวที่ติดอยู่ตรงปลายลิ้นเขาก็ไม่อาจพูดออกมาได้ เขาไม่ใช่คนโง่ และการหลอกตัวเองก็เป็นเรื่องยากไม่น้อย

          สุดท้ายแล้วเขาก็กลับมาถามคำถามเดิม “เจ้าต้องการอะไร”

          “…”

          สายตาเย้ยหยันเย็นชาของหวังลู่ทำให้รองเจ้าสำนักรู้สึกหวาดกลัวและหมดเรี่ยวแรง ในห้องส่วนตัวของรองเจ้าสำนัก ยังมีตาแก่หลังค่อมอยู่ด้วย ตาแก่ผู้นี้เป็นผู้ช่วยที่เขาไว้ใจที่จะแบ่งปันความลับได้

          “ถ้าเป็นเรื่องขออภัยโทษ เจ้าไม่ควรมาพบข้า ข้าไม่ใช่คนที่จะตัดสินอะไรได้”

          หวังลู่ยิ้ม “ในเมื่อข้ามาหาเจ้า เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการขออภัยโทษ offering amnesty. และสำหรับกลุ่มคนชั่วจากสำนักมารเช่นพวกเจ้า ข้าเองก็ไม่อาจขออภัยโทษให้ได้”

          “เช่นนั้นเจ้ามาที่นี่ทำไม” รองเจ้าสำนักเริ่มหัวเสียเล็กน้อย

          หวังลู่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่าสายตากลับฉายแววดูหมิ่นมากขึ้น “ความจริงแล้ว หากเจ้าลองมาเป็นข้า คงเดาเหตุผลของข้าได้ไม่ยาก ในการแก้ปัญหาวิกฤตพิษแมลง ข้าเป็นวีรบุรุษในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการป้องกันก่อนหน้านั้นหรือการพัฒนายาต้านพิษ พูดได้ว่าข้าเป็นคนที่ช่วยชีวิตผู้คนนับล้านในประเทศนิลกาฬ ถูกต้องไหม”

          รองเจ้าสำนักทำเสียงฮึดฮัดแต่ไม่ได้พูดอะไร

          หวังลู่กล่าวต่อ “ข้าจะเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้ช่วยให้รอด นักกวีจะร้องเพลงสรรเสริญข้า ผู้คนจะบูชาข้า เด็กสาวจะมองข้าเป็นชายหนุ่มที่น่าหลงไหล เป็นคนรักในฝัน ขณะที่เหล่าชายหนุ่มผู้ริษยาจะก้มหัวให้กับความฉลาดของข้า!”

          “นี่เจ้าพูดอวดตัวเองอยู่รึ”

          “ไม่ ข้าเพียงแค่จะถาม หากเจ้าเป็นจักรพรรดิของประเทศนิลกาฬ เจ้าจะรู้สึกอย่างไรกับวีรบุรุษเช่นข้า”

          รองเจ้าสำนักอึ้งไปเพียงครู่ก่อนที่เขาจะเดาได้ว่าจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของหวังลู่คืออะไร พักใหญ่ที่เขารู้สึกว่าสิ่งนี้ช่างไร้สาระ!

          หากเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าความสำเร็จของตัวเองจะทำให้ผู้เป็นนายสั่นคลอน ทำไมเจ้าถึงต้องกระทำการเสียเลิศเลอและทำตัวเป็นผู้ช่วยให้รอดด้วยเล่า ตอนนี้พอเจ้าเล่นบทวีรบุรุษเบื่อแล้ว เจ้าก็มาบ่นปอดแปดต่อหน้าศัตรูถึงถิ่น ไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องน่าขันบ้างหรือ

          เมื่อเดาออกว่ารองเจ้าสำนักรู้สึกอย่างไร หวังลู่ก็ยิ้มแล้วพูดต่อ “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอความเห็นอกเห็นใจหรือคำปลอบโยน ความจริงแล้วเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะปลอบโยนข้าได้ ต่อให้จักรพรรดิไม่พอใจข้ามากกว่านี้ เขาก็ไม่กล้าแตะต้องข้า เพราะข้าคือวีรบุรุษของประเทศ! ไม่เหมือนพวกเจ้าหรอกที่อยู่ในสถานะไม่มั่นคง!”

