ตอนที่ 25 การโต้เถียงครั้งใหญ่ (2) โดย Ink Stone_Fantasy
ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งจำลองสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบ ในโลกเสมือนจริงนี้ ผู้คนแต่ละคนล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ล้ำหน้ากว่าวิชาเปลี่ยนสภาพที่น่าอัศจรรย์ของพลังวิญญาณขั้นปฐมของเหล่าปรมาจารย์ขั้นเปลี่ยนวิญญาณ นี่ละคือความทรงพลังของอาวุธเซียน
ความจริงแล้วหลักการของประตูสู่ทุกสรรพสิ่งคือการขัดเกลาวัตถุดิบเพื่อใช้แทนที่พลังวิญญาณขั้นปฐมที่เหนือกว่าขั้นเปลี่ยนวิญญาณ เพื่อที่จะแบ่งแยกมันออกเป็นชุดความคิดนับไม่ถ้วน จนกลายเป็นผู้คนจำนวนมหาศาลในโลกเสมือนจริง โลกเสมือนจริงและผู้คนในนั้นหลอมรวมกันและพัฒนาขึ้นเป็นโลกของทุกสรรพสิ่ง และโลกของความหลายหลายก็อุบัติขึ้น จากนั้นเหล่าศิษย์ก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ข้างในนั่น
ทว่าวิวัฒนาการเช่นนี้ไม่อาจทดแทนโลกแห่งความจริงได้ และความคิดที่แตกต่างหลากหลายในประตูสู่ทุกสรรพสิ่งก็ไม่อาจเทียบได้กับความคิดของมนุษย์จริงๆ แม้มันจะเป็นอาวุธเซียน มันก็ไม่อาจจะปั้นแต่งโลกที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ ความจริงแล้วมีเพียงโลกที่อยู่รอบตัวศิษย์ที่เข้าไปเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ท่านั้นที่ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งอนุมานออกมาได้อย่างเต็มที่ โลกในส่วนที่เหลือจะไร้ความรู้สึกนึกคิดและใช้ชีวิตซ้ำเดิมไปทุกวัน
ทว่าตอนนี้หวังลู่ได้ปลุกเร้าให้ทุกคนในโลกเสมือนจริงคิดถึงปัญหาใหญ่ของประตูสู่ทุกสรรพสิ่งเข้าแล้ว!
ในเวลาเพียงสั้นๆ หยวนฉาวเหนียนผู้ดูแลประตูสู่ทุกสรรพสิ่งก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าประตูสู่ทุกสรรพสิ่งนั้นทำงานหนักเกินขีดจำกัดแล้ว
“พอได้แล้ว”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสก็ตัดสินใจได้ เขาเดินเข้าไปเปิดประตู ตั้งใจขัดขวางโลกเสมือนจริงที่อยู่อีกฝั่ง
ทันใดนั้นเอง ภายในโลกเสมือนจริง เหล่าผู้คนที่กำลังโต้เถียงถึงการมีอยู่จริงของโลกใบนี้ก็ได้รับคำตอบที่สงสัยมานาน ถูกแล้ว โลกนี้เป็นของปลอม
ดังนั้นทันทีที่ตื่นจากฝัน พวกเขาก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นด้วยกฎที่โหดเหี้ยม
ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา ตั้งแต่ที่มันถูกสร้างขึ้น มันไม่เคยถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายเช่นนี้มาก่อน ทันทีที่ประตูเปิดออกอย่างช้าๆ ก็ปรากฏรอยแตกอยู่ที่บานประตู หยวนฉาวเหนียนที่เห็นรอยแตกนี้กัดฟันแน่นเข้าไปใหญ่ สิ่งที่ถือเป็นอาวุธเซียนที่ยิ่งใหญ่ไม่มีสิ่งใดเหมือนสำหรับเขาเกิดความเสียหายเพราะถูกขัดจังหวะกลางคัน แม้ความเสียหายที่ว่าจะไม่รุนแรง แต่ก็สามารถสร้างรอยแผลในใจผู้คนได้
หลังจากที่ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งถูกเปิด หวังลู่ก็เดินตัวปลิวออกมา เขาพูดด้วยสีหน้าที่แสดงให้เห็นว่ายังไม่พร้อมให้เรื่องนี้จบลง “ยังไม่ดีเท่าไร!”
