ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 27 ตัวแทนหลักของสำนัก

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 27 ตัวแทนหลักของสำนัก โดย Ink Stone_Fantasy

 

          ที่ด้านหน้ากระท่อมไม้ คนจากสำนักเซียนหมื่นเวทต่างพากันยืนอึ้งเมื่อได้ยินเสียงหยอกเย้าที่ดังมาจากข้างใน

          ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดจ้านจื่อเย่ก็หันศีรษะกลับมา “ศิษย์น้อง ในเมื่อเจ้าเป็นสหายเก่าแก่ของหวังลู่ เช่นนั้นก็ฝากคำข้าไปบอกเขาที สามวันนับจากนี้ เขาสมควรล้างคอเตรียมไว้ ‘เพราะข้าจะบั่นคอเขาแน่!’”

          เจ้าเจียงยวันส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา “ข้าเอาด้วย”

          ลู่เฉียนไช่กล่าวบ้าง “ข้าด้วย”

          ชายหนุ่มใบหน้าซีดเซียวทั้งสามเดินจากไปทีละคน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เย่เฟยเฟยก็ตามพวกเขาไป ไห่อวิ๋นฟานยืนอึ้งอยู่กับที่เป็นเวลานานก่อนจะถอนหายใจและเคาะประตู

          อึดใจถัดมา ประตูก็เปิดออกจากด้ายในด้วยแรงที่มองไม่เห็น ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นของสุราก็ปะทะใบหน้าของไห่อวิ๋นฟาน เขาเห็นหวังลู่และหญิงสาวหลายคนนั่งอยู่ข้างใน ใบหน้าของพวกเขามึนเมา ในมือถือไพ่ที่ก่อนหน้านี้ใช้เล่นกันอยู่

          หลายคนในกลุ่มดูท่าจะมึนเมาจากสุราไม่น้อย พอไห่อวิ๋นฟานก้าวเข้าไปด้านใน พวกนางแค่ปรายตามองมาแต่ก็ไม่สนใจไยดี แม้แต่หวังลู่เองก็ทำเพียงโบกมือให้ “เสี่ยวไห่ เข้ามาสิ มาสนุกกัน!”

          สนุกหาพี่สาวท่านสิ!

          ไห่อวิ๋นฟานโมโหหนัก เขาก้าวฉับๆ มาตรงหน้า คว้ามือของหวังลู่และลากอีกฝ่ายไปด้านนอกกระท่อม

          ทันทีที่ออกมาด้านนอก ไห่อวิ๋นฟานพยายามใช้วิชาและทำจิตให้กระจ่างใสกับหวังลู่ หลังนิ่งไปพักหนึ่งเขาก็เริ่มใช้วิชาดังกล่าวอีกรอบขณะได้ยินเสียงถอนหายใจของหวังลู่ “เสี่ยวไห่ เราสองคนไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าตื่นเต้นมาก แต่ยังไงข้าก็ต้องบอกไว้ก่อน ข้าชอบผู้หญิง เพราะฉะนั้นเจ้าตัดใจเสียเถอะ”

          ไห่อวิ๋นฟานนิ่งเงียบไปพักใหญ่ “พี่หวัง ท่านทำอะไรอยู่กันแน่”

          หวังลู่เล่นลิ้น “ทำอะไรหรือ”

          ไห่อวิ๋นฟานชี้ไปยังฉากสวยๆ งามๆ ที่อยู่ในกระท่อม “…ข้าบอกตามตรงข้ารู้สึกเหมือนหลักสามข้อของข้าถูกทำลายลง”

          หวังลู่เงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้น “เพราะข้าไม่คิดฝึกบำเพ็ญเซียนคู่กับเพศเดียวกัน ดังนั้นเจ้าจึงผิดหวังหรือ”

          ไห่อวิ๋นฟานพลันกระทืบเท้า “ท่านหยุดพูดเรื่องรักร่วมเพศเสียทีได้ไหม!? ข้าหมายถึงข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นพวกปล่อยใจไปกับอิสตรี! ข้า…”

          “ใครบอกว่าข้าปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอิสตรีกัน ข้าแค่เล่นไพ่แพ้แล้วถอดเท่านั้นเอง”

          ไห่อวิ๋นฟานพูดไม่ออก “ระยำ! นี่มันแย่ยิ่งกว่าอีก! เข้าข่ายวิปริตแล้วนะเนี่ย!”

