ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 26 ระยำ! กลับไปเอาคบไฟมาให้ข้าด้วย!

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 26 ระยำ! กลับไปเอาคบไฟมาให้ข้าด้วย! โดย Ink Stone_Fantasy

 

          หลังจากเหตุการณ์ประตูสู่ทุกสรรพสิ่ง ผู้อาวุโสและศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทก็ไม่ลงจากเรือคลื่นเมฆาเลยตลอดทั้งวัน

          พวกเขาเดินทางมาอย่างฮึกเหิมนับพันๆ ลี้จากชายแดนแคว้นตะวันออก หลังจากถูกมอบหมายจากคนของสำนักให้มาตบหน้าสำนักกระบี่วิญญาณ ในตอนแรกพวกเขารู้สึกอิ่มเอมใจเพราะมั่นใจในความสามารถของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม โชคร้ายที่พอมาถึง พวกเขากลับประสบกับเหตุการณ์ ‘กลายเป็นตัวตลก’ ในพิธีต้อนรับ เพราะความไม่รอบคอบทำให้พวกเขาต้องอับอาย ศิษย์ของสำนักกลายเป็นเพียงวัยรุ่นที่ไม่ได้ความ แถมยังต้องพ่ายแพ้อีกครั้งให้กับการแข่งขันในงานเลี้ยงอาหารตอนเย็นที่ชัยชนะควรตกเป็นของพวกเขา อาจพูดได้ว่าพวกเขาอยู่ในสภาพที่อับจนหนทาง ในการพยายามที่จะพลิกสถานการณ์ ผู้อาวุโสถึงกับยอมเผยประตูสู่ทุกสรรพสิ่งให้อีกฝ่ายได้เห็น ทว่าสุดท้ายแล้ว นอกจากไม่เพียงไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้สำเร็จ สภาพจิตใจของพวกเขากลับย่ำแย่เข้าไปใหญ่ เมื่อหวังลู่จัดการสิ่งต่างๆ ในประตูสู่ทุกสรรพสิ่งได้อย่างชาญฉลาดและง่ายดาย แม้กระทั่งศิษย์พี่ใหญ่ในหมู่เด็กรุ่นใหม่ของสำนักเซียนหมื่นเวทยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความมั่นใจต่อหน้า ‘ดอกไม้พิศวง’ นี่แม้แต่น้อย ยิ่งมิต้องพูดถึงศิษย์ที่เหลือคนอื่นๆ เลย

          คืนนั้นคนจากสำนักเซียนหมื่นเวทนอนในเรือคลื่นเมฆาเพราะไม่มีหน้าออกไปเหยียบดินแดนของสำนักกระบี่วิญญาณอีก พวกเขาจึงจำต้องนอนอย่างสงบในเรือคลื่นเมฆานั่นเอง

          ทว่าแม้ค่ำคืนจะยาวนาน แต่กลับไม่มีใครหลับลงสักคน เหล่าผู้อาวุโสต่างพูดคุยกันทั้งคืน ส่วนศิษย์ทั้งห้าเอาแต่นั่งถอนหายใจอยู่ที่ห้องโดยสารด้านนอกห้องนอน ขวัญและกำลังใจของพวกเขาตกต่ำถึงขีดสุด

          “ข้ายังคิดไม่ออกเลยว่าเขารอดจากพิษแมลงมาได้ยังไง” เจ้าเจียงยวันยังคงขุ่นเคืองใจ “ไม่ว่าจะมองมุมไหน เขาก็ไม่อาจรอดมาได้หากไม่ตุกติก ว่าไหม”

          ลู่เชียนไฉ่ย้อนเสียงอ่อย “เขาอยู่ในประตูสู่ทุกสรรพสิ่งของสำนักเรา หนำซ้ำอาจารย์และท่านลุงก็จับตาดูอยู่ แล้วเจ้าจะอธิบายได้ไหมว่าเขาโกงได้ยังไง”

