ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 25.1 การโต้เถียงครั้งใหญ่ (1)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 25 การโต้เถียงครั้งใหญ่ (1) โดย Ink Stone_Fantasy

 

          ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งเป็นอาวุธเซียน อัตราความเร็วของเวลาภายในประตูนั้นแตกต่างจากด้านนอกประตู ตอนที่จ้านจื่อเย่ทำภารกิจได้สำเร็จ ในการรับรู้ของจ้านจื่อเย่เอง เขาต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่เวลาของคนภายนอกเพิ่งผ่านไปเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น

          แน่ละว่าตอนที่หยวนฉาวเหนียนดึงภาพจากในประตูออกมาสู่ภายนอก มันถูกเร่งความเร็วมากขึ้นเกือบหนึ่งพันเท่า หนำซ้ำเฉพาะผู้ที่มีพลังวิญญาณขั้นปฐมกล้าแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถอ่านข้อมูลที่เต็มไปด้วยรายละเอียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เคราะห์ดีที่ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นอะไรสำหรับผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่

          ทว่าครั้งนี้ที่การเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ของหวังลู่ยาวนานผิดธรรมดา เป็นเพราะเขาตั้งใจทำให้เหยื่อที่ติดพิษแมลงคนสุดท้ายยังมีชีวิตอยู่ ในฐานะผู้สำเร็จราชการของประเทศนิลกาฬ เขาใช้เวลาที่ล่าช้าออกไปในโลกเสมือนจริงนี้สร้างที่ทำการที่กินเวลาขึ้นมา

          จากนั้นวันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีกลุ่มนักเดินทางประหลาดปรากฏตัวขึ้นในประเทศนิลกาฬ

          พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแปลกตา พูดภาษาแปลกหู และแต่ละคนก็มีอาคมวิเศษแตกต่างกันไป แต่พวกเขามีบางอย่างที่เหมือนกัน

          คนพวกนี้อ้างว่าที่นี่คือโลกในฝัน และพวกเขาเป็นผู้ที่เข้ามาเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์จากนอกโลก

          ในการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ พวกเขาไม่ได้มองว่าผู้คนในโลกนี้เป็นคน จึงมักฆ่าคนที่อยากฆ่าอย่างโหดเหี้ยม และกลายเป็นพวกโจรและคนนอกกฎหมายที่เข่นฆ่าผู้คนเพื่อชิงสมบัติ ที่ร้ายยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่าสำนักมารก่อนหน้านี้ หนำซ้ำแต่ละคนล้วนมีนางบำเรอจำนวนไม่น้อย ทุกครั้งที่เจอผู้หญิงถูกใจ ก็จะตรงเข้าข่มขืนในทันที

          การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ในตอนแรกดูคล้ายงานรื่นเริงของผู้ป่วยทางจิต ทว่าต่อมาพวกเขากลับสร้างปัญหาทุกรูปแบบ ไม่ว่าความคิดของพวกเขาจะพิกลพิการเพียงใด แต่ว่าพละกำลังนั้นเป็นของจริง หนำซ้ำแต่ละคนยังมีโชคมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นโดดลงมาจากหน้าผาแต่ยังรอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แค่กินมันหวานเข้าไปทักษะที่มีก็เฉียบคมขึ้น แม้แต่อาบน้ำอยู่ในแม้น้ำยังได้เจอบุตรสาวของตระกูลสูงส่งที่กำลังอาบน้ำอยู่ แถมยังสามารถแต่งลำนำรักได้ในทันทีทันใด!