          หวังลู่ทำหน้าฉงน “อธิบายทีซิว่ามันแย่ตรงไหนกัน”

          สำหรับปัญหาที่เด่นชัดเช่นนี้ ไห่อวิ๋นฟานพลันรู้สึกราวกับว่ามีอาหารติดอยู่ที่ในคอ “ข้าต้องอธิบายอีกหรือ หนำซ้ำพวกเขาถอดจริงๆ…หรือ”

          “แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย ดังนั้นข้าจึงชวนพวกนางมาอ้างว่ามาดื่มฉลองชัยชนะที่มีต่อสำนักเซียนหมื่นเวท จากนั้นก็ทุ่มหมดหน้าตักเพื่อซื้อสุราเซียนให้ทำพวกนางเมา สุดท้ายก็ชวนพวกนางเล่นไพ่แพ้แล้วถอด บอกว่าเป็นธรรมเนียมพิเศษของชายแดนแคว้นตะวันออก แล้วพวกนางก็เชื่อด้วยนะ”

          ไห่อวิ๋นฟานไม่อยากเชื่อหู “แล้วพวกนางก็ยอมเผยกายต่อหน้าท่านเนี่ยนะ…”

          หวังลู่คำราม “ระยำเถอะ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าคิดว่าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ การละเล่นวิตถารเรอะ แน่นอนว่าพวกนางไม่ได้อวดตนต่อหน้าข้า คนที่ได้เห็นน่ะอาจารย์ของข้าต่างหาก…ในฐานะผู้หญิง นางก็มีประโยชน์เพียงเท่านี้ละ”

          “…อาจารย์ของท่าน อาวุโสห้าน่ะหรือ” ไห่อวิ๋นฟานพยายามนึก จากนั้นก็จำได้ว่าเหมือนเขาจะเห็นหญิงสาวในชุดขาวอยู่ในกระท่อมจริงๆ

          “ใช่ ข้าเป็นคนเล่นไพ่ แต่ว่านางกลับเป็นคนที่ได้ประโยชน์ หนำซ้ำไพ่นี้ไม่รวมพวกชุดชั้นใน พวกนางพนันแค่ชุดคลุม ผ้าเช็ดหน้าและของอื่นๆ แถมยังมีชุดเปลี่ยนที่อาจารย์หามาให้ด้วย จะเรียกว่าไพ่แพ้แล้วถอดก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เรียกว่าแพ้แล้วเปลี่ยนจะดีกว่า เพราะงั้นยัยโง่พวกนั้นถึงไม่สงสัยอะไรไงเล่า”

          ไห่อวิ๋นฟานตกใจไม่น้อยต่อศีลธรรมอันต่ำเตี้ยของอาจารย์และลูกศิษย์แห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ เขาถามเสียงนิ่ง “ท่านต้องการเสื้อผ้าเหล่านั้นไปทำไม”

          หวังลู่ตอบกลับอย่างกระตือรือร้น “แน่นอนว่าต้องเอาไปขาย!”

          “ขายเรอะ!? ขายให้ใคร!?”

          “แน่นอนว่าต้องเป็นเหล่าศิษย์พี่ที่แสนหมกมุ่นของเจ้า ตอนแรกที่ข้าเห็นพวกเขา คนพวกนั้นดูไม่อาจอดกลั้นต่อการโหยหาหญิงสาวได้ ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าพวกเขาต้องชื่นชอบเสื้อผ้าพวกนี้มากแน่ๆ อ้า ผ้าเช็ดหน้าของหลิวหลี ข้าว่าพวกเขาหลายคนต้องยอมแลกมันกับวิชาชั้นยอดหลายวิชาแน่ๆ ว่าไหม แล้วผ้าคลุม กระโปรง และสิ่งอื่นๆ อีกเล่า หนำซ้ำด้วยฝีมือของข้ากับอาจารย์ ข้าสามารถใช้วัตถุดิบที่มีอยู่พวกนี้ทำเป็นชุดชั้นในของพวกนางได้ ข้าว่าข้าล่อให้พวกนั้นลงนามสัญญายอมเป็นทาสได้ด้วยซ้ำ! เสี่ยวไห่ เราสองคนมาร่วมมือกันไหม เราต้องลวงพวกเขาให้มาเป็นทาสได้อย่างแน่นอน”

          ไห่อวิ๋นฟานแทบจะเป็นบ้า “อย่าลากข้าเข้าไปยุ่งกับแผนการบ้าๆ ของท่านเชียว! พวกเขาเป็นศิษย์พี่ของข้านะ!”