‘ไม่ดีบิดาเจ้าสิ!’ หยวนฉาวเหนียนคำรามลั่นในใจ เขาอยากจะตีเจ้าเด็กนี่จนถึงตายเหลือเกิน!
ความเสียหายของประตูทุกสรรพสิ่งที่เกิดจากน้ำมือหวังลู่ทำให้คำถามที่ว่าโลกนี้เป็นของจริงหรือไม่กลายเป็นคำถามจิ๊บจ๊อยไปเลย คำถามที่จริงจังก็คือ หลังจากเหตุการณ์นี้ ไม่แน่ว่าศิษย์สำนักเซียนหมื่นเวทอาจไม่ได้ใช้ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งเพื่อการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์แล้วก็เป็นได้
ทว่าหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความโกรธของหยวนฉาวเหนียนก็มลายไป ใบหน้าของเขาแสดงสีหน้าเคร่งขรึมแทน
อย่างที่หวังลี่พูด ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งนี้…แท้จริงแล้วเป็นเพียงของเล่นระดับสูง หนำซ้ำ หวังลู่ที่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณตัวเล็กๆ ก็ยังสามารถเล่นได้อย่างไร้ที่ติ เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งของพรรค์นี่จะแบกรับความรับผิดชอบใหญ่หลวงในการฝึกฝนเหล่าศิษย์ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ที่สำนักเซียนหมื่นเวท พวกเขาทดสอบสิ่งนี้เป็นสิบๆ ครั้ง และคิดว่ามันไร้ช่องโหว่ แต่ความจริงแล้ว… มันยังไม่เคยเผชิญหน้ากับคนที่น่ากลัวมากพอต่างหาก เช่นนั้นหากพวกเขายังใช้ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งฝึกฝนเหล่าศิษย์ พวกศิษย์จะต้องพ่ายแพ้ยามที่ลงจากเขามาพบเจอโลกแห่งความจริงแน่นอน
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมและเคลือบแคลงใจของหยวนฉาวเหนียน หวังลู่ก็หัวเราะขำพลางพูดขึ้น “โธ่ ผู้อาวุโส ไม่ต้องเศร้าสลดใจถึงเพียงนั้นหรอก ถึงแม้มันจะเป็นเพียงของเล่น หากใช้อย่างเหมาะสม มันก็ให้ผลที่ดีไม่น้อย ตัวอย่างเช่น ข้ามาคิดดูแล้วมีอีกหลาย…”
สำหรับหยวนฉาวเหนียน คำพูดปลอบประโลมเช่นนั้นช่างบาดหูเหลือเกิน ผู้อาวุโสขั้นเปลี่ยนวิญญาณรีบพูดขัดหวังลู่ “พอที ข้ายอมรับแล้วว่าเจ้ามีทักษะไม่น้อย คิดเสียว่าเราแค่ ‘สาธิตทักษะเล็กน้อยต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ’ แล้วกัน หลังจากนี้หากมีโอกาสเราจะขอคำชี้แนะเอง”
พูดจบ เขาก็โบกมือเรียกศิษย์สำนักเซียนหมื่นเวทกลับเข้าไปในห้องโดยสารของเรือคลื่นเมฆาไป ทิ้งให้เหล่าผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณยืนตากลมอยู่ ณ จุดเดิม
ทว่าคนของสำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้ใส่ใจอะไร ทันทีที่พวกเขาลงจากเรือ ทุกคนก็ต่างยิ้มและหัวเราะออกมา
ระหว่างทาง ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างชื่นมื่น
หลิวเสี่ยนกล่าวขึ้น “ฮ่าๆ ครั้งนี้คนของสำนักเซียนหมื่นเวทคงขมขื่นใจจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว”
ฮว๋าอี้พูดอย่างพึงพอใจ “พวกเขาสมควรแล้ว! แทนที่จะอวดอย่างอื่น พวกเขากลับเลือกอวดสิ่งนี้ แถมยังมาอวดต่อหน้าหวังลู่ ข้ายังจำเรื่องที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านดอกท้อเมื่อห้าปีก่อนได้ไม่ลืมเลย!”
