ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 30 การต่อสู้ที่ยุติธรรมและตรงไปตรงมา!

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 30 การต่อสู้ที่ยุติธรรมและตรงไปตรงมา! โดย Ink Stone_Fantasy

 

          ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเตรียมตัวกับการแข่งขันที่จะมาถึงอย่างหนักหน่วง เวลาสามวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

          ตอนเช้าตรู่ของวันแข่งขัน แสงแดดยามเช้ายังไม่ทันส่องทะลุเหล่าเมฆของค่ายกลเมฆาพิบูลย์บนยอดเขากระบี่วิญญาณ ความมืดก่อนรุ่งสางยังคงปกคลุมยอดเขาทั้งสิบสองแห่งเขากระบี่วิญญาณ ทว่าที่ลานเมฆาของยอดเข้าเร้นลับกับเนื่องแน่นไปด้วยผู้คน

          สำหรับศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณ การฝึกและการพักผ่อนนั้นเป็นไปตามตารางเวลา จึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะตื่นเช้าขนาดนี้ ทว่าเพื่อที่จะได้มาเห็นการต่อสู้ของทั้งสองสำนักด้วยตาตัวเอง จะตื่นเช้าสักหน่อยก็คงไม่เสียเปล่า อย่างไรเสียด้วยขั้นตบะของพวกเขา ต่อให้ไม่ได้หลับได้นอนเป็นเวลาหลายวันติดกันก็ไม่ใช่ปัญหา

          กำหนดการแข่งขันของทั้งสองสำนักถูกประกาศตั้งแต่เมื่อคืนก่อน การแข่งขันจะมีขึ้นทั้งหมดสิบวัน เจ็ดวันแรกกำหนดให้เป็นการแข่งขันรอบบุคคลสามรอบและอีกรอบเพื่อตัดสินหาผู้ชนะ หลังจากพักผ่อนอีกสองวัน ก็จะเป็นรอบที่แข่งกันเป็นหมู่คณะ กฎของการแข่งรอบบุคคลนั้นเรียบง่าย แต่ละสำนักต้องส่งตัวแทนสำนักละห้าคน ทั้งห้าคนนี้คนหนึ่งถูกจัดเป็นตัวสำรอง ส่วนอีกสี่คนต้องมาแข่งในรอบแพ้คัดออก ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนตั้งตารอมากที่สุดคือรายชื่อผู้แข่งขันในแต่ละรอบ

          แม้ทั้งสองสำนักจะยืนยันว่ารายชื่อเหล่านี้ได้มาจากการสุ่ม แต่สำหรับผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่และตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ ในโลกนี้จะมีคำว่าสุ่มจริงๆ หรือ รายชื่อผู้แข่งขันในแต่ละรอบนั้นเหมาะเจาะยิ่งนัก

          รอบแรก เหย่ยวินกับจ้านจื่อเย่ หลิวหลีกับลู่เฉียนไช่ หวังลู่กับเจ้าเจียงยวัน และเหวินเป่ากับเย่เฟยเฟย ส่วนเยวี่ยซินเหยากับไห่อวิ๋นฟานเป็นตัวสำรอง

          รายชื่อผู้แข่งขันในแต่ละรอบต่างเลี่ยงการพบกันระหว่างผู้แข่งขันที่แข็งแกร่งของทั้งสองฝ่าย ทว่าเมื่อพิจารณาถึงการแข่งขันรอบที่สอง ก็ไม่ยากที่จะมองออกว่าสำนักกระบี่วิญญาณวางตัวหวังลู่และหลิวหลีไว้เป็นไพ่ชัยชนะของพวกเขา

          “จิ๊ เจ้าหวังลู่นั่นเป็นไพ่ชัยชนะของพวกเขาจริงๆ ด้วย ศิษย์น้อง เจ้าพูดถูกแล้ว แม้ตบะขั้นของเขาจะไม่ถึงตามที่คาดไว้ ทำให้การวัดความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาจากขั้นตบะนั้นไร้ความหมาย ทว่าต่อให้วิชาไร้ลักษณ์ของเขาแข็งแกร่งปานใด แต่เมื่อต้องเจอกับเพลงกระบี่อสนีบาตทำลายล้างแล้วละก็…

          ที่บนลานเมฆา ความคิดของจ้านจื่อเย่นั้นจดจ่ออยู่ที่หวังลู่ จนไม่ได้ยินเสียงโห่ร้องของศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณ คู่แข่งของเขาขึ้นมาบนลานประลองแล้ว

