ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
บทที่****202-2: เหตุใดจึงฆ่า?
สำนักเสวียนเทียนคือสำนักแห่งความชอบธรรม ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างถือครองอำนาจทัดเทียมกัน สองฝ่ายจะต้องถกเถียงกันด้วยหลักการแหละเหตุผล แม้คุณชายใหญ่และคุณชายรองต้องการหั่นเจ้าอ้วนเป็นพันชิ้น ทว่าพวกเขาไม่อาจหาข้ออ้างอื่นใดในการกระทำเช่นนั้นได้ นอกจากนี้กิจกรรมทางเพศของเจ้าอ้วนนั้นไม่นับเป็นความผิดถึงขั้นสมควรตายแต่อย่างใด
หลังผ่านการไตร่ครองพักหนึ่ง คุณชายรองกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น ไขมันสารเลวผู้นี้ทำการสังหารสหายร่วมสำนัก มันนับว่าเป็นตัวอันตราย พวกเราไม่ควรปล่อยมันไปโดยง่าย ทางที่ดีควรทำลายการฝึกฝนของมันและขับไล่ออกจากสำนักเสีย!”
“ไม่มีทาง!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “ข้าคิดว่าซ่งจงทำไปเพื่อปกป้องตนเองเท่านั้นและมันไม่ผิด!”
ในขณะที่จินได้ยินคำพูด เขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปพร้อมกับตะโกนออกมา “เขาฆ่าพี่น้องของข้าไปสามคน เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจทำเรื่องนี้! อาชญากรรมที่เขาทำมันจะถูกลบล้างได้เพียงเพราะกล่าวว่ามันเป็นการป้องกันตนเองงั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าช่างเป็นคนมีอารมณ์ขันยิ่งนัก!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าตั้งใจทำมันงั้นหรือ? ข้าหนึ่งคนสังหารพวกเจ้าทั้งสี่หรือ? เจ้าช่างมีอารมขันนัก ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นกลาง แต่ข้ากลับต้องการที่จะก่ออาชญากรรมกับผู้ฝึกตนระดับจินตันและผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายงั้นหรือ? ในหัวของเจ้ายังมีสมองอยู่หรือไม่?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ในขณะที่ทุกคนได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น ทั้งหมดหัวเราะออกมาทันที
สำหรับจิน เขาโกรธจัดเมื่อได้รู้ตัวว่ากล่าวอะไรผิดพลาดอีกแล้ว
แต่เจ้าอ้วนยังไม่ยอมแพ้พร้อมกล่าวต่อไป “ทั้งสี่พี่น้องเข้ามาที่บ้านของข้าด้วยเจตนาชั่วร้าย แต่กลับถูกข้าสังหารไปสามคนและบาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจินตันคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้ามีสิทธ์อะไรที่จะร้องไห้และอ้อนวอนกับอาจารย์ของตนเอง? สวรรค์ คนอย่างเจ้ายังนับเป็นบุรุษอยู่อีกหรือ? เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้เบี่ยงเบน? หากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับข้า แน่นอนว่าข้าคงไม่สามารถแบกหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว!”
“เจ้า!” จินหน้าซีดอย่างรวดเร็วพร้อมกับชี้ไปที่เจ้าอ้วนอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาโกรธจัดจนพ่นเลือดออกมาหนึ่งคำพร้อมกับความรู้สึกที่คล้ายจะเป็นลม
เมื่อคุณชายรองเห็นเช่นนั้น เขาโกรธทันที ดวงตาของเขาหรี่ลงพร้อมกับต้องการสังหารเจ้าอ้วนในตอนนี้ แต่คุณชายใหญ่ดึงเขากลับมาพร้อมกล่าวกับนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่จ้าวสำนัก ศิษย์ผู้นี้ได้รับบาดเจ็บมากนักเพราะศิษย์ของท่านในวันนี้ ข้าจะขอตัวก่อนและจะเข้าพบท่านเพื่อหารือในภายหลัง ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“ย่อมได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างสงบ “ข้าจะรอพวกเจ้า!”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน!” คุณชายใหญ่กล่าวออกมา เขาดึงตัวคุณชายรองออกมาพร้อมกับไม่ลืมที่จะหิ้วจินออกไปด้วย
หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้น ทุกคนสามารถแยกย้ายได้แล้ว ส่งคนมาเพื่อเก็บกวาดลานม่านหมอกด้วย ความยุ่งเหยิงนี้คงยากจะใช้ชีวิตต่อ!”
