ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 28 วิธีที่ถูกต้องในการกระตุ้นเจ้าอ้วน

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 28 วิธีที่ถูกต้องในการกระตุ้นเจ้าอ้วน โดย Ink Stone_Fantasy

 

          “ข้าได้คุยกับเจ้าสำนักเรื่องตัวแทนหลักของสำนักให้แล้ว”

          ยามเช้าบนยอดเขาไร้ลักษณ์ ศิษย์และอาจารย์พูดคุยกันระหว่างกำลังเดินอยู่บนพื้นที่รกร้างของภูเขา

          “แผนของเจ้าผ่านการเห็นชอบของหอกระบี่นภาแล้ว ผู้อาวุโสส่วนใหญ่เห็นด้วยกับวิธีใช้คะแนนแลก หนำซ้ำจากการพัฒนาของโลกบำเพ็ญเซียนในอาณาจักรเก้าแคว้นสองสามปีมานี้ สำนักกระบี่วิญญาณของเราไม่สามารถทำตัวคร่ำครึและภูมิอกภูมิใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ได้อีกต่อไป การแลกเปลี่ยนความรู้กับสำนักอื่นๆ จะต้องมีมากขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นระบบตัวแทนหลักจึงจำเป็นขึ้นมา”

          พูดจบ หวังอู่ก็ดึงเอาข้อมูลตั้งใหญ่จากย่ามสีเหลืองหม่นแล้วโยนไปให้หวังลู่

          “คำถามต่อมาคือจะได้ตำแหน่งตัวแทนหลักมาได้อย่างไร ทั้งสองสำนักตัดสินใจแบ่งการแข่งขันออกเป็นสองส่วน คือแบบเดี่ยวและกลุ่ม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการแข่งแบบกลุ่มนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการแข่งขันที่ว่านี่คือการประลอง ทว่าการแข่งแบบเดี่ยวจะต่างไปจากที่เคยเป็นมา”

          ขณะฟัง หวังลู่ก็เปิดอ่านข้อมูลที่เกี่ยวกับการแข่งขันของทั้งสองสำนักไปด้วย จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “น่าสนใจ แต่ละสำนักส่งตัวแทนมาห้าคน คนที่ชนะการแข่งขันแบบคัดออกจะได้เข้าไปชิงรอบชิงชนะเลิศ นี่มันเป็นการแข่งขันประเภทไหนกันเนี่ย”

          “เพื่อกระชับความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างสองสำนัก แข่งแบบนี้กลมเกลียวกว่าการที่สองสำนักเผชิญหน้ากันเพื่อชัยชนะ”

          หวังลู่กล่าว “เอาสบายละไม่ว่า หึๆ ตัวแทนทั้งห้าของแต่ละสำนัก คนหนึ่งจะเป็นตัวสำรอง ส่วนที่เหลืออีกแปดคนจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มและต่อสู้กันเอง หลังจากแข่งกันสามรอบ ก็จะได้ผู้ชนะ เป็นวิธีที่เรียบง่าย ใสสะอาดและไม่เปลืองเงิน ทว่าปัจจัยเรื่องโชคมีผลอย่างมากในการแข่งแบบนี้ การที่สำนักเซียนหมื่นเวทยอมรับแผนการนี้ แสดงว่าพวกเขาต้องมั่นใจเต็มที่”

          “แน่สิว่าพวกเขาต้องมั่นใจ” ถึงตรงนี้หวังอู่ก็หันหน้ากลับมาพลางหยุดเดิน “ความจริงแล้ว จากการคำนวณของเจ้าสำนักหัวทึ่ม ความเป็นไปได้ที่คนจากสำนักเดียวกันจะได้มาเจอกันในรอบชิงชนะเลิศนั้นมากกว่าครึ่ง สำนักของเราดูทรงแล้วจะไปไม่ถึงรอบสุดท้ายด้วยซ้ำ! แม้เล่ห์กลของเจ้าเมื่อหลายวันก่อนจะทำให้สำนักกระบี่วิญญาณได้เปรียบอยู่ก็จริง แต่ในการแข่งครั้งนี้ ความแข็งแกร่งของเราสู้พวกเขาไม่ได้ จากทั้งห้าคน เยว่ยวิน จูฉินและเยวี่ยซินเหยา สามคนนี้เอามาใส่ให้ครบห้าเท่านั้น ตัวหลักที่แท้จริงก็คือเจ้ากับหลิวหลี หลายวันมานี้ ผู้อาวุโสหลายคนเร่งฝึกฝนหลิวหลีน้อย ส่วนเจ้านั้น…”