          เจ้าเจียงยวันอับจนคำพูด ทว่าสีหน้ายังคงแสดงอาการขุ่นเคืองอยู่ ผ่านไปพักใหญ่ บางคนก็ตั้งข้อสันนิษฐานขึ้นมา

          “เจ้าหวังลู่นั่นทรงพลังมาก เขาอยู่ในขั้นฝึกปราณจริงหรือเปล่าเถอะ ระยำเอ๊ย! หากผู้อาวุโสของสำนักกระบี่วิญญาณเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกให้กับเขาเล่า”

          ครั้งนี้แม้แต่เย่เฟยเฟยก็ไม่อาจทนได้อีก “เจ้าเจียงยวัน เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง เจ้าเอาความคิดไร้สาระนี่มาจากไหนกันเนี่ย”

          “แต่…”

          มาถึงตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ก็พูดออกมา “พอได้แล้ว เจ้าหวังลู่นั่นแข็งแกร่งจริงๆ ไม่ต้องพูดเป็นอื่นอีกแล้ว”

          เจ้าเจียงยวันเชิดศีรษะขึ้น “ฮ่ะ เจ้าเด็กขั้นฝึกปราณที่ชำนาญเรื่องเล่ห์กลและวิธีตุกติกจะแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้อย่างไร เขาก็ดีแค่ตรงที่มีทักษะที่ไม่เหมือนใครก็เท่านั้น”

          ครั้งนี้ไม่มีใครคัดค้านคำพูดของเขา ลึกๆ ในจิตใจของทั้งจ้านจื่อเย่ เย่เฟยเฟย ลู่เฉียนไช่ต่างก็ชอบคำอธิบายนี้ทั้งนั้น

          ความจริงแล้วไม่ว่าหวังลู่จะเฉลียวฉลาดเพียงใด มันก็ไม่อาจลบล้างจุดอ่อนเรื่องตบะขั้นบำเพ็ญเซียนของเขาได้… แม้ศิษย์จากสำนักเซียนหมื่นเวทจะโด่งดังเรื่องความสามารถด้านวิชาการและมักคิดเสมอว่าเป็นเรื่องน่าละอายที่จะใช้ขั้นบำเพ็ญเซียนที่สูงกว่าเหยียบหัวผู้อื่น แต่ครั้งนี้พวกเขาทนไม่ได้อีกต่อไป ต่อให้น่าละอายก็ช่างหัวมันปะไร!

          “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิง ข้าว่าเราน่าจะต้องเปลี่ยนมุมมองของปัญหานี้”

          ไห่อวิ๋นฟานทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าเจียงยวันเอ่ยคำพูดสุดท้ายออกมาและดึงความสนใจของทุกคนไว้ได้

          ในฐานะน้องเล็กสุดของสำนักเซียนหมื่นเวทในที่นี้ การบำเพ็ญเซียนของไห่อวิ๋นฟานนั้นไม่ได้โดดเด่น ทว่าในเมื่อผู้อาวุโสเลือกเขาให้ร่วมคณะในครั้งนี้ด้วย เขาย่อมมีความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัย

          “ข้าจำได้ว่าที่สำนักเซียนหมื่นเวทของเรา ผู้อาวุโสมักสอนให้เรามองปัญหาด้วยใจที่เปิดกว้าง ข้าว่าคำพูดเหล่านั้นไม่เพียงใช้ได้กับเรื่องทางวิชาการ มันยังใช้กับคนได้ด้วย ในฐานะศัตรู หวังลู่นับว่าน่ารำคาญไม่น้อย แต่ทำไมเราต้องมองว่าเขาเป็นศัตรูด้วยเล่า ความจริงแล้วในทางทฤษฎี การมาเยือนสำนักกระบี่วิญญาณของเราครั้งนี้ควรจะเป็นการพบปะกันฉันท์เพื่อนและส่งเสริมความเป็นมิตรระหว่างกัน”

