ตอนที่ 29 ที่นางต้องการคือสมองทองคำขาว โดย Ink Stone_Fantasy
การพ่ายแพ้ของจูฉินสร้างความประหลาดใจให้ผู้ชมจำนวนมาก และตัวตนของหญิงสาวที่ทำให้สถานการณ์พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือนั้นลึกลับยิ่งกว่า โชคร้ายที่พวกเขาไม่ทันได้มีเวลาหาคำตอบเพราะหญิงสาวคนนั้นได้จากไปอย่างรวดเร็ว
ในฐานะรองเจ้าสำนักภูมิปัญญา หลี่น่าน่า รวมทั้งเย่ชูเฉินและหมิงหยุนต่างเป็นสามบุคคลสำคัญของสำนักภูมิปัญญา อำนาจและอิทธิพลของพวกเขานั้นมหาศาล แต่พวกเขาต่างก็มีงานรัดตัว หลังจากมาปรากฏตัวที่สำนักเขากระบี่วิญญาณเพราะหวังลู่เรียกตัวมา นางก็รีบกลับไปยังสำนักภูมิปัญญาเพื่อจัดการงานของสำนักที่คั่งค้างอยู่ในทันที… ทำให้ใครบางคนงุนงงเป็นอย่างมาก
มากกว่าสองปีมาแล้ว ระหว่างการออกเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ช่วงท้ายที่ด้านล่างภูเขา เหวินเป่าในฐานะบุคคลที่มีอำนาจของสำนักภูมิปัญญาได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเฉียนหูแห่งสำนักประทีป ในช่วงเวลาแห่งการร่วมมือที่เอาจริงเอาจังนั้น บางอย่างได้เปลี่ยนไป เพียงแค่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนภายนอกก็เท่านั้น
โชคดีที่การดวลกันระหว่างจูฉินและเหวินเป่าเป็นเพียงการแสดงสลับฉากเล็กๆ ในการแข่งขันระหว่างสองสำนัก ไม่ว่าจะเป็นสำนักกระบี่วิญญาณหรือสำนักเซียนหมื่นเวท พวกเขาต่างก็รู้ว่าจากศิษย์ทั้งห้าคนของสำนักกระบี่วิญญาณที่ถูกส่งไปแข่งขัน มีเพียงสองคนที่เป็นตัวแทนที่แท้จริง อีกสามคนถูกส่งลงไปเพื่อให้ครบจำนวนเท่านั้น
ผู้แข่งขันตัวจริงคือหลิวหลีและหวังลู่ และสำหรับสองคนนี้ สำนักเซียนหมื่นเวทใช้เวลาสองวันที่เหลือในการวิเคราะห์ข้อดีและข้อด้อยของอีกฝ่ายและพยายามหาวิธีรับมือที่เหมาะสมอย่างเต็มกำลัง
แม้สำนักเซียนหมื่นเวทจะขึ้นชื่อเรื่องความยโสจองหอง แต่ความจองหองของพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล หากเผชิญกับศัตรูตัวเล็กตัวน้อยที่อ่อนแอ พวกเขาจะเมินเฉยเพื่อรักษาพลังงาน ทว่าเมื่อเขารับรู้ถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาก็จะทุ่มเต็มแรงเช่นกัน
มีเพียงชัยชนะเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขารักษาท่าทีที่ยิ่งผยองต่อไปได้ และเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดสำหรับคติพจน์ของพวกเขาที่ว่า ‘ความรู้คือพลัง’ และหากพวกเขาแพ้ ความทนงตนของสำนักเซียนหมื่นเวทก็คงจะไร้ค่า
“ข้อมูลของหลิวหลีถูกวิเคราะห์หมดแล้ว และจากที่เห็น จุดอ่อนและจุดแข็งของนางทำให้นางเป็นคู่แข่งที่สุดขั้วมาก”
บนเรือคลื่นนภา ศิษย์พี่ใหญ่จ้านจื่อเย่กำลังตั้งใจอธิบายให้ศิษย์น้องและศิษย์น้องหญิงทั้งสี่ฟัง
เรื่องการวิเคราะห์ศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณนั้น หยวนฉาวเหนียนและผู้อาวุโสอีกสองคนไม่ได้ยื่นมือมายุ่งแม้แต่น้อย งานทุกอย่างนั้นถูกส่งต่อให้เหล่าศิษย์ และพวกเขาทั้งห้าก็ไม่ทำให้ผู้เป็นอาจารย์ผิดหวัง ตั้งแต่เก็บรวบรวมข้อมูล ไปจนถึงเปรียบเทียบ พวกเขามีประสิทธิภาพมาก และผลที่ได้ก็สร้างความพึงพอใจให้เหล่าผู้อาวุโสไม่น้อย
“ลักษณะพิเศษของกระบี่กระจ่างใจมีสองอย่าง หนึ่งคือซึมผ่านได้สูง แปลว่าความสามารถในการส่งผ่านและปรับเปลี่ยนพลังอิทธิฤทธิ์ของนางนั้นดีมาก เห็นได้จากการแข่งขันกิน ตราบใดที่มีเสบียงเพียงพอ นางสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้นางสามารถต่อสู้เป็นเวลานานได้อย่างดีเยี่ยม”
ศิษย์น้องคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “พูดอีกอย่างก็คือ เราต้องจัดการนางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้?”