          หวังลู่หัวเราะขำ “วางใจเถอะ ข้ามีแผนเอาไว้แล้ว แม้สิ่งนี้ข้าจะไม่ค่อยคุ้นเคย แต่หากฝึกหนักในสองวัน มันต้องเอามาใช้สู้ได้แน่ อีกอย่าง ในสามคนที่เอามาใส่ให้เต็มจำนวน ข้าอยากให้เอาจูฉินออก เขามันพวกข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง เทียบกับพวกที่ใช้ง่ายอย่างเจ้าอ้วนเดนตายไม่ได้สักนิด”

          หวังอู่อดประหลาดใจไม่ได้ นางไม่คิดว่าหวังลู่จะเสนอเจ้าเด็กหนุ่มอ้วนพลุ้ยลงพุงนั่น “เหวินเป่า? แม้ขั้นตบะและวิชาของเขาจะไม่เลว แต่เท่านั้นจะพอหรือ”

          หวังลู่ยิ้ม “อย่างไรเสียที่ผ่านมาเขาก็เคยเป็นหัวหน้าหน่วยในสำนักภูมิปัญญาของข้า ไม่ว่าเขาจะห่วยแตกแค่ไหน เขาก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาข้า แถมยังกระตือรือร้นที่จะอยู่เหนือกว่าจูฉินอีกด้วย”

          “ไม่ใช่เหตุผลที่น่าดึงดูดสักนิด… หนำซ้ำข้าก็ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเรื่องรายชื่อด้วย”

          หวังลู่กล่าวตอบ “ไม่มีปัญหา แค่ให้เหวินเป่ากับจูฉินสู้กันสักรอบ เพื่อให้ผู้อาวุโสที่ยังไม่ปักใจได้เห็นกับตา พอจบการประลอง ก็จะไม่มีใครกังขาอีก”

          หวังอู่พูดอย่างร่าเริง “เจ้ามั่นอกมั่นใจในตัวเจ้าอ้วนนั่นเพียงนี้เชียว ก็ได้ข้าจะจัดการประลองระหว่างพวกเขาขึ้นในวันพรุ่งนี้ และให้หลิวเสี่ยนกับฟางเฮ่อเป็นพยาน”

——

          บ่ายวันนั้น ที่โรงนอนของศิษย์ยอดเขาเร้นลับ

          “ตามนั้นละ พรุ่งนี้เจ้าต้องไปที่ลานฝึกเพื่อประลองกับจูฉิน พิสูจน์ให้เห็นความสามารถของหัวหน้าหน่วยโครงแห่งสำนักภูมิปัญญาเสียหน่อย”

          “แค่ก!”

          พอได้ยินข่าวเศร้า เจ้าอ้วนก็กระอักเลือดอยู่ตรงนั้นเอง

          เหวินเป่าน้ำตานอง “ข้าเป็นหัวหน้าหน่วยโครงสร้างก็จริง แต่รับผิดชอบแค่งานก่อสร้างเท่านั้น แทบไม่ได้ไปอยู่ในแนวหน้าในการรบเลย ข้าสู้ไม่เป็นหรอก!”

          หวังลู่หัวเราะขำ “ข้ารู้เจ้าสู้ไม่เป็น แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงแกนนำในสำนักภูมิปัญญาของข้า แปลว่าเจ้าไม่น่าจะพ่ายแพ้ให้เจ้าสวะจูฉินนั่น ไม่ใช่ว่าเจ้าจะต้องไปสู้กับหลิวหลีสักหน่อย เจ้าจะกลัวอะไรนักหนา”

          “ศิษย์พี่ ท่านผู้กำกับ! ท่านประเมินข้าสูงไปแล้ว! วิชาของข้ามันสุดโต่ง ไม่เหมาะจะประลองตัวต่อตัว แถมความรู้ของศิษย์พี่จูฉินก็กว้างขวางกว่ามาก เขามีพรสวรรค์โดดเด่นในหมู่พวกที่อยู่ระดับเดียวกัน…”

          หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้ายังมีงานต้องทำ ไม่ขอฟังคำแก้ตัวของเจ้าแล้ว เจ้าจะนั่งวิเคราะห์ไปก็ได้นะว่าทำไมถึงจะเอาชนะจูฉินไม่ได้ แต่พรุ่งนี้เช้า ข้าก็อยากให้เจ้าไปที่ลานประลองให้ตรงเวลา”

          พูดจบหวังลู่ก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งเจ้าอ้วนพร้อมเสียงร้องโหยหวนไว้เบื้องหลัง

——

          เช้าวันถัดมา บนยอดเข้าเร้นลับ เสียงอึกทึกของทั้งศิษย์สำนักชั้นในและศิษย์สำนักชั้นนอกดังลั่นไปทั่วลานฝึกขณะกำลังดูการประลองด้วยความกระตือรือร้น

          ขณะเดียวกันที่ในลานฝึก การต่อสู้ระหว่างเหวินเป่าและจูฉินกำลังใกล้จะถึงจุดสุดยอด ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้แก่กันแม้เพียงสักชุ่น!

