ฟังเสียงความมืด
แสงไฟรอบตัวพวกเขาค่อย ๆ หายไปช้า ๆ มันเหมือนกับรถแท็กซี่ถูกผลักลงไปในมหาสมุทร เมื่อแสงสุดท้ายจางหายไป มันก็หมายความว่าผู้โดยสารที่ด้านในนั้นถูกความมืดโอบล้อมเอาไว้
“มี… มีใครอยู่ตรงนั้นไหม?” เมื่อเสียงเคาะถี่ ๆ นั้นหายไป คนขับรถก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ มือของเขาควานหาโทรศัพท์มือถือ
“อย่าขยับ นอนลงไป” เสียงนั้นกระด้างแต่คนขับก็ไม่สามารถขัดขืนได้และขยับตัวตามไป คนที่สั่งก็คือเฉินเกอ เสียงเคาะหายไปแล้ว แต่วิญญาณยังล้อมอยู่รอบรถ พวกเขายังไม่จากไปไหน
“พวกเขาต้องการอะไรกัน?” ด้วยดวงตาหยินหยาง เฉินเกอสามารถมองเห็นสิ่งที่คนขับรถไม่เห็น และจากมุมมองของเขา พวกเขานั้นไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีนัก ทุกตารางนิ้วของด้านนอกรถนั้นเต็มไปด้วยรอยฝ่ามือสีเลือดและคนที่ทิ้งรอยฝ่ามือเหล่านั้นเอาไว้ก็ยังล้อมอยู่รอบ ๆ รถ แต่ละคนนั้นมีสีหน้าประหลาด และร่างกายของพวกเขาก็หันไปทางเดียวกัน ริมฝีปากของพวกเขาขยับขึ้นลงเหมือนปลา สูบอากาศประหลาดในอุโมงค์เข้าไป
ประมาณสิบนาทีให้หลัง เสียงประหลาดดังมาจากส่วนลึกของอุโมงค์ มันยากที่จะบรรยายออกมา มันเหมือนมีตะขาบนับพันตัวไต่อยู่บนกำแพง และในเวลาเดียวกัน มันก็เหมือนมีเสียงลมหายใจของยักษ์ ลมหายใจของมันนั้นพรูไปตามผนังอุโมงค์ที่ไม่เรียบรื่น
หลังจากเสียงนั่นปรากฏขึ้น วิญญาณที่รอบ ๆ รถก็เริ่มขยับไปทางเสียงนั่น เสียงฝีเท้าก้องอยู่รอบ ๆ แต่ไม่มีคนเป็นอยู่ในสายตา คนขับรถซ่อนอยู่ในรถ กอดศีรษะตัวเองเอาไว้ เขากลัวมากแล้วจริง ๆ มันมืดเกินกว่าที่เขาจะมองเห็นอะไร แต่ว่าหูของเขาก็ยังคงได้ยินเสียงประหลาดเหล่านี้ เสียงนั่นพุ่งตรงเข้าหัวใจของเขา และคนขับรถก็รู้สึกเหมือนสมองกำลังจะระเบิด
มีเสียงลั่นเบา ๆ จากส่วนหนึ่งของรถ มันฟังเหมือนเสียงประตูรถเปิดออก
ไม่มีแสง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ตอนที่เสียงทั้งหมดเงียบสงัดลงและอุโมงค์ก็กลับมาเงียบอีกครั้ง ในที่สุดคนขับรถก็เรียกความกล้าได้มากพอที่จะมองหาโทรศัพท์ของตัวเอง เขาใช้แสงอ่อนจางจากหน้าจอโทรศัพท์มองไปรอบ ๆ ในรถของตัวเอง
ประตูถูกเปิดทิ้งเอาไว้ และไม่มีผู้โดยสารคนไหนอยู่ในรถ แท็กซี่ว่างเปล่ามีเพียงคนขับอยู่ที่ที่นั่งคนขับเท่านั้น
“ไปไหนกันหมดแล้ว?” ตอนที่มีคนอยู่ด้วย เขาก็ไม่ได้กลัวมากนัก แต่พอรู้ว่าตัวเองอยู่คนเดียวลำพัง คนขับรถก็เริ่มตื่นตระหนก เขาเปิดวิทยุสื่อสาร แต่ทั้งหมดที่ได้ยินก็คือเสียงสัญญาณเปล่า ๆ– ไม่มีใครพูดคุยอะไร เขาพยายามโทรศัพท์หาเพื่อนและเพื่อนร่วมบริษัทคนอื่น ๆ แต่น่าแปลก ไม่มีใครรับสาย
เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ได้เพราะเริ่มกระวนกระวาย และเขาก็ร้องออกไปน้ำตาเอ่อขึ้นมา “ได้โปรดเถอะ มีใครอยู่ไหม? ใครก็ได้ ตอบฉันหน่อย?”