จ้านจื่อเย่ตอบกลับ “การเร่งความเร็วในการต่อสู้ก็ไม่ต่างจากฆ่าตัวตาย กระบี่กระจ่างใจจะทำให้คนที่ฝึกวิชานี้มีการซึมผ่านที่ยอดเยี่ยม ทำให้คนคนนั้นระเบิดพลังโจมตีได้รุนแรงเป็นพิเศษ ตอนนี้แม้แต่ข้าเองก็ยังหาทางสกัดกระบี่เพลิงสิบเก้าชั้นที่นางถนัดแบบตรงๆ ไม่ได้เลย”
เย่เฟยเฟยถามบ้าง “แม้แต่โล่น้ำแข็งและกายเพชรก็ยังไม่ช่วยเลยหรือ”
“ตามผลที่ได้จากการคำนวณ ต่อให้ซ้อนโล่น้ำแข็งห้าชั้นรวมถึงใช้กายเพชรด้วยก็ยังไม่อาจสกัดเพลงกระบี่ของนางได้เต็มร้อย ในเรื่องการระเบิดพลังนั้น หลิวหลีถือว่าไม่มีใครเทียบได้”
แม้พวกเขาจะรู้มาตั้งนานแล้วว่าคู่แข่งนั้นแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะเรื่องเพลงกระบี่ การระเบิดพลังโจมตีของนางนั้นรุนแรงยิ่งกว่าที่ผู้บำเพ็ญเซียนคนได้จะทำได้ ทว่าเมื่อได้ยินผลการประเมินที่ว่าไม่มีใครเทียบได้จากปากของผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ เย่เฟยเฟยและคนอื่นๆ ก็ยังรู้สึกยากจะเชื่ออยู่ดี
“เช่นนั้นทำไมเราไม่ใช้ภาพลวงตาทำให้นางสับสนเล่า ตราบใดที่เราเลี่ยงการเผชิญหน้าตรงๆ ได้ พลังการโจมตีที่รุนแรงของนางก็ไร้ความหมาย”
จ้านจื่อเย่ส่งเสียงฮึออกมาพลางพูดว่า “นั่นคือลักษณะพิเศษข้อที่สองของกระบี่กระจ่างใจ ไม่แปดเปื้อนแม้ฝุ่นเพียงธุลีเดียว ทำให้วิชาภาพลวงตาทั่วไปไม่ส่งผลต่อนางอย่างสิ้นเชิง แม้แต่อาคมด้านลบอย่าง ช้าลง ตัวแข็งหรืออื่นๆ ก็ถูกลดประสิทธิภาพลงอย่างมาก พูดอีกอย่างก็คือ นางคือเครื่องจักรสังหารที่ไม่อาจหยุดยั้งได้”
เมื่อได้ยินดังนี้ คนที่เหลือก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบในทันที
“เช่นนั้น…ศิษย์พี่ จะทำอย่างไรหากเราต้องเจอนาง”
จ้านจื่อเย่นิ่งเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นก็กล่าวขึ้น “เล่ห์กลใดๆ ก็หยุดนางไม่ได้ คงหวังพึ่งได้เพียงความแข็งแกร่งของเราเอง มีตัวอย่างของคนที่พยายามใช้เล่ห์กลกับนางด้วย นั่นก็คือพวกปลาเน่าที่หุบเขาเมฆาโลหิต ในการต่อสู้ครั้งนั้น พวกมันมีโอกาสเอาชนะนางได้ตั้งแต่ต้น ทว่าเพราะพวกมันไม่อยากสังเวยเลือดแม้สักหยด จึงพยายามทำให้อีกฝ่ายช้าลง ผลก็คือเมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป