ตอนที่ 380 คำสัญญา / ตอนที่ 381 ใจหวั่นไหว

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 380 คำสัญญา

 

 

ที่จริงไม่ว่าจะอยู่ในตำหนักหรือในคุก ถังเฉียนกลับรู้สึกว่าไม่แตกต่างกันเท่าไร

 

 

เมื่อคิดดูแล้วห้องขังสกปรกกว่าบ้าง ถึงกลางดึกสะดุ้งตื่นเพราะฟางทิ่มตัว และจะเห็นหนูวิ่งเพ่นพ่านหลายตัว

 

 

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องไม่ดี พวกมันกลายเป็นอาหารสำหรับเสี่ยวจิน ในคุกก็ไม่มีใครเห็นนาง ไม่มีคนคอยชี้หน้าว่าเป็นนางปีศาจ

 

 

นางเองไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ตามเหตุผลแล้วนางน่าจะเป็นคุณหนูที่ผ่านการเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม แต่หลังจากเข้ามาในนี้แล้ว นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเคยผ่านความทุกข์ยากมามากกว่านี้ เมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร

 

 

อีกประการหนึ่ง การใช้ชีวิตในคุกนี้กลับเป็นความเงียบสงบที่หาได้ยาก หากไม่ใช่เพราะสภาพแวดล้อมและอาหารที่ย่ำแย่ นางคงไม่อยากออกไปจากที่นี่

 

 

เมื่อฉู่จิ่งเหยาเสด็จมา ทรงทอดพระเนตรเห็นฉากนี้ ถังเฉียนนั่งอยู่ที่มุมห้อง ผมเผ้ากระเซิง หน้าตามอมแมม ใช้สองมือกอดเข่า ใบหน้าเรียวเล็กที่เยาว์วัยดูซูบผอมลงอย่างชัดเจน ดูจะเล็กกว่าฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงรู้สึกเจ็บแปลบพระทัย พระองค์ทรงจำบ่ายวันนั้นบนชิงช้าได้ ถังเฉียนนอนอยู่บนเบาะ สีหน้าผ่อนคลาย ในฝันมุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อย ทำให้พระองค์ทรงเหม่อมองถึงหนึ่งชั่วยาม

 

 

ขณะนั้นทรงคิดว่าต่อไปจะทรงปฏิบัติต่อนางดีทุกอย่าง ให้นางนอนหลับฝันหวานอย่างไร้ความทุกข์ร้อน ไร้ความกังวล

 

 

แต่ความจริงที่โหดร้ายกระหน่ำมาอย่างไม่ทันตั้งตัว คนที่พระองค์ทรงรักใคร่เอ็นดูที่สุดในพระทัย บัดนี้นั่งขดอยู่ในห้องขังราวกับหนูตัวน้อย ส่วนพระองค์กลับทำอะไรไม่ได้

 

 

“เฮ้อ!” ทรงแอบยิ้มเยาะตัวของพระองค์เอง พระองค์ทรงทำอะไรลงไปแล้ว อย่างน้อยที่สุดคนที่ส่งนางมาขังคุกก็คือพระองค์เอง

 

 

ถังเฉียนรู้สึกได้ว่ามีคนมา ค่อยๆ เงยศีรษะที่ซุกอยู่บนเข่าขึ้น นางมองเห็นฉู่จิ่งเหยา ดวงตานางแดงก่ำเพราะพักผ่อนไม่พอ

 

 

“ฝ่าพระบาท…”

 

 

ฉู่จิ่งเหยาปวดพระทัยอย่างรุนแรง ทรงลังเลเล็กน้อยแล้วตรัสว่า

 

 

“อาหรูน่า เจ้าสบายดีหรือไม่”

 

 

ถังเฉียนยิ้ม แล้วทูลว่า

 

 

“ด้วยพระบารมีของฝ่าพระบาท หม่อมฉันสบายดีเพคะ”

 

 

ที่นางพูดเป็นความจริง ไม่ใช่คำหลอกลวง นางพูดตามความจริง ไม่มีความหมายในเชิงกล่าวโทษแต่อย่างไร

 

 

นางคิดว่าที่นี่ดีจริงๆ ไม่มีการต่อสู้แก่งแย่งอย่างเ**้ยมโหดอย่างในวัง ถึงตัวจะอยู่ในห้องขัง แต่กลับวางตัวตามสบายได้

 

 

ฉู่จิ่งเหยากลับกำพระหัตถ์แน่น พระสุรเสียงทุ้มหนัก ทรงอัดอั้นพระทัย แล้วตรัสออกมาอย่างยากเย็นแม้แต่พระสุรเสียงก็แหบแห้ง

 

 

“อาหรูน่า เจ้ารออีกระยะหนึ่ง รอไม่นานหรอก เจิ้นจะทำทุกวิธีเพื่อช่วยเจ้าออกมา!”