          รองเจ้าสำนักตะคอก “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”

          “ง่ายมาก อีกสามวันข้าจะเรียนเชิญองค์จักรพรรดิให้เสด็จมายังเมืองยอดเมฆาของข้า พอโอกาสมาถึงเจ้าต้องรีบลงมือ ข้าจะให้ข้อมูลที่จำเป็นกับเจ้า ข้ารู้เจ้าสามารถโน้มน้าวเจ้าสำนักของเจ้าได้”

          รองเจ้าสำนักไม่รู้สึกตกใจแต่กลับขบขัน “แล้วยังไง หลังจากที่เรากำจัดจักรพรรดิให้เจ้า เจ้าก็จะถอนรากถอนโคนเรา หลักจากนั้นเจ้าก็จะเหยียบกองกระดูกของพวกเราขึ้นไปสู่บัลลังก์!?”

          หวังลู่เกือบจะหัวเราะเสียงดังออกมา “สมองเจ้าสงสัยจะทำมาจากแป้งเปียก ข้าแค่จะถอนรากถอนโคนเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักคนอื่นๆ ส่วนเจ้า หลังจากหายนะในครั้งนี้ เจ้าจะต้องปฏิรูปสำนักและขึ้นเป็นเจ้าสำนักคนใหม่…”

          “สุนัขเจ้าเถอะ” รองเจ้าสำนักกล่าวเสียงเย็น “แม้ข้าจะไม่ฉลาด แต่ก็ไม่ได้โง่เช่นกัน”

          “ในเมื่อเจ้าไม่โง่ เช่นนั้นเจ้าย่อมต้องรู้ว่าเป็นสุนัขของข้ายังดีกว่าเป็นคนที่ตายแล้ว เจ้ากำความลับใหญ่หลวงของข้าไว้ ดังนั้นชีวิตของเราทั้งสองจึงเกี่ยวพันกัน นี่เป็นโอกาสเดียวที่เจ้าจะฉวยเอาไว้ได้”

          “หรือไม่งั้นข้าก็เก็บเจ้าไว้ที่นี่ตลอดกาล หากข้างนอกนั่นไม่มีเจ้า เราอาจมีโอกาสชนะก็เป็นได้”

          หวังลู่ยิ้ม “ในเมื่อข้ากล้ามาที่นี่ คิดว่าข้าจะกังวลเรื่องวิธีการของเจ้างั้นหรือ หากข้าอยากออกไป เจ้าก็ห้ามข้าไม่ได้ต่อให้เจ้าสำนักของเจ้าอยู่ที่นี่ก็เถอะ”

          ขณะพูด เขาก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว จู่ๆ ห้องทั้งห้องก็สั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว ค่ายกลที่รองเจ้าสำนักวางไว้ถูกทำลายโดยพลังที่รุนแรง!

          “เจ้า…” รองเจ้าสำนักมองฝ่ายตรงข้ามราวกับว่ากำลังเห็นภูตผี เขารู้ว่าเจ้าเมืองคนนี้มีตบะขั้นเพียงขั้นฝึกปราณ แต่ความสามารถในการทำลายค่ายกลดูท่าว่าจะดีกว่าเขาซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานระดับสูงเสียอีก!

          ทว่าเขาไม่รู้ว่าหวังลู่ไม่มีความอดทนพอที่จะวิเคราะห์หาวิธีทำลายค่ายกล เขาเพียงแค่ใช้พลังปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ดั้งเดิม ซึ่งเขาแอบแทรกเข้าไปในพลังโคจรของค่ายกลที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเขา ดังนั้น… ค่ายกลย่อมถูกทำลายลง

          เมื่อเห็นว่าวิธีใดๆ ก็ไม่ส่งผลต่อฝ่ายตรงข้าม รองเจ้าสำนักก็ใช้เวลาชั่งน้ำหนักตัวเลือกอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ตัดสินใจ “งั้นก็ได้ ข้าเอาด้วย”

          “เลือกได้ดี” หวังลู่พยักหน้า “จำไว้ว่า นักบวชจูหยางผู้นี้คือเพื่อนเก่าแก่ของเจ้า… อย่าลืมปิดปากผู้ใต้บังคับบัญชาเจ้าให้สนิทด้วยเล่า”