          เมื่อเห็นคู่แข่งที่อยู่ตรงหน้า เหย่ยวินก็ได้แต่ยิ้มขื่นในใจ เขารู้ว่าผลของการประลองในครั้งนี้นั้นถูกกำหนดไว้แล้ว และเขาต้องยอมรับว่าตนเองเป็นเพียงทหารแนวหน้าเท่านั้น แม้ในหมู่ศิษย์สำนักในด้วยกันเอง เขาจะถือว่าเป็นหนึ่งในพวกที่สุดยอดก็ตาม ทว่าศิษย์จากสำนักเซียนหมื่นเวทกลับไม่คิดจะแลเขาด้วยซ้ำ

          ทว่า…นี่ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง หลังจากบำเพ็ญเซียนมาได้เกือบแปดปี ตบะของเขายังอยู่เพียงขั้นฝึกปราณระดับสูง ที่ใต้ฐานของเขา มุมด้านหนึ่งของวิหารที่ยิ่งใหญ่เพิ่งจะปรากฏขึ้นไม่นานมานี้เอง ยังห่างไกลกับการเป็นวิหารหยกที่สมบูรณ์แบบมากนัก ขณะที่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงกันข้ามกลับใช้เวลาเพียงแปดปีก็บรรลุตบะขั้นสร้างฐานระดับกลางได้แล้ว ซึ่งนับว่าห่างชั้นกว่าเขามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระดับพลังอิทธิฤทธิ์ วิชา… หรือแม้กระทั่งกลยุทธ์ประเภทต่างๆ รวมทั้งความรู้ จ้านจื่อเย่เหนือกว่าเขาอยู่หลายขุม

          เมื่อวานที่หอเถิงอวิ๋น หลิวเสี่ยนอาจารย์ของเขาได้ประเมินออกมา หากเขาต้องพบกับจ้านจื่อเย่ โอกาสที่จะชนะนั้นมีไม่ถึงหนึ่งส่วน นี่คือผลที่ได้หลังจากที่เหล่าผู้อาวุโสของหอกระบี่นภาเค้นสมองคิดออกมาแล้ว

          แน่ละว่าหากเขาคิดจะทิ้งไพ่ทุกใบเพื่อให้ได้ชัยชนะ ก็มีหลายทางที่เขาจะทำได้ สำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้มีวิชามากมายเท่าสำนักเซียนหมื่นเวท แต่ก็มีวิชาต้องห้ามระดับเซียนอยู่ไม่น้อย แต่ต้องแลกมาด้วยอายุขัยดั้งเดิม การบำเพ็ญเซียนในอนาคต คำสาบานกับปีศาจในใจ… การระเบิดพลังในระยะเวลาสั้นๆ และอื่นๆ กลยุทธ์เหล่านี้ถือว่ามีไม่น้อย ทว่าหากเขารีบใช้มันตั้งแต่แรก ก็เท่ากับว่าแพ้ภัยตัวเอง อีกฝ่ายยังไม่ได้หงายไพ่สักใบ ทว่าฝั่งนี้กลับอวดกางเกงในสีสันฉูดฉาดเสียแล้ว หากนี่ไม่เรียกว่าพ่ายแพ้ แล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก

          ทว่าแม้เขาจะรู้ว่าไม่อาจเลี่ยงความพ่ายแพ้ได้ เหย่ยวินก็มีจิตวิญญาณนักสู้สูงส่ง คู่แข่งของเขาเป็นถึงตัวแทนหลักของสำนักเซียนหมื่นเวท หนึ่งในอัจฉริยะมากพรสวรรค์ของโลกบำเพ็ญเซียน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะพ่ายแพ้… เขาก็แค่ต้องทุ่มเต็มที่และสนุกไปกับการประลองก็เท่านั้น

          “เฮ้ เฮ้ ศิษย์น้องเหย่ยวิน เจ้าทำท่าทางอะไรเช่นนั้น”

          ทันทีที่เยว่ยวินตัดสินใจที่จะสนุกไปกับการประลอง เสียงคุ้นหูก็ดังมาจากด้านล่างลานเมฆา

          “ศิษย์พี่หวังลู่?”