          เจ้าเจียงยวันบ่นออกมา “แต่ผู้อาวุโสก็บอกเองไม่ใช่หรือว่าถ้ามีโอกาสเราควรพยายามเอาชนะพวกเขา เราก็เลยทำตามคำที่ผู้อาวุโสบอก พวกป่าเถื่อนเหล่านี้น่ะ…”

          ไห่อวิ๋นฟานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “แต่ดูท่าแล้วตอนนี้เราไม่มีโอกาสชนะ เราแพ้สามครั้งรวด ต่อให้เอาชนะในการประลองได้ แล้วอย่างไรเล่า เราก็ยังแพ้สามต่อหนึ่งอยู่ดี”

          เจ้าเจียงยวันขมวดคิ้ว “ศิษย์น้อง เจ้านี่เข้าข้างฝ่ายตรงข้ามเรื่อยเลยนะ”

          “ศิษย์พี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่จะพูดว่าในเมื่อความพยายามที่จะอยู่เหนือพวกเขามันยากนัก เช่นนั้นทำไมถึงไม่ละทิ้งเป้าหมายที่ไม่สมจริงไปเสียเล่า ผู้อาวุโสแนะนำเราเช่นนั้นก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะในที่ประชุม สำนักเซิ่งจิงบอกให้เราทำเช่นนั้นต่างหาก ดังนั้นแล้วทำไมเราจึงต้องพัวพันลงลึกเพียงเพราะคำพูดของพวกเศรษฐีใหม่ด้วยเล่า”

          สีหน้าของเจ้าเจียงยวันสดใสขึ้นทันที “พอเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่าโล่งใจไปไม่น้อย เราไม่จำเป็นต้องโหมร่างแทบตายเพื่อพวกเศรษฐีใหม่เสียหน่อย”

          ไห่อวิ๋นฟานยิ้ม “หนำซ้ำจากมุมมองของนักปราชญ์อย่างเรา หวังลู่คนนี้นั้นไร้เทียมทาน แม้เขาจะมีขั้นตบะไม่สูงนัก แต่จุดแข็งของเขาก็เด่นชัด แทนที่จะหลับหูหลับตาปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นศัตรู เราควรที่จะอุดข้อบกพร่องของเราด้วยการเรียนรู้จากจุดแข็งของผู้อื่น เกาหลังให้แก่กันเพื่อที่จะได้พูดคุยกัน และข้าเชื่อว่าเขาเองก็ต้องสนใจความพิเศษของสำนักเซียนหมื่นเวทของเราด้วยแน่”

          ทุกคนต่างมองหน้ากันและรู้สึกว่าที่ไห่อวิ๋นฟานพูดนั้นมีเหตุผล

          “พูดอีกอย่างก็คือ หากหวังลู่ไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณแต่เป็นศิษย์ของสำนักเซียนหมื่นเวทแทน พวกท่านไม่อยากเป็นเพื่อนกับเขาหรือ” หลังจากเว้นช่วงไป เสี่ยวไห่ก็พูดต่อ “ข้าได้ยินมาว่าเขามีแหล่งขุมพลังของตัวเองและมีเงินไม่น้อยเลย”

          “หึ เศรษฐีใหม่อีกเจ้าแล้ว” ศิษย์มากพรสวรรค์ทั้งหลายตอบกลับอย่างดูแคลน ทว่าไห่อวิ๋นฟานกลับเห็นว่าคนพวกนี้มีท่าทางตื่นเต้นไม่น้อย อย่างไรเสียใครกันจะไม่อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าถิ่นที่ร่ำรวย แม้แต่นักปราชญ์ก็ยากที่จะทัดทานสิ่งล่อใจนี้

          แน่นอนว่าเท่านี้ยังไม่พอ ดังนั้นหลังจากชั่งน้ำหนักอยู่ครู่ใหญ่ ไห่อวิ๋นฟานก็หงายไพ่ในมือออก

