ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK

สารบัญ อาณาจักรวิญญาณ

••••••••••••••••••••

บทที่****203: นักล่าอสูรกาย

ไม่กี่วันถัดมา นักบวชฮัวอวิ๋นเรียกให้เจ้าอ้วนเข้าพบ เมื่อเจ้าอ้วนมาถึง เขาต้องการที่จะทำความเคารพ แต่นักบวชฮัวอวิ๋นโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับบอกให้เขานั่งลง

หลังจากนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาทันที “เจ้าอ้วน วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อรับทราบเรื่องเกี่ยวกับที่เจ้าสังหารเหล่าพี่น้องทั้งสาม!”

“โอ้!” เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มออกมา “ได้โปรดกล่าวมาเถิด ข้าฟังอยู่! ฮี่ฮี่ ท่านจะขังข้าไว้สักกี่ปีกันหรือ? เรื่องแค่นี้ ข้าไม่สนใจหรอก!”

เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างขื่นขมพร้อมกล่าวว่า “มันไม่เป็นเช่นนั้น ทางเรามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ข้อสรุปที่ออกมาก็คือเราจะไม่ขังเจ้าไว้!”

“ว่าอะไร?” ในขณะที่เขาได้ยิน เขากล่าวออกมาอย่างตกใจ “ยะ-อย่าบอกนะว่าท่านยินยอมให้คุณชายใหญ่และคุณชายรองทำให้ข้าเป็นง่อย?”

“แน่นอนว่าไม่!” นักบวชฮัวอวิ๋นสั่นศีรษะพร้อมกล่าวต่อ “นับตั้งแต่ข้าได้สัญญากับศิษย์พี่หงว่าจะดูแลเจ้า แล้วทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น!”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนผ่อนคลายลงพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ฮี่ฮี่ ตราบใดที่ท่านไม่ทำลายข้า แน่นอนว่าข้าจะยอมรับการลงโทษทุกอย่าง! มันคงไม่เลวร้ายเกินไปนัก!”

“เหอะเหอะ แน่นอนมันไม่ได้เลวร้าย!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่แสนอึดอัด

เจ้าอ้วนไม่ใช่คนโง่เขลา เขารู้ถึงความผิดปกติได้ทันทีจากใบหน้าของนักบวชฮัวอวิ๋น จากนั้นเจ้าอ้วนจึงรีบถาม “ท่านจ้าวสำนัก การลงโทษในครั้งนี้คืออะไรงั้นหรือ?”

“แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้มากมายนัก เราเพียงแค่จะส่งเจ้าไปที่ทะเลตะวันออกสักระยะหนึ่ง!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับพร้อมกับถูมือของตนเองไปพร้อมกัน

เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับด้วยอย่างตกใจ “ว่าอะไร? ทะเลตะวันออก? อย่าบอกนะว่าท่านต้องการให้ข้ากลายเป็นนักล่าอสูรกาย?”

“เหอะเหอะ เป็นเช่นนั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นแสดงสีหน้าอึดอัดอีกครั้ง

“สวรรค์ ท่านจ้าวสำนัก ท่านรู้หรือไม่ว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน? มันถูกขนานนามว่าเป็นสุสานของผู้ฝึกตน! น้อยกว่าสามในสิบที่จะมีชีวิตรอดกลับออกมา!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด “เท่ากับว่าส่งข้าไปตายชัด ๆ!”

ด้านตะวันออกของเทือกเขา มีมหาสมุทรขนาดใหญ่ถูกเรียกว่าทะเลตะวันออก มีอสูรกายวารีมากมายนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ที่แห่งนั้น อีกทั้งยังมีอสูรกายที่อยู่ในขั้นหกหรือเจ็ด พวกมันสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย

อสูรกายเหล่านี้มีการฝึกฝนที่ลึกซึ้งและอาศัยอยู่ในเกาะที่ทะเลตะวันออก พวกมันไม่ค่อยเปิดเผยตนเอง และนอกจากนี้ยังมีอสูรระดับต่ำมากมายอาศัยอยู่แถบนั้น พวกมันอาศัยอยู่ที่เทือกเขาใกล้กับทะเล และสามารถข้ามไปมาได้อย่างง่ายดาย