          ก่อนหน้านี้ มีเพียงไม่กี่คนที่คิดว่าเจ้าอ้วนที่เลื่องลือเรื่องความถ่อมตนและขี้อายจะสามารถต่อกรกับบุคคลที่ทรงอิทธิพลในสำนักชั้นในได้

          หลังจากบำเพ็ญเซียนมาห้าปี รวมทั้งการฝึกพิเศษก่อนหน้านี้ ตอนนี้จูฉินได้บรรลุตบะขั้นฝึกปราณระดับสูงแล้ว หนำซ้ำด้วยความแข็งแกร่งรอบด้านและไม่มีจุดอ่อนอันใด เขาจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในคนที่เยี่ยมที่สุดในหมู่ศิษย์ที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา ส่วนเหวินเป่านั้น ไม่เพียงพลังอิทธิฤทธิ์และระดับขั้นตบะจะด้อยกว่าจูฉินแล้ว เขายังชำนาญด้านการจู่โจมเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ก่อต่อเมื่อร่วมมือกับผู้อื่น แต่หากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวแล้ว เขาไม่มีโอกาสชนะได้เลย สองปีที่ฝึกซ้อมต่อสู้กับศิษย์คนอื่นๆ ได้พิสูจน์ให้เห็นข้อนี้เป็นอย่างดี และในสองปีหลังที่เขาได้มีโอกาสประมือกับจูฉินมามากกว่ายี่สิบครั้ง เหวินเป่าไม่เคยชนะเลยสักครั้ง

          ทว่าครั้งนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่ายตรงข้ามที่เขาไม่เคยเอาชนะได้ ผลงานของเหวินเป่าถือว่าน่าทึ่งมาก ต่อหน้าจูฉินผู้ดุดันที่พยายามจะจบการประลองให้เร็วที่สุด ทันทีที่เหวินเป่าเอาชนะความลังเลและขี้ขลาดไปได้ เขาก็กวัดแกว่งกระบี่ขนาดใหญ่ไม่ต่างจากบานประตูและเปิดการโจมตีเข้าใส่!

          ในสายตาของหลายๆ คน นี่ถือว่าฆ่าตัวตายชัดๆ แม้กระบี่เหล็กนิลดำของเขาจะโด่งดังเรื่องการจู่โจมที่น่าสะพรึงกลัวและพลังการโจมตีที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่พุ่งเข้าใส่แบบนี้ก็ถือว่าไม่มีสติยั้งคิด เขามีจุดบกพร่องที่เห็นได้ชัดนับไม่ถ้วน และทันทีที่จูฉินใช้ประโยชน์จากจุดบกพร่องนี้ ชัยชนะย่อมเป็นของเขาอย่างแน่นอน ทว่าด้วยทักษะที่มี เขาจะสามารถตั้งรับการโจมตีครั้งนี้ได้หรือ

          ทว่าในการต่อสู้จริงๆ ทุกคนต่างตกตะลึงที่พลังเพลงกระบี่ของเหวินเป่านั้นรุนแรงกว่าเดิมขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับในอดีต! คลื่นพลังจากกระบี่หน้าตาคล้ายบานประตูที่อยู่ในมือรุนแรงราวกับพายุที่มนุษย์สร้างขึ้น แม้มันจะมีข้อบกพร่อง แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรได้ จูฉินสะบัดกระบี่และปล่อยพลังปราณสามครั้งติดกัน แต่ทุกครั้งก็ถูกพลังปราณของกระบี่เหล็กนิลดำปัดออกไปได้ จูฉินตะลึงและรีบถอนตัวออกมาด้วยวิชาก้าวอัศจรรย์ หลังจากสังเกตดูแล้วเขาก็ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ร่ายอาคมใส่หวังลู่ติดๆ กัน ทั้งอาคมเชื่องช้า สับสน โกลาหล… และอาคมอื่นๆ อีกไม่น้อย