          “ชิ ทำไมเจ้าถึงทำท่าราวกับเป็นผู้พลีชีพที่ปลงตกแล้วเช่นนั้นเล่า แบบนี้ก็แปลว่าเจ้าโยนผ้าขาวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มแข่งเลยนี่ หนำซ้ำเจ้ายังดูมีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้อีก ศิษย์น้อง นี่เจ้าไม่คิดจะพยายามหน่อยหรือ”

          เมื่อถูกระดมยิงด้วยชุดคำถามจากหวังลู่ เหย่ยวินก็ทำได้เพียงยิ้มหยันออกมา “แต่เขาแข็งแกร่งกว่าข้าหลายเท่านัก”

          หวังลู่เหยียดยิ้ม “หากข้าเป็นแบบเจ้าที่ยอมแพ้ตั้งแต่แรกเพราะฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่า ข้าคงพ่ายแพ้มาร้อยครั้งรวดแล้ว หากพลังของเจ้าด้อยกว่า เช่นนั้นก็ใช้สมองเข้าไปทดแทนสิ! ช่างเถอะๆ ข้ารู้ว่าเรื่องสมองเจ้าก็ไม่ถนัด ดังนั้นข้าจึงเตรียมถุงผ้าไหมมาให้ ใช้มันเมื่อเจ้าเห็นโอกาส มันอาจจะไม่ช่วยให้เจ้าเอาชนะการประลองรอบนี้ แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์อยู่”

          จากนั้นเขาก็โยนถุงผ้าสีเหลืองหม่นไปให้เหย่ยวิน พอเยว่ยวินทำท่าจะเปิดออก หวังลู่ก็รีบขัดขึ้นมา “ใช้เมื่อถึงคราววิกฤต อย่าใจร้อนรีบเปิดสิ!”

          “อ้อ”

          เมื่อรับถุงผ้ามา จิตใจของเยว่ยวินก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ในตอนนั้นเอง สุดท้ายจ้านจื่อเย่ก็เพ่งความสนใจมายังคู่แข่งของเขา

          เยว่ยวิน ตบะขั้นฝึกปราณระดับสอง รากวิญญาณธาตุดิน… หลังจากประเมินรอบด้านแล้ว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้านจื่อเย่ ทว่าแม้อีกฝ่ายจะด้อยกว่า จ้านจื่อเย่ก็ไม่คิดออมมือ ไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่าย หากอิงจากการคำนวณก่อนการต่อสู้ โอกาสที่เขาจะชนะมีมากถึงเก้าส่วน ด้วยความรอบคอบ ฝ่ายตรงข้ามต้องใช้วิชาตั้งรับที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อประวิงเวลา ทว่าเมื่อดูจากพลังอิทธิฤทธิ์ รากวิญญาณและเงื่อนไขอื่นๆ ของอีกฝ่าย ฝั่งนั้นน่าจะทนต่อการโจมตีซึ่งหน้าของเขาได้ไม่ถึงห้านาที และเพราะอีกฝ่ายไม่อาจปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการตั้งรับได้อย่างต่อเนื่อง เขาก็น่าจะสามารถทะลวงการตั้งรับของอีกฝ่ายด้วยการเปลี่ยนท่าการโจมตี… ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขามากนัก

          เมื่อมีวิธีการในการจำกัดอีกฝ่ายมากเกินไป เขาก็ไม่แย่แสสิ่งที่เรียกว่าจุดอ่อน คนของสำนักเซียนหมื่นเวทถนัดเรื่องการเคลื่อนย้ายสิ่งของหนักๆ ด้วยการใช้พลังเพียงเล็กน้อยก็จริง ทว่าหากจำเป็น พวกเขาก็สามารถใช้พลังทั้งหมดที่มีได้!

          เมื่อคิดถึงตรงนี้ พลังห้าอสนีบาตที่อยู่ภายในแอ่งอสนีบาตในวิหารหยกของเขาก็เริ่มแผดเสียงออกมา เมื่อดูจากภายนอดผู้คนต่างเห็นว่าร่างของจ้านจื่อเย่ปลดปล่อยคลื่นไฟฟ้าแปลบปลาบออกมาและร่างของเขาก็เริ่มลอยขึ้น สายฟ้าที่เต็มไปด้วยพลังรุนแรงที่ซึ่งสามารถทำให้ใจของผู้คนเต้นระรัวเริ่มบิดงอออกจากมือของเขา