ความสามารถในการสืบพันธุ์ของพวกมันนั้นไม่อาจคาดเดาได้ จำนวนที่มหาศาลของพวกมันนั้นทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในแถบทะเลตะวันออก

แม้ว่าอสูรกายระดับต่ำจะไม่ได้ฉลาด แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอาหาร พวกมันจะต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ในบางครั้งพวกมันกินกันเอง จึงทำให้เกิดปัญหาภายในมากมายไม่รู้จบในสถานที่แห่งนั้น

อย่างไรก็ตามเหล่าอสูรกายระดับสูงไม่ต้องการให้พวกมันสังหารกันเองเช่นนี้ เมื่อเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น พวกมันจึงคิดนำอสูรระดับกลางและต่ำมาอยู่ที่เทือกเขาใหญ่และปล่อยให้พวกมันสามารถปล้นได้อย่างอิสระในยามค่ำคืน

ดังนั้นผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาจึงได้รับความเดือดร้อนที่สุด แม้ว่าประตูของภูเขาจะถูกสร้างให้แข็งแรงมากขึ้นแต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อต้องพบกับฝูงอสูรกายที่มหาศาล เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น มีหลายสำนักที่ต้องหายสาบสูญไป ซึ่งรวมไปถึงสำนักที่มีประวัติมายาวนานนับพันปีก็ไม่อาจรอดพ้น

แน่นอนว่าผู้ฝึกตนนั้นไม่โง่เขลา หลังจากที่ต้องพ่ายแพ้ไม่กี่ครั้ง พวกเขาก้าวออกมาพร้อมกับแผนใหญ่นั่นคือการสังหารมนุษย์จำนวนมากพร้อมด้วยอสูรกายระดับต่ำอีกมากมาย สิ่งนี้ทำให้การขาดแคลนอาหารในทะเลตะวันออกหมดไปและอสูรกายจะไม่เข้ามายุ่งกับพวกเขาอีก

การสังหารอสูรกายจำนวนมากไม่สามารถทำได้โดยสำนักเดียว ดังนั้นทุกสำนักที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักชอบธรรมหรือปีศาจ ทุกที่จะต้องส่งผู้ฝึกตนออกไปทุกปี ศิษย์ทั้งหมดจะรวมกลุ่มกันและเรียกตนเองว่าพันธมิตรทะเลตะวันออก ความรับผิดชอบเดียวที่พวกเขาต้องทำคือการล่าอสูรกาย!

นักล่าอสูรกายจำเป็นที่จะต้องสังหารเหล่าอสูรกายจำนวนมากเพื่องานของพวกเขา แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บสาหัสได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเหล่าอสูรกายมากกว่าหมื่นชนิดที่อาศัยอยู่ในทะเลตะวันออก จึงเป็นพวกเขาที่จะต้องเสียสละเพื่อสิ่งนี้ ระยะเวลาที่ได้เริ่มทำการล่าอสูรร้ายเหล่านี้มีมาเนิ่นนานกว่าห้าสิบปี มีอันตรายเกิดขึ้นทุกวันกับเหล่านักล่า และแน่นอนว่ามีเพียงสามในสิบเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดและได้มีชีวิตกลับออกมา

ดังนั้นเมื่อเหล่าผู้ฝึกตนทั่วไปพูดถึงนักล่าอสูรกาย พวกเขาได้แต่ถอนหายใจด้วยความขื่นขม เพราะมันเป็นงานที่อันตรายและแน่นอนว่าไม่มีใครต้องการที่จะทำงานเช่นนี้ ดังนั้นในทุก ๆ สิบปีจะต้องมีการสูญเสียเหล่าศิษย์ไปจำนวนมากจากงานนี้

อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนจำได้ว่าเพิ่งมีการส่งศิษย์ไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ในขณะนั้นเขากำลังอยู่ในการฝึกฝนแบบคู่กับฉุ่ยจิ้ง ดังนั้นเขาจึงผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งหายนะมาได้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ตนเองต้องเผชิญกับจุดจบเช่นนั้นอย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความขุ่นเคืองใจ “ท่านจ้าวสำนัก การส่งศิษย์ออกไปนั้นเพิ่งได้ผ่านมาไม่นาน ท่านคิดจะทำอะไรกับข้ากันแน่?”