——

          สามวันต่อมา จักรพรรดิของประเทศนิลกาฬก็เสด็จมาเยือนเมืองยอดเมฆา ทั้งยังตรัสชมการจัดการที่โดดเด่นของเจ้าเมืองหวังลู่และยังมีพระดำรัสที่ลึกซึ้งกับประชาชนในเมืองด้วย  จากนั้นพระองค์ยังเมินเฉยต่อคำแนะนำของหวังลู่ และเสด็จไปเยี่ยมผู้ป่วยที่ติดพิษในเมืองชายขอบ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยเหล่านั้นปลาบปลื้มน้ำตาคลอ

          ไม่แปลกที่ผู้คนซึ่งรู้ตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างดีจะยิ้มหยันให้เหตุการณ์นี้ เมื่อครั้งที่การระบาดของพิษแมลงอยู่ในขั้นวิกฤต องค์จักรพรรดิกลับพระวรกายสั่นกลัวอยู่ในเมืองหลวง ทว่าตอนนี้เมื่อสถานการณ์ในเมืองยอดเมฆาคลี่คลายลง เขากลับเสด็จมาถึงที่เพื่อซื้อใจปวงประชา! ทว่าตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิ ราชา หรือเหล่าขุนนาง สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นจึงไม่มีใครแปลกใจอะไร หลังจากที่องค์จักรพรรดิเที่ยวเล่นและซื้อใจประชาราษฎร์จนพอพระทัยแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จกลับไปเอง

          แต่ทว่ากลับเกิดเรื่องร้ายขึ้น

          ระหว่างเสด็จกลับเมืองหลวง องค์จักรพรรดิกลับถูกคนจากสำนักมารจำนวนมากซึ่งนำโดยเจ้าสำนักลอบโจมตี คนร้ายสังหารทหารอารักขาของจักรพรรดิระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางอยู่ในหุบเขานิลกาฬ

          หากไม่ใช่เพราะหวังลู่ผู้เป็นเจ้าเมืองยอดเมฆาและทหารของเขามาช่วยเหลือได้ทันเวลา การโจมตีครั้งนี้คงจะกลายเป็นการสังหารหมู่ หลังจากที่สู้รบกัน เจ้าสำนักของสำนักมารและขุนพลทั้งหลายของเขาก็ถูกปราบ ทว่าเหล่าผู้คุ้มกันของประเทศนิลกาฬ ปรมาจารย์เซียนรวมทั้งหัวหน้าทหารอารักขากลับเคราะห์ร้ายถึงแก่ชีวิต ส่วนองค์จักรพรรดิบาดเจ็บสาหัสและสามวันให้หลังก็สิ้นพระชนม์ในเมืองหลวง ผู้ที่ต้องสืบทอดราชบัลลังก์เป็นเพียงองค์ชายอายุสามชันษา ทว่าหวังลู่ในฐานะผู้สำเร็จราชการกุมอำนาจที่แท้จริงไว้

          การเปลี่ยนขั้วอำนาจอย่างฉับพลันของประเทศนิลกาฬทำให้ทุกคนไม่ทันตั้งตัว ความจริงแล้วมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าก่อนที่จักรพรรดิจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้เรียกหวังลู่มาพูดคุยอย่างลับๆ

          การสมรู้ร่วมคิดกับสำนักมารเพื่อปลงพระชนม์จักรพรรดินั้น หวังลู่ไม่เคยทิ้งหลักฐานใดๆ เอาไว้ ทว่าคนใกล้ตายไม่ต้องการหลักฐาน เมื่อเผชิญกับคำถามของผู้เป็นจักรพรรดิ หวังลู่ก็ได้ยื่นข้อเสนอที่คนใกล้ตายคนใดก็ไม่อาจปฏิเสธได้

          “ทั้งชีวิตของข้า ข้าจะไม่มีภรรยา ไม่เป็นพ่อคน ไม่ทิ้งผู้สืบสกุลเอาไว้ สิ่งเดียวที่ข้าต้องการคือบัลลังก์ ไม่ใช่สิ่งอื่น และนี่คือคำสาบานของข้า พระองค์ไม่ต้องกังวลพระทัยไปว่าข้าจะไม่ยอมทำตาม”

          เมื่อต้องเผชิญกับเจ้าเมืองที่เจิดจ้าราวดวงอาทิตย์บนฟากฟ้า องค์จักรพรรดิก็ไม่มีทางเลือกอื่น

          เมื่อถึงจุดนี้ฉากโลกเสมือนจริงนี่ก็ดูเหมือนมาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ที่ด้านนอกของประตูสู่ทุกสรรพสิ่ง เหล่าผู้อาวุโสต่างพากันประหลาดใจ ที่ผ่านมาในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของฉากนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครได้เป็นจักรพรรดิ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีคนสามารถพิชิตบัลลังก์ของประเทศนิลกาฬได้อย่างง่ายดายในเวลาสั้นๆ หนำซ้ำยังตรงไปตรงมาและเป็นเหตุเป็นผล!