“ขอรับ” ศิษย์เหล่านั้นตอบกลับ
แต่เจ้าอ้วนถูกดึงตัวไปด้านข้างของนักบวชฮัวอวิ๋นและเขาเริ่มการบ่นทันที “เด็กน้อยทำไมเจ้าไม่รู้จักควบคุมตนเองบ้าง แม้ว่าเหล่าสี่พี่น้องจะมีความผิด แต่มันเพียงพอที่เจ้าจะสังหารหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น เจ้าสังหารพวกเขาสามคนได้อย่างไรกัน? แน่นอนว่าคุณชายใหญ่และคุณชายรองเจ็บปวดกับเรื่องนี้มากและคงไม่ปล่อยไปโดยง่าย!”
“เฮ้อ…” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า “ท่านจ้าวสำนัก เรื่องทั้งหมดข้าโกหก!”
“หืม?” เมื่อได้ยินการตอบกลับของเจ้าอ้วนเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นตกใจก่อนที่จะกล่าวต่อ “เจ้าโกหกเรื่องอะไร?”
“ที่ข้ากล่าวว่าทั้งสี่พี่น้องเข้ามากวนใจขณะที่ข้ากำลังฝึกฝน ข้าโกหก!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาช้า ๆ “ความจริงแล้วสิ่งที่จินพูดนั้นถูกต้อง ข้ากำลังทำเรื่องอย่างว่ากับมู่ซื่อหรงและหานหลิงเฟิง ในตอนจบพวกเขาทำลายประตูเพื่อเข้ามาและยืนมองร่ายกายหญิงสาวของข้า จากนั้นพวกเขาก็ไม่อาจควบคุมน้องชายของตนเองได้ แล้วบุรุษที่ใดกันเล่าจะทนได้ไหว? ให้ข้าถามท่านบ้าง ถ้าหากสิ่งนี้เกินขึ้นกับท่านบ้าง ท่านจะทำเช่นไร?”
“เรื่องนั้น…” นักบวชฮัวอวิ๋นขมวดคิ้วพร้อมกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ข้าจะสังหารพวกเขาโดยที่ไม่เหลือใครสักคนไว้!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมา “ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าข้านั้นได้แสดงความเมตตาไปแล้ว!”
“ฮ่าฮ่า เจ้าไม่ได้แสดงความเมตตาใดต่อพวกเขาเลย เจ้าต้องการที่จะสังหารจินและไม่เคยคาดคิดว่าจะมีคนมาถึงที่นี่เร็วเช่นนี้ พวกเขาทำให้เจ้าหยุดมือลง ถูกไหม?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เหอะเหอะ!” เจ้าอ้วนลูบหัวตัวเองอย่างเขินอาย “ท่านเดาได้งั้นหรือ?”
“เจ้า!” นักบวชฮัวอวิ๋นบ่นออกมาพร้อมกล่าวต่อ “เอาตามนี้ วันนี้ข้าว่าพอแค่นี้ก่อน จงไปพักผ่อน ส่วนคำตอบก็คงอีกไม่กี่วันถึงจะทราบได้ คุณชายใหญ่และคุณชายรองไม่ปล่อยให้เรื่องราวมันจบลงอย่างง่ายดายแน่นอนในเมื่อศิษย์ของเขาตายถึงสามคน มันคงยากที่ข้าจะปกป้องเจ้า ดังนั้นเจ้าจะต้องเตรียมรับมือกับความทุกข์ยากที่จะเกิดขึ้น!”
“ความทุกข์ยากอะไรกัน?” เจ้าอ้วนถามอย่างหวั่นใจ
“ฮ่าฮ่า ไม่ได้น่ากลัวถึงขั้นนั้น อย่างมากที่สุดเราก็ทำได้เพียงขังเจ้าไว้ไม่กี่ทศวรรษ” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวต่อ “ข้าสามารถจัดสถานที่อย่างดีให้กับเจ้าได้และอนุญาตให้เจ้าพบกับมู่ซื่อหรงได้ทุกวัน แน่นอนว่ามันจะสะดวกสบายเหมือนกับอยู่ด้านนอก!”
“เหอะเหอะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าขอขอบคุณท่านมาก!” เจ้าอ้วนรีบตอบกลับ
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องพิธีรีตองให้มากนัก เราเป็นครอบครัวเดียวกัน!” นักบวชฮัวอวิ๋นตบไหล่เจ้าอ้วนพร้อมกับบินออกไปทันที
ในตอนนี้เหลือเพียงเจ้าอ้วนและหานหลิงเฟิงที่อยู่ในสถานที่ แต่มู่ซื่อหรงนั้นถูกพาออกไปโดยนักบวชฮัวอวิ๋น มันไม่ดีต่อชื่อเสียงของนางที่จะกระทำเรื่องเช่นนี้ในเวลากลางวัน นอกจากนั้นนางยังเป็นถึงหลานสาวของจ้าวสำนัก จึงจำเป็นที่นางจะต้องกลับไปอยู่เงียบๆเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกนินทาในเวลานี้
แต่สำหรับหานหลิงเฟิงนั้นไม่ได้มีข้อจำกัดดังกล่าว เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว นางวิ่งมาหาเจ้าอ้วนพร้อมถามอย่างกังวล “เจ้าอ้วนทุกอย่างเรียบร้อยหรือไม่?”
“อือ!” เจ้าอ้วนพยักหน้า จากนั้นเขาเดินไปที่ซากปรักหักพังพร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม “ในตอนนี้ปัญหาก็คือเราต้องหาที่พักใหม่!”
ด้วยอุปกรณ์ที่เขาใช้ในการต่อสู้ทำให้ลานม่านหมอกของเขาถูกทำลายทั้งหมด แม้ว่าทางสำนักจะส่งคนมาเพื่อจัดการมัน แน่นอนว่าจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูหลายเดือน ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงกลายเป็นคนจรจัดไปแล้วในตอนนี้
เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “บ้านไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ข้าถามว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างหลังจากสังหารเหล่าพี่น้องทั้งสามไปแล้ว?”
“เหอะ สามคนนั้นน่ะหรือ? พวกมันเป็นได้แค่หมาสามตัวเท่านั้น ไม่สำคัญหรอกเรื่องที่พวกมันตายไป แล้วจะมีปัญหาอะไรกันล่ะ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ
“ไม่เป็นปัญหาจริงงั้นหรือ?” หานหลิงเฟิงถามกลับอย่างกังวล
“แน่นอน มากที่สุดก็เพียงแค่ขังข้าไว้สักทศวรรษหนึ่ง ข้าก็เพียงแค่เข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนเท่านั้น! มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย!” เจ้าอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ นับว่าวิเศษนัก!” หานหลิงเฟิงตอบกลับพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงด้วย ในตอนนี้เจ้าไม่มีที่อยู่อาศัย ทำไม… ทำไมเจ้าไม่…”
ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที
ด้วยความฉลาดของเขา แน่นอนว่าเขาเข้าใจทันทีว่าหานหลิงเฟิงคิดอะไรอยู่ แต่เขาทำเป็นแกล้งไม่เข้าใจพร้อมกับถามออกไป “ทำไมไม่อะไรงั้นหรือ?”
หานหลิงเฟิงรู้ได้ทันทีว่าเจ้าอ้วนนั้นแกล้งนางพร้อมกับบ่นเขาทันที “สารเลว เจ้ารู้อยู่แล้วแต่กลับถามออกมางั้นหรือ!”
“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรถ้าหากเจ้าไม่พูดออกมา?” เจ้าอ้วนยังคงเสแสร้งต่อไป
“เลิกกวนประสาทสักที!” หานหลิงเฟิงหยิกแขนเจ้าอ้วนพร้อมบ่น “ลืมมันไปถ้าหากเจ้าไม่รู้!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางหันหลังกลับพร้อมจะเดินออกไป
“แล้วเจ้าจะไปไหน?” เจ้าอ้วนดึงนางกลับมาทันที
“ข้าจะกลับบ้าน!” หานหลิงเฟิงตอบ
“แล้วข้าล่ะ? ข้าต้องทำอะไร?” เจ้าอ้วนแกล้งนางต่อ
“ข้าจะรู้กับเจ้าหรือ! ข้าไม่ขอสนใจอีกว่าเจ้าจะเป็นยังไง!” หานหลิงเฟิงตะโกนออกมา
“เจ้าใจร้ายมาก!” เจ้าอ้วนกอดเอวของนาง มือข้างหนึ่งของเขาขยับขึ้นและอีกข้างขยับลง จากนั้นเขาบ่นออกมา “เจ้าจะทิ้งข้าได้อย่างไร?”