การเคลื่อนไหวและการจู่โจมของหลิวหลีกลับเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายนางก็สังหารปีศาจทั้งสิบสองนี้และกลับออกมาโดยที่ไม่มีรอยขีดข่วนสักนิด ดังนั้นหากข้าต้องสู้กับนาง ข้าจะพยายามเอาชนะนางให้ได้ตั้งแต่รอบแรก แม้เพลงกระบี่กระจ่างใจจะไร้เทียมทาน มันก็มีจุดอ่อนอยู่ นั่นคือขาดความสามารถในการตั้งรับ ในช่วงต้นที่กำลังของนางยังไม่ออกมาเต็มที่และยังมีช่องโหว่ในการเคลื่อนไหวอยู่ หากเจ้าจับช่องโหว่นั้นได้ เจ้าก็มีโอกาสที่จะชนะ”
ไห่อวิ๋นฟานถามบ้าง “แล้วท่านว่าท่านมีโอกาสชนะนางได้สักกี่ส่วน”
“ถึงตอนนี้ก็เจ็ดส่วน”
“แค่เจ็ดส่วนเองหรือ…” ไฟ่อวิ๋นฟานใบหน้าหมองลง เพราะจากการคำนวณของเขา หากคนอื่นต้องแข่งกับหลิวหลี โอกาสที่พวกเขาจะชนะไม่ถึงสามส่วนด้วยซ้ำ
เย่เฟยเฟยพยายามทำน้ำเสียงมั่นใจ “ข้าว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ อย่างไรเสียนางก็เป็นไพ่ชัยชนะของฝ่ายตรงข้าม หากไพ่ชัยชนะของพวกเขาไม่อาจเอาชนะแมลงตัวเล็กตัวน้อยของเราได้ เช่นนั้นการแข่งขันครั้งนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
“เฮ้ เฮ้ ศิษย์พี่หญิงสอง ท่านเรียกใครว่าแมลงตัวเล็กตัวน้องกัน”
จ้านจื่อเย่พูดขัดขึ้นก่อนที่พวกเขาจะออกนอกเรื่อง “อย่าเพิ่งทะเลาะกัน การวิเคราะห์ต่อไปเป็นของหวังลู่”
เมื่อเป็นเรื่องของหวังลู่ ทุกคนต่างตั้งใจฟังอย่างดี เห็นได้ชัดว่าในใจของพวกเขา แม้เรื่องพละกำลังหลิวหลีจะแข็งแกร่งกว่าหวังลู่มาก แต่หวังลู่ก็เป็นคนที่พวกเขาคิดว่าควรให้ความสนใจอย่างจริงจัง
อย่างไรเสียแม้หลิวหลีจะไร้เทียมทาน แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาก็มีโอกาสชนะนางถึงเจ็ดส่วน แต่หวังลู่… แม้ขั้นตบะของเขาจะต่ำเตี้ย แต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาอย่างมั่นใจว่าจะชนะอีกฝ่ายได้ โดยเฉพาะเมื่อการผลงานในประตูสู่ทุกสรรพสิ่งของอีกฝ่ายได้ทิ้งความเจ็บปวดใจไว้ให้พวกเขาอย่างมหาศาล
“สองสามวันมานี้ ข้ารวบรวมข้อมูลของหวังลู่อย่างรอบคอบ… พูดสั้นๆ ก็คือ เขาเป็นคู่แข่งขันที่ หากว่ากันตามทฤษฎี คือไม่เป็นอันตรายในสนามประลอง”
“หา?”