          “เช่นนั้นตามกฎที่ได้ตั้งเอาไว้ หากผู้ที่ติดพิษคนสุดท้ายในโลกเสมือนจริงตาย หวังลู่ก็สามารถประกาศชัยชนะได้” หยวนฉาวเหนียนถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจจะใช้อาวุธเซียนนี้สร้างความตื่นตกใจและความเกรงขามแก่สำนักกระบี่วิญญาณ ทว่าสุดท้ายแล้วเป็นพวกเขาต่างหากที่ต้องรู้สึกเกรงขามฝ่ายตรงข้าม

          ทว่าผ่านไปพักใหญ่ เมื่อหยวนฉาวเหนียนมองไปที่ความก้าวหน้าขั้นต่อไปของโลกเสมือนจริง เขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ นี่เขายังประเมินหวังลู่ต่ำไปอีกหรือนี่

          ในโลกเสมือนจริง หวังลู่ยึดอำนาจสูงสุดของประเทศนิลกาฬได้เป็นผลสำเร็จ จักรพรรดิองค์ใหม่วัยสามชันษาเป็นเพียงหุ่นเชิดที่เขาจูงจมูกได้ง่ายๆ ส่วนสำนักมารที่ต้องเผชิญกับความเสื่อมถอยครั้งใหญ่ก็อยู่ต่ออย่างไร้จุดหมาย ด้านพิษแมลงที่นำพาหายนะมาสู่ทั้งประเทศ…

          ตอนนี้ผู้ติดพิษแมลงคนสุดท้ายในประเทศถูกคุมขังอยู่ในค่ายกลที่หวังลู่จัดเตรียมไว้เป็นพิเศษในเมืองหลวง พิพิธภัณฑ์ที่ใช้ศัพท์ของคำว่าหายนะพิษแมลงอย่างสละสลวยเป็นชื่อถูกสร้างขึ้นในเมืองหลวงของประเทศนิลกาฬโดยมีการวางค่ายกลอยู่ที่ใจกลาง เพื่อไม่ให้ผู้คนลืมเลือนเรื่องนี้

          ทุกๆ วัน ซากศพเดินได้จะได้กินเนื้อสดๆ และมีผู้ทรงภูมิด้านอาคมหลายคนมาช่วยให้ร่างกายของมันไม่เน่าเปื่อย ในฐานะพาหะของพิษแมลง เจ้านี่ถือว่ามีชีวิตอย่างสุขสบายไม่น้อยทีเดียว!

          ทว่าคนที่อยู่ภายนอกประตูสู่ทุกสรรพสิ่งไม่รู้สึกสบายไปด้วย พวกเขาต่างสงสัยว่าเจ้าเด็กหวังลู่ต้องการจะทำอะไรกันแน่ เหตุใดจึงยังอ้อยอิ่งอยู่ในโลกเสมือนจริงอีกเล่า

          ในขณะเดียวกันที่วังหลวงของประเทศนิลกาฬ หลังจากประชุมขุนนางเรียบร้อย ระหว่างกำลังเดินกลับจวน ผู้สำเร็จราชการก็พลันถามคำถามทหารส่วนตัวที่สนิทที่สุดขึ้นมา

          “เสี่ยวหลี หากข้าบอกว่าทุกอย่างที่เจ้าได้เห็นได้รู้เป็นเพียงโลกเสมือนจริง เจ้าจะรู้สึกอย่างไร”

          ทหารส่วนตัวที่จงรักภักดีเสมอมานิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ “ข้าน้อยไม่รู้…”

          หวังลู่ยิ้ม “ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้”

 [1] คำว่านักบวชจูหยางในภาษาจีนคือ จูหยางเต๋า หรือจูหยางเต๋าเหริน แปลว่าชายผู้มีอวัยวะเพศขนาดใหญ่ได้ด้วย