          หวังลู่หัวเราะคิกคักจากนั้นก็มองสำรวจไห่อวิ๋นฟาน สักพักหนึ่งเขาก็พูดบางสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มขนหัวลุก

          “เสี่ยวไห่ เจ้าคิดดูนะ หากเจ้าบังคับให้จ้านจื่อเย่ลงนามสัญญายอมเป็นทาสชั่วชีวิต เจ้าก็สามารถขายสัญญานั้นให้เย่เฟยเฟยได้ อย่างน้อยเย่เฟยเฟยย่อมต้องสนใจสัญญาของจ้านจื่อเย่แน่ๆ ข้าพูดถูกไหม ทันทีที่เจ้าขายสัญญาให้นาง ความนิยมชมชอบที่นางมีต่อเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนั้นนางอาจจะยอมนอนกับเจ้าก็ได้”

          “พี่หวัง ท่าน…”

          รอยยิ้มของหวังลู่กระตือรือร้นยิ่งขึ้น “หยอกน่า ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์… เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าจะทำเอง”

          ไห่อวิ๋นฟานรู้สึกสิ้นหวัง “พี่หวัง ข้าว่าท่านล้มเลิกเสียเถอะ ศิษย์พี่ใหญ่จ้านจื่อเย่และคนอื่นๆ… ไม่ตกเป็นเหยื่อของเล่ห์กลพรรค์นี้แน่”

          ภายหลัง หลังจากที่ไห่อวิ๋นฟานเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง หวังลู่ก็อดที่จะอึ้งไปไม่ได้

          “ระยำแท้ สุรานี่ส่งผลต่อการรับรู้จริงๆ ข้าไม่เคยมองในมุมที่เจ้ามองมาก่อนเลย น่าเสียดายจริงๆ การได้เสื้อผ้าของพวกนางมาไม่ใช่เรื่องง่าย แถมอีกนิดก็จะได้ชุดชั้นในมาแล้วด้วย!”

          หวังลู่เดินวนไปมา พยายามหาวิธีรับมือกับเรื่องนี้ “เสี่ยวไห่ แล้วถ้าข้าลดราคาให้เล่า”

          ไห่อวิ๋นฟานถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “พี่หวัง ไม่แน่ท่านอาจจะมองว่าคนของสำนักเซียนหมื่นเวทซื่อบื้อ แถมท่านยังไม่เห็นความสามารถด้านวิชาการของเราอยู่ในสายตา ทว่าอย่างน้อยพวกเราก็ยังพอมีกึ๋นอยู่บ้าง”

          “อ้อ งั้นถ้าลดสักสามส่วนเล่า”

          “….พี่หวัง ข้าจริงจังนะ ศิษย์พี่ใหญ่ฝากคำพูดเอาไว้ สามวันนับจากนี้ เขาต้องการจะสู้กับท่านในการแข่งขัน เขาอยากให้ท่านเตรียมตัวเอาไว้”

          หวังลู่ยิ้ม “การแข่งขันอะไร เกมไพ่ถอดผ้าหรือ”

          ไห่อวิ๋นฟานกล่าว “ครั้งนี้ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นๆ ต่างก็จริงจัง ข้ากลัวท่านจะใช้เพียงเล่ห์กลเอาชนะพวกเขาไม่ได้ง่ายๆ ตั้งแต่แรกที่พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อแข่งขัน ดังนั้น…พี่หวัง ท่านควรจริงจังกว่านี้ ข้ารู้ว่าท่านแข็งแกร่ง แต่ศิษย์พี่ใหญ่เองไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้ เขาอาจจะไม่มีวิธีอย่างที่ท่านมี แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นตัวแทนหลักของสำนักในห้าวิเศษแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน ดังนั้นเขาย่อมมีสิ่งที่เชี่ยวชาญแน่”