“อะแฮ่ม!” นักบวชฮัวอวิ๋นไอออกมาพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้าอึดอัด “สำหรับเจ้านั้นเป็นกรณีพิเศษ ใครกันเล่าที่ร้องขอให้เจ้าสังหารเหล่าสามพี่น้องพวกนั้นในคราวเดียว? คุณชายใหญ่และคุณชายรองโกรธจัดจนแทบจะทำให้เจ้าเป็นง่อยอยู่แล้วและข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้เกี่ยวกับเรื่องนี้! นอกจากส่งเจ้าไปที่ทะเลตะวันออก เช่นนี้มันดีกว่าการทำลายการฝึกฝนของเจ้าไม่ใช่หรือ?”

“ท่านไม่อาจหยุดความคิดของพวกเขาได้งั้นหรือ?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างผิดหวัง

“หรือเจ้าต้องการให้ข้ากลายเป็นง่อยแทนเจ้า?” นักบวชฮัวอวิ๋นเริ่มมีอารมณ์

“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ต้องการเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนรีบตอบกลับพร้อมโบกไม้โบกมือ เขาพยายามกล่าวออกไปอีกครั้งอย่างมีความหวัง “ท่านจ้าวสำนัก ก่อนหน้านี้ท่านบอกเพียงว่าจะขังข้าไว้เพียงสิบปีเท่านั้นไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงเปลี่ยนใจง่ายเช่นนี้?”

“เฮ้อ! เจ้าไม่สามารถเอาเรื่องนี้มาตำหนิข้าได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “พวกเราสามคนก็เพิ่งรู้ว่าจะลงโทษเจ้าเช่นไรเมื่อไม่กี่วันมานี้ ไม่ว่าข้าจะพยายามต่อรองอย่างไร ทั้งสองคนก็ไม่ยอม เราไม่มีทางเลือกจึงต้องรบกวนให้เทพธิดาเหมยฮวาเป็นผู้ตัดสิน ในตอนแรกข้าคิดว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับฉุ่ยจิ้งจะสามารถช่วยเหลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้าง เพราะฉุ่ยจิ้งนั้นประสบความสำเร็จได้ก็เพราะเจ้าด้วยส่วนหนึ่ง แต่ใครจะไปรู้ว่านางจะส่งเจ้าไปที่ทะเลตะวันออก! ข้าขอถามสักอย่าง เจ้าเคยไปสร้างปัญหาไว้กับนางหรือไม่?”

“ไม่เคย! ข้ายังไม่เคยพบนางเลยสักครั้ง!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด

“นั่นคงแปลว่าเจ้าทำให้ฉุ่ยจิ้งไม่พอใจ!” นักบวชฮัวอวิ๋นพยายามหาเหตุผล

“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เราทั้งคู่ได้เข้าสู่การฝึกฝนแบบคู่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ถ้าปราศจากการช่วยเหลือของข้านางไม่สามารถผ่านสภาวะตีบตันเพื่อเข้าสู่ระดับปฐมภูมิขั้นกลางได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยอารมณ์โกรธ “แล้วเช่นนี้ถือว่าข้าทำให้นางขุ่นเคืองใจได้อย่างไรกัน?”

“บัดซบ เจ้าไขมัน นี่กำลังหลอกลวงมู่ซื่อหรงของข้างั้นหรือ และเจ้ายังมีหน้าไปคิดถึงฉุ่ยจิ้งอีก นี่เจ้าต้องการให้ข้าสับเจ้าเป็นชิ้นใช่หรือไม่? นี่มันเป็นการลำเอียงหรือศิษย์น้องของข้ากำลังปกป้องเจ้ากันแน่!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยความโมโห “เอาล่ะ ข้าจะบอกข่าวดีให้อีกหนึ่งอย่างก็คือเจ้าจะต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลายี่สิบปีเพราะเป็นโทษทัณฑ์!”