          จูฉินเชี่ยวชาญด้านการร่ายอาคมและถูกจัดให้เป็นอันดับหนึ่งในพวกระดับเดียวกัน คาถาที่ร่ายออกไปติดๆ กันนี้มักทำให้อีกฝ่ายตกอยูในาสถานการณ์ที่ลำบาก ต่อให้ทรงพลังแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และเหวินเป่าเองก็ไม่ชำนาญด้านสกัดอาคมเสียด้วย ทุกครั้งที่ถูกคาถา เขาจะพ่ายแพ้ตลอด ในการต่อสู้กับจูฉินยี่สิบครั้งที่ผ่านมา เกือบทุกครั้งจูฉินจะใช้คาถาเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย และทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างน่าอับอาย

          ทว่าครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าอาคมของจูฉินนั้นทรงพลังยิ่งกว่าที่ผ่านมา มันควรจะหยุดเหวินเป่า ทำให้อีกฝ่ายเวียนหัว มึนงงและขยับไม่ได้ในทันที ทว่าเหวินเป่ากลับไม่ได้รับผลอะไรจากคาถาเหล่านี้แม้แต่น้อย ความเร็วในการพุ่งเข้ามาโจมตีไม่ได้ลงลงไปแม้เพียงน้อย!

          จูฉินอึ้งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็รู้ว่าตอนนี้เลือดและพลังปราณของเหวินเป่ากำลังพลุ่งพล่าน…นี่คือวิชาป้องกันตัวของร่างกายที่เปลี่ยนพลังงานสำคัญให้กลายเป็นชั้นของเกราะที่มองไม่เห็นคลุมรอบตัวซึ่งเหล่าจอมยุทธ์ชาวโลกผู้เก่งกาจมักใช้กัน! เกราะพลังนี้ป้องกันอาคมทั้งหมดของจูฉิน ทำให้มันไม่ส่งผลใดๆ ต่อเหวินเป่า บีบให้จูฉินถอยออกมาเพื่อมองหาโอกาสครั้งต่อไป

          พูดกันตามตรง หากจอมยุทธ์ชาวโลกต่อสู้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ เกราะพลังปกป้องร่างกายนี้จะเป็นหนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขา นอกเสียจากว่าผู้บำเพ็ญเซียนจะใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของตบะขั้นสร้างฐาน ไม่เช่นนั้นแล้วก็เป็นเรื่องยากที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณจะเอาชนะเกราะที่มองไม่เห็นนี้ได้ เพียงแค่ว่าวิชาเกราะพลังป้องกันร่างนั้นฝึกได้ยาก แม้แต่จูฉินเองก็จนปัญญากับมัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจ้าอ้วนสมองทึบนี่จะสามารถใช้วิชาที่มหัศจรรย์เช่นนี้ได้!

          “ศิษย์พี่เหวินเป่านี่แข็งแกร่งจริงๆ… ก่อนหน้านี้เขาเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้หรือ”

          ที่ด้านนอกลานฝึก ศิษย์สำนักชั้นนอกเหวินอวิ๋นที่อยู่ในชุดน้ำเงินสลับขาวมองไปที่ลานฝึกด้วยความประหลาดใจ นี่ดูราวกับว่าเหวินเป่าถูกเทพเจ้าแห่งความตายสิงร่างอยู่เช่นนั้นละ

          แม้ต่อหน้าจูฉินผู้หลักแหลมและว่องไว เหวินเป่าจะไม่มีโอกาสชนะ แต่ตราบใดที่เขามีเกราะพลังและพลังปราณกระบี่เหล็กสีนิล จูฉินเองก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้เช่นกัน

          “ซ่อนพลังที่แท้จริง? ถ้าดูตามสติปัญญาของเขาแล้ว เจ้าว่าเขาจะสามารถซ่อนพลังที่แท้จริงได้ไหมเล่า เขาต้องกินโอสถช่วยกระตุ้นเข้าไปแน่ๆ ถึงได้สำแดงฤทธิ์เดชได้ผิดธรรมดาเช่นนี้”

          เหวินอวิ๋นถามด้วยความสงสัย “สำแดงฤทธิ์เดชได้ผิดธรรมดา?”

          หวังลู่ชี้นิ้วไปยังบุคคลที่ยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาว “เจ้าลองถามนางดูก็ได้…ข้าพูดถูกไหมศิษย์น้องหญิงเยวี่ย”

          เยวี่ยซินเหยารู้สึกเขินอายไม่น้อย นางกล่าวด้วยใบหน้าที่ขึ้นริ้วแดง “ศิษย์พี่ ท่านพูดอะไรของท่าน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน!?”