          ผู้สำเร็จราชการไม่ได้ปรานีคนเหล่านี้ เขาออกคำสั่งไปยังข้าราชการท้องถิ่นให้สังหารได้ทันทีที่เจอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเอาชนะผู้สำเร็จราชการที่ปราบมหันต์ภัยร้ายให้หมดไปจากประเทศได้ พวกเขาจึงถูกสังหารไปทีละคนสองคน ทว่านักท่องเที่ยวเหล่านี้ดูราวกับว่าไม่สนใจชีวิตตัวเอง ขณะเผชิญกับความสิ้นหวัง หลายคนเพียงแค่ทำหน้าเสียดายราวกับอยากพูดว่า ‘โธ่เอ๊ย เสียดายชะมัด ข้ายังไม่หนำใจกับการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้เลย’

          ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ วิธีที่รุนแรงของผู้สำเร็จราชการไม่อาจกำจัดนักท่องเที่ยวเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ช้านิสัยอันแปลกประหลาดของคนเหล่านี้ก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าเป็นผลมาจากอาการป่วยทางจิตอีกต่อไป ชาวบ้านต่างพากันอยากรู้แหล่งที่มาของคนพวกนี้ และทฤษฎีโลกแห่งความฝันของพวกเขาก็เริ่มมีอิทธิพลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะที่ถึงแม้ทฤษฎีนี้จะฟังดูไร้สาระและแปลกประหลาด แต่ก็ดูสอดคล้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างดี!

          ในสายตาของเหล่าคนที่อ้างว่าเป็นนักท่องเที่ยว ประเทศนิลกาฬเป็นเพียงประเทศในโลกแห่งความฝัน โลกที่แท้จริงนั้นกว้างใหญ่กว่านี้มาก เจ้าสำนักมารคนก่อนที่ลึกลับและน่าเกรงขามเหลือคณานับและครั้งหนึ่งเคยทำให้ประเทศนิลกาฬตกอยู่ในหายนะมาแล้วก็เป็นเพียงเบี้ยตัวเล็กๆ ในโลกแห่งความจริง สำหรับนักท่องเที่ยวเหล่านั้น พวกเขามาที่นี่เพื่อหาเรื่องสนุกทำ แล้วโศกนาฏกรรมและการกระทำที่ไร้เหตุผลมากมายที่พวกเขาก่อขึ้นเล่า หึ ใครจะสนกันว่าโลกในความฝันจะย่อยยับหรือเปล่า! แล้วการตายของพวกเขาเล่า พวกเขาก็แค่ต้องตื่นขึ้น ก็หมดเรื่องแล้ว!

          การแพร่ขยายของทฤษฎีนี้ทำให้ผู้คนต่างพากันเสียขวัญ ในเรื่องนี้นั้น คำสั่งของวังหลวงเพียงอย่างเดียวไม่อาจช่วยได้ ดังนั้นผู้สำเร็จราชการจึงตั้งกลุ่มนักปราชญ์ที่มีความรู้กว้างขวางขึ้นมาในทันทีเพื่อพิสูจน์ปัญหาสำคัญ นั่นคือจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าโลกนี้มีอยู่จริง

          คำถามอภิปรัชญาเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมไม่มีวิธีพิสูจน์ แม้บางคนจะแพร่ความเชื่อที่ว่า ‘ข้าคิด ข้าจึงมีอยู่’ ออกไปเพื่อสร้างความเชื่อมันต่อมวลชนว่าพวกตนมีตัวตนจริงๆ ทว่า… ผู้สำเร็จราชการกลับปัดความคิดนี้ทิ้งไปด้วยคำพูดประโยคเดียว

          “ใครเป็นคนกำหนดว่าการคิดต้องมีสื่อกลางด้วย”

          “ลำพังแค่ความคิดไม่จำเป็นต้องมีตัวผู้คิดก็ได้ หากเราอยู่ในโลกแห่งความฝันจริงๆ ไม่แน่ว่าความคิดของพวกเราทั้งหมดอาจจะเป็นเพียงความคิดของคนที่กำลังฝันอยู่ก็ได้”

          ในเมื่อไม่มีคำพูดที่น่าเชื่อถือได้ นักปราชญ์เหล่านี้จึงทำได้เพียงศึกษาและหารือกันจนกว่าจะได้ข้อสรุป ขณะที่การถกเถียงครั้งใหญ่นี้เริ่มแพร่ขยายไปทั่วประเทศ ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกร้อนอกร้อนใจ

          หากว่ากันตามทฤษฎีแล้ว การมีอยู่ของโลกนี้ก็น่าจะเป็นหลักฐานด้วยตัวมันเอง แต่วิธีที่จะแสดงให้เห็นว่าความคิดนี้ไม่จริงนั้นง่ายมาก นั่นคือเมื่อใดที่มีปรากฏการณ์หรือสิ่งที่ไม่เป็นไปตามกฎธรรมชาติของโลกนี้ เช่นนั้นก็จบ