“ยี่สิบปี?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาได้แต่อุทานออกมา “โอ้สวรรค์ แล้วข้าจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่!?”

“อัตราความตายอยู่ที่เจ็ดในสิบถ้าหากเจ้าอยู่ที่นั่นเป็นเวลาห้าสิบปี สำหรับยี่สิบปีแน่นอนว่ามันจะอยู่ที่ห้าในสิบเท่านั้น มันสรุปไว้แล้ว พวกเราทั้งสามคนได้ตกลงกันเรียบร้อย เอาล่ะไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ เจ้าก็จะต้องไปที่นั่น!” นักบวชฮัวอวิ๋นยักไหล่พร้อมกล่าวต่อ “ข้าไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”

“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากข้าบอกว่าไม่?” เจ้าอ้วนถามอย่างหดหู่

“เจ้าก็จะเป็นคนพิการ!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับด้วยใบหน้าไม่แยแส

“นั่นหมายความว่าข้าไม่มีทางเลือก?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างไร้หนทาง

“ถูกต้อง!” นักบวชฮัวอวิ๋นพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจ “เฮ้อ จงอย่าสิ้นหวังนักเลย แม้ว่าทะเลตะวันออกจะอันตรายและไร้ความปราณี แต่ที่นั่นเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมายเมื่อเทียบกับที่เรามีอยู่ นอกจากนี้มันยังมีราคาถูกกว่าในสำนักของเรา! การต่อสู้จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการส่งเจ้าไปที่นั่นจึงไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายแต่อย่างใด การส่งเจ้าไปที่นั่นยี่สิบปีแน่นอนว่าเมื่อเจ้ากลับมา ความแข็งแกร่งจะต้องเพิ่มมากขึ้น นี่เป็นการยิงนกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว!”

“แต่ถ้าหากข้าตายตกไปในสถานที่แห่งนั้น คุณชายใหญ่และคุณชายรองก็จะคิดว่าขว้างหินก้อนเดียวได้นกสองตัวเช่นกัน!” เจ้าอ้วนตอบกลับ

แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่ยินยอมที่จะเข้าสู่สถานที่อันตรายเช่นนั้น เขาไม่ได้ยากจนและมีสมบัติมากมายสำหรับการฝึกฝนของตนเอง เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนเพื่อค้นหาสมบัติอะไรอีก! แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะทำเรื่องเสี่ยงอันตรายและไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนทั่วไปเลย แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังไม่อยากที่จะย่างกรายเข้าไปในสถานที่เช่นนั้น เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับมนุษย์จะอาศัย!

น่าเสียดายที่เรื่องราวนี้ใหญ่โตเกินกว่าที่นักบวชฮัวอวิ๋นจะตัดสินใจได้ อีกทั้งเทพธิดาเหมยฮวายังเห็นด้วยกับคุณชายใหญ่และคุณชายรอง เขาเป็นเพียงจ้าวสำนักหัวเดียวกระเทียมลีบจึงไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อฟังที่เจ้าอ้วนตำหนิแน่นอนว่าเขาไม่อาจปกปิดความเสียใจบนใบหน้าของตนเองได้

เรื่องราวได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เหล่าศิษย์ภายในสำนักเสวียนเทียนได้รู้ข่าวว่าเจ้าอ้วนจะต้องออกไปเป็นนักล่าอสูรกาย เกิดอารมณ์ขึ้นมากมาย บางคนมีความสุข บางคนผิดหวัง บางคนรู้สึกโศกเศร้า