          พูดจบไห่อวิ๋นฟานก็ทำท่าจะกลับ แต่กลับได้ยินหวังลู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย “ตัวแทนหลัก? เขาเป็นตัวแทนหลักของสำนัก? ทั้งที่มีตบะเพียงขั้นสร้างฐานเนี่ยนะ”

          ไห่อวิ๋นฟานอธิบาย “เป็นเรื่องปกติมาก การได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนหลักของสำนักไม่ได้ขึ้นอยู่กับขั้นตบะ สิ่งสำคัญที่สุดคือศักยภาพ ภายในแปดปี เขาบรรลุมาจนถึงตบะขั้นสร้างฐานระดับกลาง ในสามสิบปี คาดกันว่าเขาน่าจะบรรลุถึงขั้นสร้างแกน ดังนั้นความเร็วในการพัฒนาของเขาจึงไม่เป็นรองใครในพันธมิตรหมื่นเซียน ยังไม่นับรวมว่าความสามารถด้านวิชาการของเขานั้นไปไกลเกินกว่าขอบเขตการบำเพ็ญเซียนด้วย ดังนั้นศิษย์ตบะขั้นพิสุทธิ์และขั้นสร้างแกนคนอื่นๆ ในสำนักจึงไม่ได้คัดค้านที่เขาถูกวางตัวให้เป็นตัวแทนหลัก เรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะเพราะผลประโยชน์ที่ตัวแทนหลักจะได้รับนั้นมหาศาลมากทีเดียว”

          หวังลู่พยักหน้าจากนั้นก็ถามต่อ “ผลประโยชน์ที่ว่ามีอะไรบ้างเล่า”

          “มหาศาล พอได้เป็นตัวแทนหลัก แปลว่าคนผู้นั้นจะได้เป็นตัวหลักในการฝึกฝนของสำนัก นอกจากจะได้เรียนวิชาต่างๆ ตามใจชอบแล้ว ยังสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้เกือบทุกแหล่ง หนำซ้ำกฎทั่วไปของสำนักยังไม่มีผลต่อตัวแทนหลัก แน่ละว่าตัวแทนหลักย่อมมีกฎที่เขาเองจะต้องทำตาม ทว่าทั้งหมดทั้งมวลมันก็เหมือนการเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักนั่นละ สำนักใหญ่ๆ มักจะมีกฎในเรื่องนี้เหมือนๆ กัน ต่างกันเพียงรายละเอียดปลีกย่อย สำนักกระบี่วิญญาณก็มีเหมือนกันใช่ไหม แล้วใครเป็นตัวแทนหลักของสำนักกระบี่วิญญาณกัน ครั้งสุดท้ายที่ผู้อาวุโสของสำนักท่านแจ้งสถานการณ์ล่าสุดของสำนักให้พวกเรารู้ ก็ไม่เห็นเอ่ยถึงเลยว่าผู้ท้าชิงที่จะได้เป็นตัวแทนหลักของสำนักท่านคือใคร ทางฝั่งพวกเราเองต่างก็อยากรู้ ตอนแรกพวกเราคิดว่าน่าจะเป็นหลิวหลี แต่ดูท่าว่าจะไม่ใช่ใช่ไหม”

          หวังลู่นิ่งเงียบไปพักใหญ่ “ความจริงแล้ว ข้าคิดมาตลอดว่าเป็นข้าเอง”

——

          หลังจากแยกย้ายกับไห่อวิ๋นฟานรวมถึงศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงที่เมามายแล้ว ภายในห้องจึงเหลือผู้เป็นอาจารย์และศิษย์เพียงสองคนเท่านั้น ก่อนหน้านี้ขณะที่หวังลู่พูดคุยกับไห่อวิ๋นฟานอยู่ อาจารย์ของเขาก็กระดกสุราเซียนนับสิบขวดลงคอจนเมาแอ๋อยู่ในตอนนี้ เมื่อเห็นดังนั้น หวังลู่ก็เอาน้ำเย็นถังใหญ่สาดใส่นางอย่างไม่ไยดี ทว่าน้ำเหล่านั้นก็พลันถูกแสงจากกระบี่ไม้ไผ่สีมรกตสกัดจนกระเซ็นออกไป