          ดังนั้นเมื่อไม่มีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือ และมีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปรากฏตัวขึ้นของเหล่านักเดินทางก็เหมือนเป็นค้อนหนักๆ ที่ทุบลงมายังใจกลางของโลกนี้ แล้วจะไม่ให้ผู้คนสงสัยว่าโลกนี้เป็นของจริงหรือไม่ได้อย่างไร

          แน่นอนว่าผู้คนที่ถกเถียงในเรื่องนี้ย่อมไม่รู้ว่าพวกที่เรียกว่านักเดินทางนั้นเป็นเพียงกลลวงของสำนักมารที่ทำตามคำสั่งของหวังลู่ ทว่าไม่ช้า แม้แต่พวกคนชั่วเหล่านี้ก็เริ่มสงสัยเช่นกันว่าโลกนี้เป็นของจริงหรือไม่

          ในช่วงเวลานี้ ลัทธิมารจำนวนนับไม่ถ้วนก็กำเนิดขึ้น พวกเขาสมคบคิดกับเหล่านักเดินทางและเริ่มเผยแพร่ถึงความสวยงามของโลกจริงอย่างต่อเนื่อง

          “ในโลกแห่งความจริง หัวหน้าของประเทศนั้นมาจากการเลือกของประชาชน แม้แต่จักรพรรดิหรือราชา ต่อหน้าผู้คนแล้วพวกเขาต้องถ่อมตนและรอบคอบ และเหล่าข้าราชการก็ต้องเอาอกเอาใจพวกชาวบ้าน เพราะพวกชาวบ้านอาจเขี่ยคนพวกนั้นออกจากตำแหน่งเมื่อไรก็ได้”

          “ในโลกแห่งความจริง ชาวบ้านไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินค่ารักษาตัวหรือจ่ายเงินเพื่อให้ได้เล่าเรียน ทางการเป็นคนจ่ายให้ทั้งหมด หนำซ้ำผู้ใหญ่ทุกคนยังได้บ้านจากทางการเปล่าๆ อีกด้วย”

          “ในโลกแห่งความจริง…”

          แน่นอนว่าคนเหล่านั้นย่อมต้องถูกต่อต้านรุนแรง

          “เจ้าอยากไปอยู่ในโลกแห่งความจริงนักใช่ไหม เช่นนั้นทำไมไม่ฆ่าตัวตายไปเสียเล่า ทันทีที่ตาย เจ้าจะได้ตื่นจากฝันไง!”

          “พวกสวะชอบพูดจาเรื่อยเปื่อยเกินจริง!”

          “อย่าบังอาจลบหลู่โลกนี้นะ!”

          ละครตลกที่มีผู้ชักใยที่แข็งแกร่งและทรงพลังอยู่เบื้องหลังเริ่มควบคุมไม่ได้มากขึ้น ไม่ว่าต้องการหรือไม่ ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงปัญหานี้ไปได้

          โลกนี้เป็นของจริงแน่หรือ

          ปัญหานี้ไม่ได้ถกเถียงกันในหมู่นักปราชญ์ชั้นผู้ใหญ่ แต่ตั้งแต่เหล่าขุนนางที่ทรงอำนาจไปจนถึงชนชั้นล่างต่างพากันพูดถึงเรื่องนี้อยู่ทุกวี่ทุกวัน แน่ละว่าไม่มีใครตอบได้ แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเพียงอยากให้พวกเขาเฉลียวขึ้นมาก็เท่านั้น

          ตราบใดที่พวกเขาคิด พวกเขาก็จะตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว นั่นเพราะ… โลกนี้นั้นไม่อาจทนต่อการตรวจสอบได้

          ในเวลาเดียวกันที่ด้านนอกของประตูสู่ทุกสรรพสิ่ง สีหน้าของหยวนฉาวเหนียนเริ่มเคร่งเครียดขึ้น เขาไม่เคยต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน!

…………………………………………..