          “หนำซ้ำหากเรามีความสัมพันธ์อันดีกับหวังลู่ เราก็สามารถสร้างความสัมพันธ์กับศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักกระบี่วิญญาณผ่านได้ อย่างเช่น หลิวหลี ศิษย์ผู้สืบทอดอีกคนไง”

          ทันทีที่พูดประโยคนี้ ไห่อวิ๋นฟานก็รู้สึกยินดียิ่งนักที่ได้เห็นแวววตาสนอกสนใจศิษย์พี่ใหญ่

          “หรือไม่ก็เยวี่ยซินเหยา ศิษย์สำนักชั้นนอกที่สุภาพและอ่อนหวาน”

          คราวนี้ประกายความสนใจก็สว่างวาบในดวงตาของลู่เฉียนไช่

          “หรือศิษย์สำนักชั้นในตัวเล็กน่ารักอย่างหัวหยิน”

          วิเศษ ตอนนี้แม้แต่ศิษย์พี่เจ้าเจียงยวันก็พยักหน้า!

          ไห่อวิ๋นฟานหัวเราะขำ “เช่นนั้นข้าว่าพรุ่งนี้เช้าทุกคนไปคุยกับหวังลู่เลยเถอะ พวกท่านว่าไง”

          “เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม!”

          “ถูกต้องที่สุด”

          “เราต้องไปคุยกับเขา เราจำเป็นต้องไปคุย!”

——

          หลังจากที่เขาเกลี้ยกล่อมให้เหล่าศิษย์พี่กลับไปยังห้องของตัวเองได้แล้ว ไห่อวิ๋นฟานที่กำลังจะเข้าห้องของตัวเองเช่นกันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของหญิงสาว

          “ศิษย์น้อง ลำบากเจ้าไม่น้อยเลยนะ”

          ไห่อวิ๋นฟานชะงักฝีเท้าทันที “ศิษย์พี่หญิง?”

          “ตั้งแต่เรามาถึงที่นี่ เจ้าพยายามที่จะบรรเทาความขัดแย้งเพื่อที่ทั้งสองสำนักจะยังคงเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้ ครั้งนี้เจ้าคงทำได้อย่างที่หวังแล้วสินะ”

          ไห่อวิ๋นฟานยิ้มขัน “หากศิษย์พี่ทั้งสามไม่กำลังท้อแท้และหมดกำลังใจ ข้าเกรงว่าพวกเขาย่อมไม่ยอมรับฟังสิ่งที่ข้าพูดไปแน่ๆ ทว่าศิษย์พี่หญิงพูดถูกแล้ว ข้ารู้สึกมาตลอดว่าไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยที่จะทำให้สำนักกระบี่วิญญาณขุ่นเคืองเพียงเพราะสำนักเซิ่งจิงบอกให้ทำ”

          เย่เฟยเฟยถามกลับ “นี่เจ้ากลัวหวังลู่ขนาดนั้นเลยหรือ”

          ไห่อวิ๋นฟานนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็พูดอย่างตรงไปตรงมา “ศิษย์พี่หญิง ข้าเชื่อว่าท่านคงรู้ในอดีตข้าเคยเข้าร่วมงานชุมนุมคัดเลือกเซียนของสำนักกระบี่วิญญาณมาก่อน และหลังจากนั้นก็โชคดีพอที่ได้รับคำแนะนำให้เข้าสำนักเซียนหมื่นเวท ในการชุมนุมคัดเลือกเซียนครั้งนั้น ข้าได้เห็นกับตาตัวเองว่าหวังลู่น่ากลัวเพียงใด บอกตามตรงเขาเป็นคนสุดท้ายที่ข้าคิดจะเป็นศัตรูด้วย หนำซ้ำสำนักกระบี่วิญญาณเองก็แข็งแกร่งกว่าที่เห็นมากนัก”