“แบบนี้ไม่ประหลาดไปหน่อยหรือ เช่นนั้นมาดูข้อมูลดิบกันดีกว่า… พลังอิทธิฤทธิ์ของเขานั้นอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับสองเท่านั้น วิชาบำเพ็ญเซียนไร้ลักษณ์เป็นวิชาที่อาจารย์ของเขาเป็นคนคิดค้น และความสามารถในการตั้งรับก็สูงมากจนน่าตกใจ ในทางทฤษฎี ต่อให้ข้าพยายามอย่างหนักที่สุด ก็ยากที่จะเอาชนะเขาได้ในเวลาสั้นๆ แต่ตรงกันข้าม ความสามารถในการโจมตีของเขาก็ไม่เอาไหนเช่นกัน เขาไม่มีอาคมวิเศษอะไร แถมเพลงกระบี่ของเขายังอ่อนด้อยเรื่องการระเบิดพลัง รวมถึงยังไม่สามารถปล่อยพลังปราณออกมานอกกายได้ เมื่อเทียบกับมาตรฐานของสำนักกระบี่วิญญาณแล้ว พลังการโจมตีของเขาเทียบไม่ได้กับพลังการโจมตีของศิษย์ขั้นฝึกปราณระดับกลางด้วยซ้ำ การจะสู้กับเขา ตราบใดมี่เรายังยืนอยู่บนลานประลองได้ เราก็อยู่ในจุดที่ตีไม่แตกแล้ว ความอันตรายของเขายังเทียบกับเหวินเป่านั่นไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างไรเสียหากเจ้าคนหลังเอาจริงขึ้นมา ก็ยังสร้างปัญหาให้เราได้บ้าง”
เย่เฟยเฟยทำหน้าไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นถึงหนึ่งในศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณเชียวนะ…”
จ้านจื่อเย่ตอบกลับ “อาจเพราะว่าเขามัวเอาเวลาส่วนใหญ่ไปปั่นหัวคนอื่นด้วยการใช้เล่ห์กลและแผนการก็ได้ ทำให้การฝึกบำเพ็ญเซียนของเขาช้ากว่าปกติ ได้ยินมาว่าคุณภาพรากวิญญาณของเขานั้นดีกว่าของหลิวหลีมาก แต่หลังจากฝึกบำเพ็ญเซียนมาห้าปี เขายังไม่บรรลุขั้นสร้างฐานด้วยซ้ำ ต่อให้เทียบกับความเร็วมาตรฐานของสำนักกระบี่วิญญาณ เขายังถือว่าช้าอยู่เล็กน้อย ฮึ พวกอุรังอุตังป่าเถื่อนและพวกเศรษฐีใหม่ชอบเย้ยหยันสำนักเซียนหมื่นเวทของเราว่ารู้แค่วิธีทำวิจัยและร่ำเรียนหนังสือจนทำให้การบำเพ็ญเซียนต้องล่าช้า แต่เจ้าหวังลู่นี่สุดขั้วยิ่งกว่าเราเสียอีก”
“ศิษย์พี่ ครั้งนี้ข้าไม่เห็นด้วยกับท่าน” ไห่อวิ๋นฟานขัดขึ้นเบาๆ “แม้เขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการใช้เล่ห์เหลี่ยมและแผนการปั่นหัวชาวบ้าน แต่ความจริงก็คือเราพ่ายแพ้ให้เขาถึงสามครั้ง แทนที่จะมัวทับถมฝ่ายตรงข้าม ข้าว่าเราเตรียมหาวิธีโต้ตอบแผนการของเขาจะดีกว่า… หากว่ากันตามเป้าหมายแล้ว สำนักเซียนหมื่นเวทของเราสนับสนุนเรื่องการคิดตามหลักวิชาการไม่ใช่หรือ”
จ้านจื่อเย่อึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างสุขุม “เจ้าพูดถูก ศิษย์น้อง ข้าเผลอทับถมฝ่ายตรงข้ามไปเสียได้”
ไห่อวิ๋นฟานกล่าวต่อ “ตามความคิดของข้า การตั้งรับที่ยอดเยี่ยมของเขาเป็นรูปแบบที่เหมาะกับเขาอย่างที่สุด หากเราไม่อาจเอาชนะเขาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็แปลว่าเราหยุดไม่ให้เขาใช้แผนการที่เตรียมมาไม่ได้ ข้าเชื่อว่าทุกคนคงเห็นกับตามาแล้ว ตราบใดที่เราปล่อยให้เขาได้จังหวะ เขาก็จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้อย่างง่ายดาย”