“หยุดตะโกน ชู่!” แสงไฟสายหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้ารถ คนขับรถมองไปยังแสงนั่น เป็นชายหนุ่มกับกระเป๋ากระพายยืนอยู่ตรงนั้น คนขับรถคุ้นเคยกับโครงร่างของคนผู้นี้– เขาคือผู้โดยสารคนแรกที่เขารับมาคืนนี้
“อย่าเสียเวลา ทำตามที่ผมสั่ง อย่างแรกเลย ลอยสตาร์ทรถดูว่าติดไหม” เฉินเกอถือกระเป๋าเอาไว้ด้วยมือหนึ่งและสีหน้าก็ย่ำแย่ คนขับรถเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์และไม่เสียเวลาถาม เขาพยายามอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องยนต์ก็ยังไม่ทำงาน
“ลงจากรถมาตรวจสอบเครื่องยนต์เร็วเข้า พวกเราไม่มีเวลาให้เสียมากนัก” ด้วยการเร่งเร้าจากเฉินเกอ คนขับรถคลานลงจากรถ เส้นขนบนร่างของเขาลุกซู่เมื่อเห็นรอยฝ่ามือสีเลือดเต็มยานพาหนะของเขา เปิดกระโปรงหน้ารถแล้วคนขับก็ชะโงกเข้าไปดู เครื่องยนต์ด้านในนั้นเสียหายจากเส้นผมสีดำที่ขดอยู่รอบ ๆ ทุกอย่าง เขาไม่สามารถตัดพวกมันออกได้โดยไม่มีเครื่องมือ
“คุณมีกรรไกรไหม?” คนขับรถกระซิบถามเฉินเกอ
“ค้อนใช้ได้ไหม?”
“เอ่อ งั้นไม่เป็นไร” คนขับรถปิดฝากระโปรงลงแล้วบอกเฉินเกอไปคิ้วขมวดแน่น “มันน่าจะเป็นเส้นผมพวกนั้นอุดท่อมอเตอร์ ผมซ่อมมันไม่ได้ถ้าไม่มีเครื่องมือ”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะทิ้งรถไว้ก่อนตอนนี้ หลังจากนี้ จำไว้ว่าอยู่ใกล้ ๆ ผมเข้าไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าเดินไปไกลจากผม” เฉินเกอเปิดไฟฉายบนโทรศัพท์และเริ่มเดินไปตามถนนตรงข้ามกับทิศทางที่เหล่าวิญญาณไป
“คุณเห็นผู้โดยสารอีกสองคนไหม? ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ?” หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดคนขับรถก็ถามออกมา
“จนถึงตอนนี้ คุณก็ยังคิดว่าพวกเขาเป็นผู้โดยสารธรรมดาอีกเหรอ? สองคนนั้นเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์แล้ว” เฉินเกอไม่เสียเวลาอธิบายเรื่องเหล่านั้นให้คนขับรถ ถ้าไม่เพราะว่าเขาคิดว่าคนขับรถเป็นคนที่ใจดีคนหนึ่งแล้ว เขาก็คงไม่คิดจะมาเสียเวลานำคนขับรถออกไปและไปเข้าร่วมกับ ‘ฝูงชน’ มุ่งหน้าเข้าไปในอุโมงค์แล้ว “อุโมงค์นี่อันตรายมาก ผมจะพาคุณออกไปก่อนรอให้แน่ใจว่าคุณปลอดภัย”
“ขอบคุณครับ” คนขับรถนั้นประทับใจในตัวเฉินเกออย่างแท้จริง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีคนเป็น ๆ คนหนึ่งอยู่ด้วยนั้นเป็นอะไรที่น่ายินดีมากแล้ว