          “หน็อย เจ้าลูกศิษย์หัวรั้น…” หวังอู่ลุกขึ้นอย่างเกียจคร้านพลางขยี้ตา “หาข้าต้องการอะไร”

          หวังลู่บอกเรื่องการแข่งขันในอีกสามวันข้างหน้าจากนั้นก็เอ่ยปากถาม “อาจารย์ ท่านคิดว่ายังไง”

          หวังอู่อ้าปากหาวพลางตอบ “ใช่ สามวันต่อจากนี้จะมีการแข่งขันระหว่างสองสำนัก ในฐานะตัวแทนสำนัก เจ้าจะถูกส่งขึ้นไปขยี้หมอนั่นบนเวที”

          หวังลู่สบถ “ขยี้น้องสาวท่านให้ร้องไห้น่ะสิ! ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณจะไปขยี้ตบะขั้นสร้างฐานได้ยังไง! รีบสอนวิชาที่เจ๋งที่สุดของท่านมาเร็ว!”

          หวังอู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่กลัวว่าจะตัวระเบิดตายจากการเรียนวิชาที่เจ๋งที่สุดของข้าทั้งที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่หรือ หนำซ้ำด้วยระดับความหลงตัวเองของเจ้า เจ้ากลัวว่าจะเอาชนะหมอนั่นไม่ได้ทั้งที่ตบะขั้นต่ำกว่าหรือ ข้าว่าไม่… เอาอย่างนี้ ในสามวันนี้ ข้าจะสอนเพลงกระบี่หนึ่งให้เจ้า ซึ่งหากว่าเจ้าได้เรียน มันจะเพิ่มโอกาสเอาชนะในการประลองต่างขั้นขึ้นไม่น้อย ถือว่าข้าทำหน้าที่ในฐานะอาจารย์ก็แล้วกันนะ”

          หวังอู่เพียงแค่พูดออกไปเป็นพิธี ทว่าเมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังลู่ก็พยักหน้าและไม่ได้บอกปัด เขากลับถามถึงเรื่องอื่นแทน “เช่นนั้น…อาจารย์ เล่าเรื่องตัวแทนหลักให้ข้าฟังที”

          หวังอู่ตกใจแต่ก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าอยากแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนหลักของสำนักหรือ โชคร้ายที่สำนักกระบี่วิญญาณของเราไม่มีธรรมเนียมคัดเลือกตัวแทนหลัก”

          หวังลู่ถาม “ทำไมกัน มันไม่ดีหรือ”

          หวังอู่โบกมือพลางกล่าวตอบ “เพราะมันไม่จำเป็น หนำซ้ำยังไม่มีผู้ท้าชิงที่เข้าตา เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีศิษย์ผู้สืบทอดแค่เพียงหยิบมือ แม้จะมีศิษย์สำนักชั้นในที่ยอดเยี่ยมหลายคน แต่ก็ไม่มีใครเหมาะสมจะได้ตำแหน่งตัวแทนหลัก แม้จูซือเหยาและหลิวหลีจะแข็งแกร่งมากพอ แต่ละคนกลับมีข้อด้อยใหญ่หลวง ดังนั้นจึงไม่เหมาะให้พวกนางแบกรับหน้าที่อันหนักหน่วงนี้”

          หวังลู่ชี้ที่ตัวเองด้วยใบหน้างุนงงพลางถามขึ้น “เช่นนั้นก็สมควรแต่งตั้งข้าเป็นตัวแทนหลักไม่ใช่หรือ”

          หวังอู่หัวเราะคิกคัก “ฮ่ะๆๆ เจ้าไก่อ่อนนี่รู้วิธีพูดตลกนักนะ”

          “เวรเถอะ ไก่อ่อนตัวนี้ท่านแหละที่สอนมากับมือ! เอาอย่างนี้ไหมเล่า ทำไมเราไม่ใช้การแข่งขันครั้งนี้ชูเรื่องตัวแทนหลักขึ้นมา ทำให้ผลประโยชน์ของตำแหน่งนี้ดูมหาศาลที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ จากนั้นข้ากับท่านก็จะร่วมมือกันทำให้ตำแหน่งนี้หล่นตุ้บมาบนตักข้า แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ลืมแบ่งผลประโยชน์ให้ท่านแน่”