          หวังลู่กล่าว “ในการประลองครั้งก่อนๆ ของเหวินเป่า เพราะว่าเขาไม่มั่นใจ เขาจึงไม่เคยให้ศิษย์น้องหญิงเยวี่ยมาชมการประลองเลยสักครั้ง ข้าพูดถูกไหม”

          ใบหน้าของเยวี่ยซินเหยาแดงขึ้นกว่าเดิม “ศิษย์พี่หวังลู่ หากท่านยังพูดเรื่องนี้อยู่ ข้าจะกลับละนะ!”

          “อย่าเชียว หากเจ้ากลับ แล้วเหวินเป่าจะสำแดงพลังที่แท้จริงได้อย่างไร”

          เยวี่ยซินเหยากระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง นางไม่อยากให้อีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ออกมา หนำซ้ำ…

          “หนำซ้ำไม่มีประโยชน์ที่ศิษย์พี่เหวินเป่าจะอยู่ในการแข่งนี้อีก แม้ดูเหมือนพวกเขาจะสมน้ำสมเนื้อกัน ทว่าเขากลับใช้พลังไปมากกว่าศิษย์พี่จูฉินหลายเท่านัก แม้ความแข็งแกร่งทางกายเขาจะน่าทึ่ง… แต่เขาก็ไม่อาจประคองสถานการณ์ได้นานแน่”

          หวังลู่พยักหน้า “หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เจ้าอ้วนเดนตายต้องแพ้แน่นอน เช่นนั้นข้าจึงจะกระตุ้นให้หนักหน่วงขึ้นอีกสักหน่อย เขาจะได้สำแดงความสามารถที่แท้จริงออกมาเสียที”

          พอหวังลู่พูดจบ แม้แต่เยวี่ยซินเหยาเองยังสงสัย กระตุ้นให้หนักหน่วงขึ้น? มันคืออะไรกัน

          หวังลู่กล่าวขณะส่ายศีรษะ “ไม่มีทางอื่นแล้ว ตอนแรกข้าไม่คิดรบกวนให้คนผู้นั้นมาถึงที่นี่ แต่ในเมื่อเจ้าอ้วนเดนตายทำไม่ได้อย่างที่คาดไว้ ข้าก็เลยไม่มีทางเลือก”

          พูดจบเขาก็หันหลังกลับพลางปรบมือ

          “ศิษย์พี่เชียนฮู่ มาที่นี่หน่อยเร็ว”

          จากนั้นหญิงสาวที่แต่งกายงดงามพร้อมรอยยิ้มเย็นขาก็ก้าวมายังด้านข้างของสนามฝึก จากนั้นก็หยุดยืนดูฉากที่ปรากฏอยู่ในสนาม

          นางย่อมกลายเป็นหัวข้อการสนทนาของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าหญิงสาวแปลกหน้านี่เป็นใคร หวังลู่ที่คุ้นเคยกับนางดีก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทาย “โย่ ศิษย์พี่เชียนฮู่”

          นางคือหลี่น่าน่า หัวหน้าของสำนักประทีปแห่งประเทศต้าหมิงทั้งยังเป็นรองเจ้าสำนักภูมิปัญญา

          ทันทีที่เห็นหวังลู่ หลี่น่าน่าก็ยิ้มน้อยๆ จากนั้นสายตาก็กลับไปจับจ้องที่ลานฝึกอีกครั้ง “การประลองครั้งนี้น่าตื่นเต้นไม่เบา”

          ทันทีที่นางพูดออกมา เหวินเป่าที่อยู่กลางลานฝึกก็ตัวแข็งทื่อ

          เสียงของสตรีนางนี้นั้นประหนึ่งเป็นสายฟ้าที่ฟาดลงมาบนร่างเขา หัวสมองของเหวินเป่าพลันว่างเปล่า ทว่าขณะเดียวกันจูฉินก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เขาปรี่เข้ามาและเสือกกระบี่เพลิงที่ส่องประกายวิบวับไปยังหน้าอกของเหวินเป่า

          “ศิษย์น้อง เจ้าแพ้แล้ว…”

          “อย่ามาบังข้า!”

          ตู้ม!

          เขากวัดแกว่งกระบี่รูปร่างคล้ายบานประตูพร้อมทั้งซัดพลังปราณกระบี่ที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้าใส่ร่างทั้งร่างของจูฉินราวกับเป็นหิมะถล่ม

          ขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งกันอยู่ หวังลู่ก็หันศีรษะมาพร้อมส่งยิ้ม “เห็นไหม นี่ละความใคร่…อ่า ไม่สิ พลังแห่งรัก”

…………………………………………….