 

 

ถังเฉียนสั่นศีรษะช้าๆ ยิ้มแล้วทูลว่า

 

 

“ฝ่าพระบาทเพคะ หม่อมฉันน้อมรับน้ำพระทัยของพระองค์ แต่หม่อมฉันอยู่ที่นี่สบายดี ถึงฝ่าพระบาทจะช่วยหม่อมฉันออกไปจากที่นี่ หม่อมฉันก็ไม่อยากอยู่ในวังอีกแล้วเพคะ”

 

 

นางเพิ่งอาศัยอยู่ในวังหลวงระยะสั้นๆ นับดูแล้วก็แค่สองสามเดือน กลับผงะกับความมืดมนของที่นี่ต่อให้ที่นี่เลิศหรูเพียงไร นางก็เป็นแค่นกน้อยในกรงทองเท่านั้น

 

 

บางทีฉู่จิ่งเหยาอาจจะไม่ทรงได้ยิน หรือพระองค์ทรงจงใจเมินเฉย พระองค์เพียงแต่ทรงยืนยันว่า

 

 

“อาหรูน่า เจิ้นต้องพาเจ้าออกไปแน่ เจิ้นจะไม่ยอมให้เจ้าต้องลำบากเช่นนี้อีก”

 

 

ถังเฉียนนิ่งเงียบ แล้วสั่นศีรษะช้าๆ สองสามที สุดท้ายจึงยิ้มแล้วทูลว่า

 

 

“เพคะ หม่อมฉันจะรอพระองค์”

 

 

มีแสงส่องลอดช่องที่เล็กแคบของห้องขังเข้ามา สีทองเจิดจ้า สาดลงบนปลายผมถังเฉียน สว่างจนดูไม่เข้ากัน

 

 

ฉู่จิ่งเหยาประทับอยู่ครู่หนึ่ง แล้วได้ยินเสียงขันทีข้างนอกร้องบอก

 

 

“ฝ่าพระบาท ถึงเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

พระองค์ทรงหันมาทอดพระเนตรมองถังเฉียนอีกครั้ง เหมือนจะจดจำนางไว้ลึกๆ ที่ไหนสักแห่ง

 

 

 

 

ตอนที่ 381 ใจหวั่นไหว

 

 

หลังจากฉู่จิ่งเหยาไปแล้ว นอกห้องขังมีเงาร่างที่คุ้นเคยวาบผ่านไป จากนั้นร่างนั้นก็มาอยู่ด้านข้างห้องขัง ดูแล้วน่าจะเป็นคนที่มาอารักขา

 

 

ถังเฉียนมองดูแล้วพบว่าเป็นหวังหู่ แล้วได้ยินหวังหู่พูดเสียงเบากับนาง

 

 

“พระสนมไม่ต้องร้อนใจ เพียงอยู่เฉยๆ สักสองสามวัน ฝ่าพระบาทย่อมทรงช่วยท่านออกไปได้”

 

 

หลังจากที่หวังหู่มาแล้ว สภาพนางดีขึ้นมาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนเสื่อฟาง ไม่ต้องกินแค่หัวผักกาดอีก

 

 

ทันใดนั้นถังเฉียนก็นึกถึงท่าทีของฉู่จิ่งเหยาในวันนั้น รวมทั้งน้ำเสียงที่เฉียบขาด รุนแรงและเผ็ดร้อน

 

 

นางรู้สึกเหมือนบางจุดในใจถูกเกี่ยวจนสั่นไหวเล็กน้อย ราวกับถูกแมลงตัวเล็กที่ไม่เชื่อฟังกัดเบาๆ รู้สึกแสบ เจ็บเล็กน้อย ทำให้อดใจไม่ได้ต้องหันมาสนใจ

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงมีพระบัญชาให้มหาเสนาบดีซูมาเข้าเฝ้ายังห้องทรงพระอักษร ไม่เหนือความคาดหมายเมื่อทอดพระเนตรเห็นสีหน้าที่กระหยิ่มใจของเขา

 

 

พระองค์ไม่ทรงลังเลพระทัย ตรัสเข้าเรื่องทันที

 

 

“ท่านอำมาตย์ซูเจิ้นคิดทบทวนดูแล้วรู้สึกว่าคนที่มีเหตุผลอย่างท่าน ย่อมไม่เชื่อคำร่ำลือ ไม่เชื่อเรื่องนางปีศาจที่กล่าวขานกัน”

 

 

มหาเสนาบดีซูผายมือออกอย่างนอบน้อม แล้วทูลอย่างเคร่งขรึมว่า

 

 