“ถ้าคุณอยากขอบคุณผม ช่วยเก็บทุกอย่างที่คุณเห็นคืนนี้ไว้กับตัวเองและอย่าบอกใครหลังจากที่กลับออกไปจากที่นี่แล้ว” เฉินเกอพูดเสียงต่ำ และนั่นก็ทำให้ทุกอย่างดูมีบรรยากาศลึกลับมากขึ้น
หลังจากได้ยินอย่างนั้น คนขับรถก็พยักหน้าซ้ำ ๆ สัญญาตามที่เฉินเกอสั่ง ทั้งสองคนเดินไปตามอุโมงค์อยู่สามนาที แต่พวกเขากลับไม่เข้าใกล้ทางออกขึ้นเลย
“นี่ไม่ถูกต้อง” เฉินเกอหยุด ยืนอยู่กลางอุโมงค์ “มันใช้เวลาแค่ครึ่งนาทีเท่านั้นที่แสงหายไปหลังจากที่รถถูกผลักเข้ามาในอุโมงค์ ตอนนั้นรถก็เคลื่อนที่เร็วเท่า ๆ กับที่พวกเราเดินอยู่นี่ พูดอีกอย่างหนึ่ง พวกเราก็ควรใช้เวลาแค่ครึ่งนาทีก็ควรจะเห็นทางออกแล้ว แต่พวกเราเดินมานานกว่านั้น และยังไม่เห็นแสงสักลำ”
“คุณพูดถูก! เกิดอะไรขึ้น?” ได้ยินการวิเคราะห์ของเฉินเกอ คนขับรถก็ตัวสั่น เหงื่อเย็น ๆ ไหลพรั่งพรู “บางทีพวกเราอาจจะมาผิดทาง? พวกเราบังเอิญเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์แทน?”
“หน้ารถหันไปยังส่วนลึกที่สุดของอุโมงค์ ดังนั้นทิศทางของพวกเราไม่ผิด”
“อย่างนั้น ทำไมพวกเราถึงยังออกจากอุโมงค์ไม่ได้?”
“ผมจะไปรู้ได้ยังไง?” นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเจอกับอะไรอย่างนั้น มือข้างหนึ่งของเขาวางแตะผนังอุโมงค์เอาไว้ เขาแอบดึงโทรศัพท์เครื่องดำออกมา “ถ้าเพียงแต่ฉันจะสื่อสารกับวิญญาณสีเลือดในอุโมงค์ได้ ครั้งสุดท้ายที่พวกเราพบกัน พวกเราพูดคุยกันได้เป็นมิตรทีเดียว และมันก็ไม่น่าจะยากเย็นถ้าจะขอความช่วยเหลือจากเธอเล็ก ๆ น้อย ๆ”
เฉินเกอไม่รู้ชื่อของวิญญาณสีเลือดตนนั้น และไม่รู้ว่าจะติดต่อเธอได้อย่างไร แต่ว่า เมื่อคิดถึงประสบการณ์ครั้งก่อนที่นี่แล้ว เฉินเกอก็มีความคิดบ้าระห่ำหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ
เขาแตะเปิดภารกิจ ที่ปลายอุโมงค์ บนโทรศัพท์เครื่องดำและอ่านคำใบ้ของภารกิจอีกครั้ง “หลับตาลง และคุณอาจจะเห็นโลกที่ต่างออกไป”
ตอนที่คนขับรถมองมาอย่างตกใจ เฉินเกอก็ฉีกแขนเสื้อเชิ้ตของเขาออกมาแล้ว
“คุณทำอะไรน่ะ?”
เฉินเกอไม่สนใจคนขับรถ เขาพับแขนเสื้อที่ฉีกออกมาเป็นผ้าปิดตาแล้วผูกเอาไว้รอบตา
“พี่ชาย คุณกำลังทำอะไรน่ะ? คุณช่วยทำอะไรที่มันดูธรรมดากว่านี้สักหน่อยได้ไหม?” คนขับรถยืนตัวแข็งอยู่กับที่ เขาไม่เข้าใจการกระทำของเฉินเกอเลย
“เงียบแล้วตามผมมา ถ้าคุณกลัวจริง ๆ ก็หลับตาลงก็ได้” มือหนึ่งของเขาแตะอยู่บนกำแพง เฉินเกอเดินต่อไปข้างหน้าทั้งอย่างนั้น