          ที่ลานประลอง แต่ละสำนักส่งผู้อาวุโสลงมาหนึ่งคนเพื่อเป็นกรรมการ ฝ่ายสำนักเซียนหมื่นเวท แน่นอนว่าคือหยวนฉาวเหนียน ส่วนทางฝั่งสำนักกระบี่วิญญาณคือหลิวเสี่ยน

          เมื่อเห็นสายฟ้าจากร่างของจ้านจื่อเย่ หลิวเสี่ยนก็ขมวดคิ้ว “นี่คือกายสายฟ้าหรือนี่ ข้าว่าเขาน่าจะเพิ่มความร้อนไปได้ถึงแปดชั้น ไม่คิดเลยว่าศิษย์จากสำนักชั้นสูงเช่นท่านจะสามารถบรรลุขั้นกายสายฟ้าได้ทั้งที่มีตบะเพียงขั้นสร้างฐานระดับกลางเท่านั้น”

          หยวนฉาวเหนียนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ทว่าในใจกลับตกตะลึง แม้จ้านจื่อเย่จะสามารถสำแดงกายสายฟ้าได้ถึงแปดชั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขาสำแดงมันออกมาเพียงหกชั้นเท่านั้น! หนำซ้ำไม่กี่ปีมานี้ สำนักของเขาเพิ่งพัฒนาวิชานี้ขึ้น ทำให้รูปแบบของมันแตกต่างจากรูปแบบที่เคยมีมา ทว่าไม่น่าเชื่อว่าแม้ขั้นตบะของผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่วิญญาณคนนี้จะไม่สูงนัก แต่สายตาของเขากลับเฉียบคมยิ่งนัก!

          “เยว่ยวินของสำนักท่านเองก็ไม่เลว ทักษะพื้นฐานมั่นคงมาก เห็นได้ชัดว่าเขาฝึกอย่างหนักในขั้นหลอมร่าง”

          หลิวเสี่ยนกล่าว “ฮ่าๆ ต่อหน้ากายสายฟ้าของจ้านจื่อเย่ ขั้นหลอมร่างของสำนักข้ากลายเป็นของเด็กเล่นไปเลย… เอาละ อย่ามัวทำให้การแข่งล่าช้าอยู่เลย ให้พวกเขาเริ่มแข่งกันเถอะ”

          “เช่นนั้นก็ออกคำสั่งเถิด ศิษย์พี่หลิว”

          อึดใจถัดมา ทันทีที่ผู้เป็นกรรมการส่งสัญญาณ ประกายแสงวูบวาบก็ปรากฏไปทั่วลานเมฆาราวกับว่ามีสายฟ้าฟาดรุนแรงที่บนลานนั่น ทำให้เหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณที่ล้อมรอบอยู่แตกตื่นไม่น้อย

          เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องที่ทำเอาหลายคนตกอกตกใจก็ตามมาติดๆ ระลอกเมฆทิ้งตัวลงมาที่ลานประลอง พยายามทำให้พลังที่ไหลทะลักเข้ามาสลายไป ไม่ช้าเสียงฟ้าผ่าและสายฟ้าวูบวาบก็ค่อยๆ สงบลง บนลานประลอง ผลของการแข่งขันในครั้งนี้เกือบเป็นที่ประจักษ์แล้ว

          คนทั้งสองต่างยังยืนนิ่งอยู่บนลานประลองโดยไม่ได้เปลี่ยนท่าทางแม้แต่น้อย ทว่าสายฟ้าบนมือขวาของจ้านจื่อเย่ดับลงแล้ว ที่อีกฝั่งหนึ่ง เลือดค่อยๆ ไหลออกมาจากมุมปากของเยว่ยวินขณะที่เขาไอออกมาสองสามครั้ง

          ถึงตอนนี้พวกเขาปะทะกันเพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น ทว่าสายฟ้าของจ้านจื่อเย่กลับเจาะทะลุเกราะดินที่เยว่ยวินแสนจะภูมิใจได้อย่างง่ายดาย แม้เกราะของเขาจะสกัดพลังจากฝ่ามือสายฟ้าและไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บหนัก แต่เกราะป้องกันของเยว่ยวินเชื่อมต่อกับใต้ฐานของเขส เมื่อมันแตกออก ใต้ฐานของเขาก็สั่นสะเทือนและทำให้เกิดอาการบาดเจ็บภายใน

          ขณะพยายามโคจรพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อซ่อมแซมใต้ฐาน เยว่ยวินก็ถอนใจ นี่แค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น… หนำซ้ำ หากไม่เป็นเพราะเขารอบคอบ ปรับระดับพลังของเกราะจนถึงขีดสุด ก่อนหน้านี้เขาย่อมไม่อาจทนได้ถึงหนึ่งกระบวนท่าด้วยซ้ำ

          เมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์จากห้าวิเศษที่มีสถานะเท่าเทียมกันหรือไม่ก็สูงกว่า เยว่ยวินก็ได้ตระหนักว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเป็นอย่างไร ความทรงพลังที่เต็มเปี่ยมนั้น… มากเกินกว่าที่เขาจะรับได้

          แม้ตอนนี้เยว่ยวินจะสามารถใช้กระบวนท่าได้อีกมากมาย แต่เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามจุดไฟในมือข้างขวาขึ้นอีกครั้ง เขาก็รู้ว่าดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์… ในเมื่อไม่มีตัวเลือกอื่นอีก ดูเหมือนว่าเขาคงต้องพึ่งกลยุทธ์ในถุงผ้าที่ศิษย์พี่ให้มาเสียแล้ว

          เมื่อคิดได้ดังนี้ เยว่ยวินก็เปิดถุงผ้าไหมสีน้ำเหลืองหม่นออก ข้างในนั้นเพียงผ้าเช็ดหน้าไหมผืนเดียวเท่านั้น

          หลังจากที่หยิบผ้าเช็ดหน้าไหมขึ้นมา เยว่ยวินก็อึ้งไป ทว่าเขาเห็นจ้านจื่อเย่แสดงสีหน้าประหลาดใจยิ่งกว่า เมื่อพลังวิญญาณขั้นปฐมที่ดึงออกไปใช้ เขาก็แทบจะรักษากายสายฟ้าบนตัวไว้ไม่ได้!

          “เป็นไปได้ไหมว่ากลิ่นคุ้นจมูกนี่จะเป็นของ…”

          เยว่ยวินแทบไม่เชื่อหู ทว่าเขาก็ได้เห็นว่าในถุงผ้าสีเหลืองหม่นยังมีกระดาษอยู่แผ่นหนึ่งเขียนไว้ว่า วิธีใช้…

          “เอ่อ นี่คือ ผ้าเช็ดหน้าส่วนตัวของศิษย์พี่หญิงหลิวหลี นางเอาไว้ใช้เช็ดเหงื่อตัวเอง หากเจ้าต้องการ งั้นจงยอมแพ้เสีย”

          หลังจากอ่านจบ มือของเยว่ยวินก็สั่นระริก เขาแทบจะเขวี้ยงผ้าเช็ดหน้าลงกับพื้น

          ในขณะเดียวกัน ความเงียบก็เข้าปกคลุมทั่วทั้งลานเมฆา อึดใจถัดมา เสียงมีชีวิตชีวาของสาวน้อยก็ดังก้องขึ้น “อ้า เป็นผ้าเช็ดหน้าไหมที่ข้าทำหายไปเมื่อสองวันก่อนจริงๆ ด้วย!” ทันใดนั้น พลังลึกลับก็ตรงเข้าไปปิดปากนางทำให้ไม่อาจพูดออกมาได้อีก

          ผ่านไปพักใหญ่ จ้านจื่อเย่ก็เปิดปากขึ้น “เมื่อกี้เจ้าว่ายังไงนะ”

          เยว่ยวินพยายามอย่างหนักในการเกลี้ยกล่อมให้ตัวเองอ่านข้อความนั้นอีกครั้ง “หากเจ้าต้องการ งั้นจงยอมแพ้เสีย”

          “ล้อกันเล่นรึเปล่า”

          ใบหน้าของเยว่หยินแสดงอารมณ์ที่หลากหลาย “เอ่อ… ข้าก็หวังให้เป็นเรื่องล้อเล่นเหมือนกัน…”

          ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงคนผู้หนึ่งพูดขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน “พี่จ้าน คิดดูให้ดี การแข่งขันครั้งนี้ ต่อให้ท่านเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดและได้เป็นผู้ชนะ แล้วอย่างไรเล่า ตอนนี้ท่านก็ได้เป็นตัวแทนหลักของสำนักแล้ว ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ จะได้เพิ่มอีก ทว่ามีเพียงโอกาสนี้เท่านั้นที่ท่านจะได้ผ้าเช็ดหน้านั่นไปครอง”