“ฝ่าพระบาท เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของประเทศเรา ยอมเชื่อว่ามี ดีกว่าเชื่อว่าไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฉู่จิ่งเหยาใช้พระหัตถ์เกาะโต๊ะไว้แน่น สีพระพักตร์ดูเรียบเฉย ในพระทับแอบด่าว่าเจ้าจิ้งจอกเฒ่า แต่กลับแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า

 

 

“ท่านมหาเสนาบดีล้อเล่นแล้ว ไหนเลยจะมีคำพูดไร้สาระที่ว่าชะตากรรมของชาติถูกทำลายด้วยน้ำมือของเด็กสาวคนเดียว นั่นเป็นการคาดเดาที่เหลวไหล อีกอย่างพระสนมคนนั้นเจิ้นเองก็ชื่นชอบมาก ท่านมีอำนาจบารมีในราชสำนัก หวังว่าจะสามารถให้คำแนะนำแก่คนที่สับสน”

 

 

มหาเสนาบดีซูลูบเครา ไม่บอกว่าได้หรือไม่ได้ ครู่หนึ่งจึงทูลว่า

 

 

“เกล้ากระหม่อมย่อมไม่อาจขัดพระทัยพระบาทได้ แต่ในบ้านเกล้ากระหม่อมยังมีบุตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน นางชื่นชมฝ่าพระบาทตลอดมา ไม่ทราบว่าฝ่าพระบาทจะทรง…”

 

 

ฉู่จิ่งเหยาแย้มพระสรวลแล้วว่า

 

 

“เจิ้นรู้นานแล้วว่าบุตรีของท่านเป็นคนฉลาดมีคุณธรรม มีตำแหน่งพระสนมว่างอยู่ เกรงแต่ว่าท่านอำมาตย์จะไม่ยอมเสียของรัก”

 

 

มหาเสนาบดีถวายบังคม แล้วทูลว่า

 

 

“ฝ่าพระบาททรงมีพระเมตตา ถือเป็นเกียรติยศของบุตรีเกล้ากระหม่อม ย่อมไม่มีการไม่ยอมเสียของรักพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

การพูดคุยมาถึงตรงนี้ก็เรียบร้อยแล้ว ฉู่จิ่งเหยาแย้มพระสรวลพลางทอดพระเนตรมหาเสนาบดีซูออกไปจากห้องทรงพระอักษร เงาร่างของเขาเพิ่งหายลับไป ฉู่จิ่งเหยาก็ทรงขว้างถ้วยชาลงบนพื้นอย่างเต็มแรง

 

 

เศษกระเบื้องสีขาวกระจายไปทั่วพื้น บรรดาคนในวังต่างยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ จนฉู่จิ่งเหยาทรงสะบัดชายแขนฉลองพระองค์แล้วเสด็จออกไป คนเหล่านี้จึงเข้ามาเก็บกวาด

 

 

ถังเฉียนรออยู่ในห้องขังไม่นานเพียงหนึ่งวันกับหนึ่งคืน ฉู่จิ่งเหยาก็เสด็จพาคนมา นำนางออกไป

 

 

ยังคงเป็นวังและตำหนักเดิม มหาดเล็กและนางกำนัลเดิม แม้แต่การตกแต่งในตำหนักก็ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีมาตรการลดขั้นพระสนมแต่อย่างไร

 

 

ราวกับว่าช่วงเวลาที่มืดมนในห้องขัง เป็นเพียงความรู้สึกหลอนของนางเท่านั้น

 

 

นางยังคงเป็นพระสนมเฉียน ยังคงเป็นที่โปรดปรานในวังใน ฉู่จิ่งเหยาเสด็จมาหานางทุกวัน

 

 

เพียงคราวหนึ่งที่ได้ยินจากนางกำนัลปากเปราะพูดว่าฝ่าพระบาททรงประหารทหารองครักษ์ผู้หนึ่ง

 

 

วันเวลาผ่านไปเช่นนี้ ฉู่จิ่งเหยาทรงดีต่อนางยิ่งขึ้น นางฝันน้อยลงแล้ว ถ้าฉู่จิ่งเหยาประทับอยู่ด้วยก็แทบจะไม่ฝันเลย

 

 

ลูกกระพรวนแดงบนหน้าผากในฝันก็ดูเลือนรางไปแล้ว

 

 

ถังเฉียนเริ่มคาดหวังการเสด็จมาของฉู่จิ่งเหยา พอพบพระองค์ก็จะแอบดีใจ นางได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี อยู่ห่างไกลจากความมืดมนเหล่านั้น ราวกับว่าวังในทั้งหมดที่ใหญ่โตมีเพียงนางคนเดียว

 

 

พูดง่ายๆ ก็คือถังเฉียนรู้สึกว่านางมีความสุขจนเลิกคิดถึงอดีตแล้ว