แน่นอนว่าเหล่าศิษย์ของคุณชายรองต่างพากันฉลองให้กับเรื่องราวเช่นนี้ ในขณะที่เหล่าอาวุโสภายในสำนักต่างพากันรู้สึกสงสารเจ้าอ้วน หานหลิงเฟิงเมื่อได้รู้ข่าวน้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม เจ้าลิงวิ่งค้นหาเจ้าอ้วนเพื่อสอบถามเรื่องเกี่ยวทะเลตะวันออก หานหลิงเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจพร้อมกับยืนยันที่จะตามเจ้าอ้วนไปด้วย

เจ้าอ้วนจะพาพวกเขาไปเสี่ยงได้อย่างไรกัน? เจ้าอ้วนหยุดยั้งความคิดเหล่านี้ด้วยความขมขื่นด้วยคำว่าสถานที่แห่งนั้นมันอันตรายและมันไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะเข้าไปอาศัยอยู่ได้ ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นการแสวงหาความตายอีกทั้งพวกเขาทั้งสองจะกลายเป็นภาระอีกด้วย

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าลิงและหานหลิงเฟิงหมดคำจะพูดอะไรต่อ แม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวความตายแต่ว่าการเป็นภาระของเจ้าอ้วนนั้นพวกเขาก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวพวกเขาทำได้แค่เชื่อฟังเจ้าอ้วนและอาศัยอยู่ในสำนักเสวียนเทียนต่อไปอย่างขมขื่น ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจว่าเมื่อถึงระดับปฐมภูมิจะไปพบเจ้าอ้วนที่นั่น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้สึกถึงความห่วงใยในคำพูดเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขามอบของขวัญไว้ให้แก่ทั้งสองคน มันคือดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้เจ้าอ้วนยังเตือนพวกเขาอย่างเด็ดขาดว่าก่อนที่จะเข้าสู่ระดับปฐมภูมิห้ามให้พวกเขากินเมล็ดของดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้า ไม่เช่นนั้นสิ่งที่รอคอยอยู่คือความตายเท่านั้น

ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังพูดคุยกับทั้งสอง ฉุ่ยจิ้งที่กำลังตามหาเจ้าอ้วนได้ปรากฏตัวขึ้น นางตรงดิ่งเข้ามาพร้อมกับขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว

ทั้งหานหลิงเฟิงและเจ้าลิงนั้นไม่โง่เขลา ทั้งสองลุกขึ้นและเดินออกไปทันทีเพื่อให้ทั้งคู่ได้คุยกัน

เมื่ออยู่กันตามลำพัง ฉุ่ยจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซ่ง น้องสาวผู้นี้ต้องการติดตามท่านไปทะเลตะวันออกด้วย!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นในครั้งแรกเจ้าอ้วนรู้สึกร่าเริงอย่างมากในหัวใจ แต่เขากลับสู่ความปกติอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวอย่างขมขื่น “สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่สวนสนุก เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไป”

“ทำไมข้าจึงไปไม่ได้?” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับด้วยความขุ่นเคือง “อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่ไม่เชื่อใจน้องฉุ่ยจิ้งผู้นี้?”

“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ข้าพยายามจะบอกเจ้าว่า ด้วยสมบัติวิญญาณทั้งสองชิ้นที่เจ้าครอบครองอยู่ นักบวชฮัวอวิ๋น คุณชายใหญ่และคุณชายรองจะยอมให้เจ้าไปยังสถานที่อันตรายเช่นทะเลตะวันออกงั้นหรือ? มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเจ้าตาย?”

“ข้าสามารถทิ้งสมบัติไว้ที่สำนักได้!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“หยุดกล่าววาจาไร้สาระ!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว “สมบัติทั้งสองชิ้นนั้นมีประโยชน์กับเจ้า ถ้าหากไม่มีแล้วเจ้าจะสามารถทำนายเรื่องราวอย่างรวดเร็วได้อย่างไร ข้าพูดถูกไหม?”