ลู่หลีประสานเสียงขึ้นมา “จริงด้วย ตอนนั้นแม้สิ่งที่อาวุโสห้าเตรียมไว้จะเทียบกับประตูสู่ทุกสรรพสิ่งไม่ได้ แต่ต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน การให้หวังลู่ทดสอบอะไรเช่นนี้นั้นช่าง… โชคดีที่หยวนฉาวเหนียนว่องไวพอ ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่าพวกเขาคงรักษาประตูสู่ทุกสรรพสิ่งไว้ไม่ได้แล้ว”
ฟางเฮ่อกล่าวเสียงเข้ม “ทว่าหากมองในแง่กลยุทธ์ อาวุธเซียนเช่นประตูสู่ทุกสรรพสิ่งนี้ถือว่าเยี่ยมยอด ในมุมนี้เราทำได้แค่เพียงอ้าปากมองดูพวกเขา”
สีหน้าของลู่หลีหม่นหมองลง “ขอบคุณสำหรับคำตักเตือนศิษย์พี่สาม ข้าจะทำงานให้หนักต่อไป”
ฟางเฮ่อส่ายศีรษะ “ศิษย์น้องหก ข้าไม่ได้ว่าเจ้า นี่คือความสามารถพิเศษของสำนักเซียนหมื่นเวท เราไม่อาจเทียบกับพวกเขาได้และไม่จำเป็นต้องเทียบ”
หลิวเสี่ยนเห็นด้วย “ใช่แล้ว ข้าจำได้ครั้งหนึ่งท่านปฐมอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าความแตกต่างระหว่างคนกับลิงอยู่ที่ความสามารถในการใช้เครื่องมือ และความแตกต่างระหว่างมนุษย์ปุถุชนและผู้บำเพ็ญเซียน…อยู่ที่ความสามารถในการใช้ประโยชน์ตนเอง พลังของมนุษย์ปุถุชนนั้นจำกัด พวกเขาไม่อาจไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากภายนอก ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนนั้นต่างออกไป การอุทิศตนให้กับศาสตร์เฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ใช่วิธีที่ถูกในการบำเพ็ญเซียน”
ลู่หลีถาม “พูดถึงเรื่องถูกไม่ถูก ทั้งสองสำนักจะประลองกันในไม่กี่วันแล้ว กฎของการประลองเป็นอย่างไรบ้าง”
หลิวเสี่ยนตอบ “เจ้าคิดว่าอย่างไร งานทั้งหมดนี่อยู่ในการดูแลของศิษย์น้องหญิงห้า นางให้ข้าดูกฎที่ว่าแล้ว ไม่ได้มีเนื้อหาด้านกลวิธีมากมาย แต่ก็ไม่ได้เปิดช่องให้ใช้เล่ห์กลมากนัก การประลองครั้งนี้ไม่ซับซ้อน เป็นการแข่งขันในลานประลอง”
ลู่หลียิ้ม “อ้าว ไม่สมกับเป็นนางเลยแฮะ”
“หึ นางอาจจะตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ก็ได้ แม้ในการแข่งที่ไม่มุ่งเน้นกลวิธี ก็ยังสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมได้”
ขณะพูด หลิวเสี่ยนมองไปยังเหย่ยวิน เยวี่ยซินเหยาและศิษย์คนอื่นๆ ที่กำลังพูดคุยกับหวังลู่อยู่
สีหน้าของเขามีทั้งพึงพอใจและสิ้นหวัง ทว่าความพึงพอใจนั้นเด่นชัดกว่าความสิ้นหวังหลายเท่านัก
…………………………………………….