          เย่เฟยเฟยยิ้มน้อยๆ “แน่นอนว่าหวังลู่นั้นน่ากลัวอย่างแท้จริง… ข้าเองก็ไม่อยากจะมีศัตรูเช่นเขาเหมือนกัน ดังนั้นเช้าวันพรุ่งนี้ เราคงต้องหวังพึ่งเจ้าให้ช่วยเปิดทางให้”

          ไห่อวิ๋นฟานกล่าว “วางใจได้ ศิษย์พี่หญิง แม้เราจะไม่ได้พบกันมานานหลายปี ข้ายังพูดคุยกับเขาได้แน่… นี่ก็ดึกแล้ว ศิษย์พี่หญิงไปพักผ่อนเถอะ”

          เย่เฟยเฟยพยักหน้า ก่อนที่จะเดินไปนางก็กล่าวขึ้น “ขอบคุณที่เจ้าช่วยเกลี้ยกล่อมจื่อเย่ในคืนนี้ ไม่เช่นนั้นหากเขายังทำตัวหัวแข็งอยู่ ข้าเกรงว่าเขาอาจจะมีเรื่องกับสำนักกระบี่วิญญาณได้”

          “ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกศิษย์พี่หญิง ปัญหาของศิษย์พี่ใหญ่ก็คือปัญหาของข้า” ไห่อวิ๋นฟานยิ้มกว้างพลางโบกมือให้เย่เฟยเฟย ทว่าเมื่อเขาหมุนตัวกลับมา รอยยิ้มก็พลันขมขื่นขึ้น

——

          เข้าวันถัดมา ตามแผนการที่วางไว้เมื่อคืน แถวของคนห้าคนก็เดินทางไปเยี่ยมหวังลู่ที่ยอดเขาไร้ลักษณ์ในเขากระบี่วิญญาณ

          ทันทีที่พวกเขาเหยียบลงบนยอดเขาไร้ลักษณ์ จ้านจื่อเย่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ความจริงแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรให้รู้สึกแย่เลย โชคดีเมื่อวานไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจนานนัก”

          จ้านจื่อเย่ก็หัวเราะเบาๆ เช่นกัน “ตราบใดที่จิตใจของเราไม่มีความเป็นปรปักษ์ คิดว่ากิจกรรมแลกเปลี่ยนนี้เป็นกิจกรรมแลกเปลี่ยนจริงๆ ก็ไม่มีสิ่งใดทิ่มแทงใจเราได้อีกต่อไป”

          เมื่อดูจากรอยยิ้มจริงใจนี้ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อคืนจิตใจของเขาเพิ่งถูกทำร้ายรุนแรงจากเหตุการณ์ประตูสู่ทุกสรรพสิ่งนั่น

          ด้วยความที่เป็นคนเฉลียวฉลาด ไห่อวิ๋นฟานย่อมรู้ดีว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเขารู้สึกเช่นไร ความจริงแล้วศิษย์พี่ใหญ่ของเขาไม่ได้พยายามซ่อนมันสักนิด ระหว่างทางมายังยอดเขาไร้ลักษณ์ จ้านจื่อเย่พูดขึ้นอย่างร่าเริง “จะว่าไป วิชาจิตเซียนกระจ่างใจของหลิวหลีไม่ได้อยู่ในรายชื่อวิชาที่สำนักเซียนหมื่นเวทของเรารวมรวมไว้ แม้แต่บทนำก็ยังไม่มี ข้อมูลเดียวที่เรารู้คือมันคือวิชาระดับเซียน สำนักกระบี่วิญญาณโด่งดังเรื่องการสืบทอดวิชาเซียนจำนวนมาก มันจึงเป็นไปได้มากว่า… หากมีโอกาส ข้าอยากจะแลกเปลี่ยนวิชากับนางสักสองสามกระบวนท่าและเปรียบเทียบความรู้กัน”