“ท่านเห็นแล้วหรือ?” ฉุ่ยจิ้งกล่าว

“แน่นอน ข้าไม่ได้โง่ เพียงผ่านสถานการณ์ไม่กี่ครั้งข้าก็สามารถเดาออก มันคือพื้นฐานของความแข็งแกร่งที่เจ้าต้องมี ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทำนายเรื่องราวอย่างแม่นยำและรวดเร็วได้อย่างไร? ถ้าหากทุกคนทำได้เช่นนี้ ข้าเกรงว่าทุกคนจะต้องพ่ายแพ้ให้กับกฏของสวรรค์อย่างแท้จริง!” เจ้าอ้วนอธิบายด้วยรอยยิ้ม

“เหอะ เห็นได้ชัดว่าท่านอ้างอิงจากความแข็งแกร่งของอาจารย์ข้าครั้งเมื่อนางยังเป็นเด็ก และท่านก็สรุปออกมาเช่นนี้ ถูกต้องหรือไม่?” นางกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มจางๆ

“เหอะเหอะ ถูกต้อง ข้าเคยได้ดูการแข่งขันของเหล่าศิษย์ชั้นในมาก่อนและจดจำวิธีการของนางเป็นพิเศษ และพบว่าแม้นางจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปมากกว่าเจ้า อย่างน้อยถ้าหากนางต้องการเอาชนะบุคคลที่อยู่ในระดับเท่ากัน แน่นอนว่าต้องเสียสละแขนและขาของตนเอง แน่นอนว่านางทำมันได้อย่างเป็นธรรมชาติและไร้ขีดจำกัด”

เจ้าอ้วนยิ้มออกมา “นั่นทำให้ข้าเดาทางได้ เหตุผลที่นางไม่สามารถเทียบกับเจ้าได้เพราะความแข็งแกร่งของนางยังไม่เพียงพอ แต่นางกลับมีสมบัติวิญญาณสองชิ้นไว้คอยช่วยเหลือ ข้ากล่าวถูกไหม?”

“ข้าจะเชื่อคำพูดท่านถ้าหากข้าถูกปิดตาอยู่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมา “ข้ายอมรับว่าด้วยความช่วยเหลือของสมบัติทั้งสองข้าจะสามารถทำนายได้อย่างรวดเร็ว และแม้ว่าข้าจะไม่มีไพ่ตายหรือสมบัติอื่น แต่ท่านก็ไม่สามารถดูถูกฉุ่ยจิ้งผู้นี้ได้! อย่างน้อยข้าก็สามารถทำนายชะตาของท่านก่อนที่จะเข้าร่วมการต่อสู้!”

“ลืมมันไปเถิด!” เจ้าอ้วนเหยียดมือของตนเองออกไปจับไหล่ของนางและกล่าวว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง ข้าไม่ได้ดูถูกเจ้า แต่ข้าไม่อาจทนให้เจ้าอยู่ในอันตรายได้! ปัญหานี้ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเองและแน่นอน ข้าจะต้องรับผิดชอบโดยผู้เดียวเท่านั้น ถ้าหากต้องทนเห็นเจ้าเข้ามาอยู่ในปัญหาที่ข้าก่อ แล้วซ่งจงผู้นี้จะเรียกตนเองว่าบุรุษที่อยู่ในสำนักชอบธรรมได้อย่างไรกัน?”

“ศิษย์พี่ซ่ง!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของนางอย่างรวดเร็ว

ทั้งคู่นั่งหันหน้ามองกันอย่างเงียบงัน ใบหน้าของพวกเขาค่อยขยับเข้ามาใกล้กัน ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันอย่างอ่อนโยน ทั้งสองคนแทบจะกลืนกินกันเข้าไป ภายในหัวของทั้งสองราวกับว่ามีระเบิดลูกใหญ่กำลังปะทุอยู่ในนั้น หลังจากนั้นทั้งสองได้เข้าสู่สภาวะลึกลับของจิตใจอย่างรวดเร็ว บางครั้งเกิดความโกลาหลขึ้นภายในและสลับไปที่ทะเลสาบพระจันทร์บ้าง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความลึกซึ้งที่มีเพียงทั้งสองเข้าใจ จากนั้นทั้งสองคนได้เข้าสู่สถานที่ใหม่ของการฝึกฝนแบบคู่อย่างรวดเร็วภายใต้สภาวะศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นในหัวใจของทั้งสองคน