“นี่มันเวลากลางวัน หยุดก่อนที่จะมีใครมาเห็น!” หานหลิงเฟิงตำหนิเขาอย่างลำบากใจ
“ข้าต้องการอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครเห็นเรา แต่น่าเสียดายที่เหล่าสุนัขทั้งสี่ทำลายบ้านของข้าไปแล้ว และในตอนนี้ข้าไม่มีที่ไป ข้าทำได้เพียงทำมันที่นี่เท่านั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายพร้อมกับกอดหานหลิงเฟิงไว้เช่นนั้น
“ก็ได้ ข้ายอมแพ้!” หานหลิงเฟิงพ่ายแพ้ต่อเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด “ตามข้ามา!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางแกะมือเจ้าอ้วนออกและเดินนำไปทันที
“แล้วข้าต้องไปที่ใด?” เจ้าอ้วนถาม
“บ้านของข้า!” หานหลิงเฟิงตอบกลับด้วยความโมโห
“เจ้าจะให้ข้าไปที่บ้านของเจ้าเหรอ?” เจ้าอ้วนยิ้มกว้าง “ยอดเยี่ยม ข้าคิดถึงบ้านของเจ้าและเตียงนุ่ม ๆ! เราจะได้ต่อสู้กันบนเตียงนั้น แน่นอนว่ามันจะต้องสบายมากและไม่มีผู้ใดเห็นเรา!”
“ไปตายเสีย!” หานหลิงเฟิงต้องการจะทุบเขาจริง ๆ นางโกรธจัดและเดินออกไปโดยไม่หันมามองด้านหลัง ในขณะที่เจ้าอ้วนเห็นเช่นนั้นเขาหัวเราะและรีบเดินตามไปติด ๆ
ไม่กี่วันให้หลัง บรรยากาศในสำนักเสวียนเทียนตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง คุณชายใหญ่และคุณชายรองต่างต้องการสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าอ้วนโดยคิดทำถึงขั้นให้พิการ ทว่านักบวชฮัวอวิ๋นไม่ยินยอม การถกเถียงระหว่างขั้วอำนาจทั้งสองจึงเริ่มต้น
ในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินกำลังเถียงกัน ผู้ฝึกตนระดับจินตันและผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิต่างก็ต่อสู้กันอยู่ พวกเขาแบ่งออกเป็นสองฝ่าย พวกเขาต่างกำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ในเวลานั้นพวกเขาโต้เถียงกันจนถึงขั้นที่เริ่มต่อสู้เป็นกลุ่ม แม้ว่าทั้งหมดจะต่อสู้ในสนามฝึกฝน แต่ทุกคนล้วนแต่มุ่งหมายจะเอาชีวิตอีกฝ่าย
ในเวลาสองสามวัน ทั้งสองฝ่ายสูญเสียคนไปมากมายจากการต่อสู้ แม้ว่าจะไม่มีใครตายแต่หลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการบาดเจ็บเหล่านี้สามารถฟื้นฟูได้ด้วยการพักผ่อนไม่กี่ปี แต่เรื่องนี้จะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของสำนักเสวียนเทียนอย่างมาก
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นักบวชฮัวอวิ๋น คุณชายใหญ่ และคุณชายรองต่างมองเห็นถึงปัญหาทันที พวกเขากังวลและไม่ต้องการให้สำนักเสวียนเทียนเป็นเช่นนี้เนื่องจากการโต้เถียงของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใช้สนามฝึกซ้อมในช่วงเวลานี้อย่างเด็ดขาด
แน่นอนว่าแม้จะมีคำสั่งออกมา แต่ศิษย์ที่อยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดเหล่านี้จะอดทนได้อย่างไร ดังนั้นจึงเกิดเป็นการต่อสู้เล็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง
นักบวชฮัวอวิ๋นและคุณชายรองรู้ทันทีว่าเรื่องเหล่านี้จะต้องถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว ทั้งสองไม่ต้องการให้ความเสียหายเลยเถิดไปมากกว่านี้ ท้ายที่สุดพวกเขาทำได้เพียงส่งจดหมายไปที่ภูเขาเหมย ด้วยความหวังว่าเทพธิดาเหมยฮวาจะช่วยตัดสินใจในเรื่องนี้
สามวันแห่งการรอคอยได้สิ้นสุด แสงดาบของเทพธิดาเหมยฮวาถูกส่งถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสาม ในจดหมายมีเพียงสองคำเท่านั้น ทว่าสองคำนั้นทำให้ดวงตาของทั้งสามต้องเบิกกว้าง ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า “ทะเลตะวันออก!”