          หวังอู่ส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา “ก็เป็นความคิดที่ดี ทว่าในเมื่อเจ้าคิดได้ มีหรือข้าจะคิดไม่ได้ ข้อเสนอในเรื่องนี้ของข้าถูกศิษย์พี่คนอื่นๆ ปัดตกไปตั้งนานแล้ว”

          หวังลู่กล่าวบ้าง “เพราะท่านมันชื่อเสียงไม่ดี ไม่แปลกที่จะถูกปฏิเสธเช่นนั้น”

          “ไอ้เรื่องฉาวโฉ่น่ะ เจ้าดีกว่าข้าแค่ไหนกันเชียว พูดสั้นๆ มองจากมุมที่ดีงามทุกมุมแล้ว บางคนก็สนับสนุนให้เจ้าเป็นตัวแทนหลักของสำนักในอนาคต ทว่าเมื่อมองเรื่องขั้นตบะ เจ้าถือว่าห่วยแตกที่สุด ข้อสอง พวกเขาไม่แน่ใจว่าการให้อภิสิทธิ์แห่งยอดเขาไร้ลักษณ์มากเกินไปจะเป็นเรื่องดี ข้อสามและเป็นข้อที่สำคัญที่สุด เราต่างไม่เคยชอบระบบตัวแทนหลักนี้ หากมองเรื่องบรรยากาศโดยรวมของสำนัก การให้ความพิเศษกับคนเพียงคนเดียวย่อมมีผลร้ายมากกว่าผลดี และอาจกระทบต่อขวัญและกำลังใจของคนในสำนัก ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกพักไป”

          หวังลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวขึ้น “ในเมื่อเหตุผลสำคัญคือความกังวลเรื่องขวัญและกำลังใจของสำนัก ทำไมเราไม่ปรับปรุงวิธีการ เพิ่มความยุติธรรมและการเข้าถึงลงไปสักหน่อยเล่า ตัวอย่างเช่น ตำแหน่งตัวแทนหลักของสำนักจะไม่ตายตัวและไม่มีเวลาระบุ แต่สามารถใช้คะแนนพิเศษที่แลกได้บ่อยๆ เหมือนที่ลูกค้าคนพิเศษใช้แลกการบำบัดความงาม ซึ่งมีกำหนดเวลา ท่านว่าเป็นไง”

          หวังอู่กล่าว “แม้ความคิดสร้างสรรค์ของเจ้าสมควรถูกยกย่อง แต่พอออกจากปากเจ้าแล้วมันกลับดูไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย ในฐานะศิษย์ชั้นแนวหน้าที่มีคะแนนและแต้มสำนักมากที่สุด อีกไม่นานตำแหน่งต้องตกเป็นของเจ้าแน่”

          “งั้นก็เปลี่ยนระบบคะแนน ในเมื่อตำแหน่งตัวแทนหลักมีหน้าที่หลักในการประลองกับคนภายนอก เช่นนั้นคะแนนก็ควรมาจากเรื่องนี้ หากเอาชนะศิษย์จากสำนักอื่นได้ ก็จะได้คะแนน และหากได้คะแนนมากพอ ก็จะสามารถแลกเป็นตำแหน่งตัวแทนหลักได้ และตอนนี้ที่สองสำนักกำลังจะแข่งขันกัน ท่านก็ตั้งรางวัลสูงๆ ไว้ให้คนที่เอาชนะการแข่งขันได้ เช่น ให้ตำแหน่งตัวแทนหลักตลอดชีพเป็นของรางวัลที่ดีที่สุด ดังนั้นหากข้าหาวิธีที่จะขึ้นเป็นที่หนึ่งได้ ตำแหน่งตัวแทนหลักตลอดชีวิตจะไปไหนเสีย”

          หวังอู่รำพึงออกมา “ความคิดนี้ดูน่าจะเป็นไปได้หน่อย… เอาละ สองสามวันนี้ข้าจะฝึกเจ้าอย่างหนักหน่วง เดี๋ยวข้าจะไปเสนอแผนนี้กับเจ้าสำนัก หากว่ามันผ่าน เจ้าก็เตรีนมดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งที่พิเศษสุดจากสำนักได้เลย!”