จ้านจื่อเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าเข้าใจ การจะรับมือกับหวังลู่ เราไม่ควรให้การต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานเพียงเพราะการตั้งรับที่น่าอัศจรรย์ของเขา แต่เราควรจะเอาชนะเขาให้ได้ด้วยเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อปิดโอกาสไม่ให้เขาใช้เล่ห์กลอะไรได้”
ไฟ่อวิ๋นฟานกล่าว “ตอนนี้ข้าก็คิดได้เท่านี้”
จ้านจื่อเย่กล่าว “เช่นนั้นทุกคนควรต้องจำไว้ ห้ามประมาทอย่างเด็ดขาด ต่อไปเราจะวิเคราะห์อีกสามคนที่เหลือ คนแรกคือเยว่ยวิน แม้ขั้นตบะของเขาจะไม่สูง แต่ความสามารถโดยรวมของเขาถือว่ารอบด้าน เขามีพื้นฐานทักษะที่แข็งแกร่ง ทว่ารากวิญญาณธาตุดินของเขาถือว่าเป็นจุดอ่อน ในความคิดข้า…”
——
ขณะที่คนจากสำนักเซียนหมื่นเวทกำลังวิเคราะห์คู่แข่งอย่างรอบคอบ คนของสำนักกระบี่วิญญาณก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเช่นเดียวกัน
เยว่ยวิน เยวี่ยซินเหยา เหวินเป่า… และศิษย์สำนักชั้นในรวมถึงศิษย์สำนักชั้นนอกที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน ต่างมารวมตัวกันที่หอเถิงอวิ๋นบนยอดเข้าเร้นลับ เพื่อฟังการอบรมจากอาวุโสหลิวเสี่ยน
“จ้านจื่อเย่ ตบะขั้นฝึกปราณระดับกลาง รากวิญญาณระดับหนึ่ง มีวิชาจิตเซียนห้าอสนีบาตเป็นแก่นวิชา…”
“เย่เฟยเฟย ตบะขั้นสร้างฐานระดับต้น รากวิญญาณระดับสอง แก่นวิชา…”
หลังจากได้รับการแต่งตั้งจากหอกระบี่นภา อาวุโสหลิวเสี่ยนจึงเป็นคนที่ต้องอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับบุคลิกและข้อมูลของศิษย์ทั้งห้าคนแห่งสำนักเซียนหมื่นเวท ต่างจากสำนักเซียนหมื่นเวท ศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้มีความก้าวหน้าของการบำเพ็ญเซียนที่รวดเร็วนัก ดังนั้นพวกเขาจึง ‘โตเป็นผู้ใหญ่’ ช้า ตอนนี้ศิษย์ส่วนใหญ่ที่มารวมตัวกันยังไม่บรรลุตบะขั้นสร้างฐานกันเลย ดังนั้นจึงไม่สมเหตุสมผลนักที่จะบังคับให้พวกเขายอมรับหน้าที่ความรับผิดชอบของตน
“นี่ เจ้ารู้ไหมว่าศิษย์พี่หญิงหลิวหลีกับศิษย์พี่หวังลู่อยู่ที่ไหน” เหวินอวิ๋นที่นั่งอยู่ในหอ เถิงอวิ๋นถามเสียงค่อย “พวกเขาควรจะมานั่งเป็นไพ่ชัยชนะที่นี่สิ”
“พวกเขา?” เมื่อถูกเหวินอวิ๋นถาม เยวี่ยซินเหยาก็อดถอนใจไม่ได้ “ศิษย์พี่หญิงหลิวหลีกำลังฝึกพิเศษอยู่กับท่านลุงสี่ ว่ากันว่าแผนการฝึกพิเศษนี้ส่วนใหญ่ศิษย์พี่หวังลูเป็นคนพัฒนาขึ้นมา เรียกกันว่า… การกระตุ้นสมอง”
เหวินอวิ๋นพยักหน้าราวกับว่าเข้าใจ “เอ่อ… แล้วศิษย์พี่หวังลู่เล่า”
“เขา…เขาบอกว่าเขาต้องแก้ปัญหาเรื่องการประลองด้วยตัวเอง”
ตาของเหวินอวิ๋นเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “เป็นคำพูดที่วิเศษมาก!”
“เหอะ” เยวี่ยซินเหยาส่ายศีรษะพลางคิดในใจ ‘เจ้ายังไม่ได้ยินคำพูดที่วิเศษยิ่งกว่าน่ะสิ’
ครึ่งวันก่อน เยวี่ยซินเหยาไปที่ยอดเขาไร้ลักษณ์เพื่อไปแจ้งความต้องการจากอาจารย์ของนางเพื่อให้หวังลู่เข้าฟังการอบรม ทว่าปฏิกริยาของหวังลู่ต่อความต้องการดังกล่าวเป็นดังนี้
“น่าขายหน้าจะตายที่ต้องไปฟังกลยุทธ์จากพวกคนดาษๆ ของหอกระบี่นภานั่น”