          จ้านจื่อเย่สอดส่ายสายตา “นั่นใครน่ะ”

          เสียงที่ดังออกมานั้นเป็นเสียงมายา ซึ่งตั้งใจปกปิดตัวตนด้วยวิธีพิเศษ หนำซ้ำนี่ยังเป็นถิ่นของสำนักกระบี่วิญญาณ ดังนั้นจ้านจื่อเย่จึงไม่อาจค้นหาต้นตอของเสียงดังกล่าวได้

          “การแข่งขันแลกเปลี่ยนสัมพันธ์ในครั้งนี้ให้อะไรกับท่านนอกจากความภาคภูมิใจ สำนักเซียนหมื่นเวทที่ทรงเกียรติชนะการแข่งขั้นครั้งนี้ไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรหรือ อย่างไรเสียทุกคนก็ได้เห็นพลังของท่านแล้ว แม้ท่านจะพ่ายแพ้การแข่ง แต่ก็ไม่ได้เสียชื่อเสียง หนำซ้ำยังแสดงให้เห็นถึงความจริงใจอีกด้วย!”

          จ้านจื่อเย่นิ่งอึ้ง “เรื่องนี้…”

          “ข้าเชื่อว่าไม่มีหญิงสาวคนใดที่จะปฏิเสธชายหนุ่มที่จริงใจ เร่าร้อนและแข็งแกร่งเช่นท่านแน่ ดังนั้นพี่จ้าน ท่านควรจะใคร่ครวญให้ดีๆ”

          จ้านจื่อเย่เพ่งมองไปยังผ้าเช็ดหน้าไหมในมือของเยว่ยวินและเริ่มทบทวนตัวเลือกที่ยากเย็นนี้

          ผู้ที่ถูกสายตาของจ้านจื่อเย่จ้องมองรู้สึกราวกับว่ารอบตัวของตนเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เงียบสงัด เมื่อคิดถึงความโกรธเกรี้ยวของหลิวเสี่ยน ฟางเฮ่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ หลังจากนี้ เยว่ยวินก็อยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา

          ‘ศิษย์พี่ ครั้งนี้ท่านทำข้าถึงตายแน่’

          ทว่ากลับกัน หากจ้านจื่อเย่ตัดสินใจยอมแพ้จริงๆ เช่นนั้นแล้ว…

          และในตอนนั้นเอง ผู้ที่อยู่ด้านนอกสนามประลองอีกคนก็ตะโกนขึ้นมา “ศิษย์พี่ ท่านอย่าหลงกลเชียว!”

          จ้านจื่อเย่หันหลังขวับ และกล่าวพร้อมใบหน้าที่แดงเรื่อเล็กน้อย “ศิษย์น้องอวิ๋นฟาน? จะ เจ้าพูดเรื่องอะไร ข้าจะตกหลุมพรางเล่ห์กลห่วยๆ  นี้ได้อย่างไร!”

          ทว่าทันทีที่พูดจบ เขาก็หันกลับมาจ้องที่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดิม ทรยศในสิ่งที่เคยพูดไปเสียสิ้น

          ไห่อวิ๋นฟานส่ายศีรษะอย่างสิ้นหวังพลางดึงสิ่งที่ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาอ้าปากค้างออกมา

          มันคือผ้าเช็ดหน้าอีกผืน แม้ลวดลายจะต่างกับของที่อยู่ในมือเยว่ยวิน แต่กลิ่นบนผ้าเช็ดหน้ากลับเหมือนกัน

          “จะ เจ้าไปเอามาจากไหน… !?”

          ไห่อวิ๋นฟานเหยียดยิ้ม “เมื่อกี้ข้าเพิ่งไปขอกับเจ้าตัวมา ศิษย์พี่หญิงหลิวหลีช่างใจกว้างนัก นางยอมแลกผ้าเช็ดหน้าผืนนี้กับลูกอมสองเม็ด…ศิษย์พี่ ฟังข้านะ พอท่านชนะการประลองรอบนี้ ข้าจะให้ผ้าเช็ดหน้านี่กับท่าน”

          ความเงียบเข้าปกคลุมเวทีประลอง อึดใจถัดมา เสียงมายานั่นก็คร่ำครวญขึ้น “ยัยหลิวหลีหน้าโง่ทำลายแผนของข้าเสียได้!”

…………………………………………………