          ไห่อวิ๋นฟานยิ้ม “โอกาสน่ะอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้าได้ยินมาว่าในอีกสองสามวันนี้ ศิษย์ของทั้งสองสำนักจะแข่งขันกัน ในฐานะตัวเอกของสำนัก ศิษย์พี่ใหญ่ย่อมต้องได้ประมือกับศิษย์ผู้สืบทอดหลิวหลีแห่งสำนักกระบี่วิญญาณแน่ ข้าหวังเพียงว่าท่านจะไม่หนักมือกับนางเกินไป”

          จ้านจื่อเย่ส่ายศีรษะไปมา “จะหนักมือได้อย่างไร เรามาแลกเปลี่ยนเพื่อมิตรภาพ ไม่ได้พยายามทำให้อีกฝ่ายอับอายเสียหน่อย นอกจากหลิวหลี ต่อให้ข้าต้องประมือกับหวังลู่ ข้าก็จะปราณีไม่ทำให้เขาต้องอายแน่”

          ระหว่างที่เดินไปด้วยและพูดคุยไปด้วย ทั้งกลุ่มก็มาถึงยังเขตแดนของยอดเขาไร้ลักษณ์ พวกเขาได้ยินเสียงชายหญิงหัวเราะออกมาจากกระท่อมไม้ไผ่หลังน้อย เหล่าผู้มาเยือนต่างนิ่งไป แต่ไม่นานพวกเขาก็จำแนกได้ว่าเสียงเหล่านั้นเป็นของหวังลู่ หลิวหลี เยวี่ยซินเหยาและหัวหยิน… สี่คนนั้น

          เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของคนทั้งสี่ จ้านจื่อเย่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็พลันหยุดเท้าและแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา

          ไห่อวิ๋นฟานที่เดินตามหลังรีบพูดขึ้น “พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน จึงไม่แปลกที่จะสนิทสนมกันเช่นนี้…”

          จ้านจื่อเย่ยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ “ใช่ เจ้าพูดถูกแล้ว พวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน

ข้าคงคิดมากไปเอง…”

          เขาเพิ่งพูดในสิ่งที่คิดได้เพียงครึ่งเดียวแต่กลับไม่อาจพูดต่อได้ เพราะบทสนทนาที่ดังมาจากในกระท่อมนั้นกระจ่างชัดมาก

          “ฮ่าๆๆ พวกเจ้าแพ้อีกแล้ว ต่อให้สามรุมหนึ่ง พวกเจ้าก็แพ้ตั้งสิบสามครั้งรวดแล้ว แก้ตัวไม่ได้แล้วนะ!”

          “ทำไมเราถึงมีศิษย์พี่อย่างท่านกันนะ ท่านก็รู้นี่ว่าเรายังเป็นมือใหม่ในเรื่องนี้ แต่กลับไม่เห็นออมมือให้บ้างเลย หนำซ้ำทำไมไพ่ที่เราจั่วได้มีแต่ดาวเดียวสองดาว แต่ตอนท่านจั่วกลับได้ไพ่ห้าดาวหกดาวทั้งนั้น!”

          “หืม พวกเจ้าก็ตรวจสอบไพ่พวกนี้ตั้งแต่แรกแล้วนี่ คิดจะโทษข้าเรื่องที่ตัวเองไม่มีโชคไม่ได้หรอกนะ เอาละอย่าโอ้เอ้ พนันก็คือพนัน รีบถอดมาเร็วเข้า!”

          “แต่…”

          “เราตกลงกันแล้ว หนึ่งคนหนึ่งชิ้น อย่ามัวอิดออด ถอดมันออกมาและส่งมาให้ข้าตอนที่ยังอุ่นๆ อยู่!”

          “เกลียดชะมัด! ท่านเข้าไปข้างในก่อน ห้ามแอบดูด้วย!”

          ที่ด้านนอก ไห่อวิ๋นฟานกระแอมไอและพยายามเป็นครั้งสุดท้าย “ศิษย์พี่ ข้าว่ามันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ”

          ทว่าศิษย์พี่ทั้งสามกลับไม่ได้ยินที่เขาพูดสักนิด

……………………………………………………