อุโมงค์วงกลมไร้สิ้นสุด

การสมัครใจหลับตาลงในถ้ำที่มืดและน่าหวาดกลัวนั้น ในทางหนึ่ง เป็นอีกวิธีที่ต่างออกไปในการมองโลก แต่ว่า คนขับรถที่ไม่ได้รับคำอธิบายถึงความตั้งใจของเฉินเกอนั้นไม่เข้าใจเลยว่าเฉินเกอกำลังทำอะไรอยู่ นี่เป็นปรากฏการณ์นกกระจอกเทศหรือเปล่า? พอหลับตาลง มันก็ง่ายขึ้นที่จะทำเหมือนว่าปิศาจที่เดินไปมาอยู่ในถ้ำนั้นไม่มีจริง?

ถึงแม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย คนขับรถก็ตามหลังเฉินเกอไปอย่างไม่รู้อะไรเลย อย่างไรเสีย ผู้ชายคนนี้ก็เป็นความหวังเดียวของเขา เขาไม่สามารถคิดภาพการถูกทิ้งเอาไว้ในอุโมงค์มืด ๆ ทอดยาวนี้ได้เลย

เฉินเกอนั้นไม่รู้ว่าในใจคนขับรถกำลังคิดอะไรอยู่

เขาหลังตาลงและจมลงไปในความมืดอย่างสมบูรณ์แบบ และรอบตัวก็กลายเป็นเงียบงัน บางที อาจจะเพราะเส้นประสาทอันตึงเขม็งของเขา แต่ว่าอุณหภูมิร่างกายของเขานั้นคอยแต่จะเปลี่ยนไป มันเหมือนมีใครบางคนเดินเฉียดเขาไป พวกเขาอาจจะคิดว่าสัมผัสกับศพศพหนึ่งก็ได้

เมื่อการมองเห็นถูกลดทอนไป เขาก็ทำได้เพียงอาศัยการฟัง การดมกลิ่น และความรู้สึกที่ผิวหนังช่วยเขาจำแนกทุกอย่างที่รอบตัว ผนังถ้ำนั้นไม่เรียบ และบางครั้งมือของเขาก็ยังแตะโดนบางอย่างที่คล้ายตะไคร่ เมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสโดนบางอย่างที่เปียกและเหนียวเป็นครั้งแรก ขนแขนของเฉินเกอก็ลุกชัน

“ฉันจะไปถึงทางออกด้วยวิธีนี้ได้จริง ๆ ใช่ไหม? หรือว่ามันจะไม่เรียบง่ายอย่างนั้น คำใบ้ที่โทรศัพท์เครื่องดำให้มาอาจจะมีความหมายต่างออกไป” เฉินเกอที่ปิดตาอยู่เดินไปข้างหน้าใช้มือนำทางไป เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ความมืด ความเย็นเยือก และเสียงแปลก ๆ เช่นเดียวกับความรู้สึกจากปลายนิ้วของเขาส่งเข้ามาในระบบประสาทสัมผัสของเขาเป็นระลอกคลื่น

ด้วยการฝึกฝนและความตั้งมั่นที่เหนือมนุษย์ เฉินเกอกดความต้องการดึงผ้าปิดตาออกเอาไว้แล้วก้าวเท้าอีกก้าวหนึ่ง ไม่เห็น ไม่คิด ไม่มีอะไร

เฉินเกอปรับลมหายใจ และก็เหมือนภารกิจระดับฝันร้ายครั้งแรกของเขา มีความคิดเดียวอยู่ในใจเขา– ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ จิตใจของเขาแยกตัวเองออกจากสัมผัสเรื่องเวลา และเฉินเกอก็ไม่รู้เลยว่าเขาเดินอยู่นานแค่ไหน ต่างไปจากภารกิจระดับฝันร้ายครั้งก่อนหน้า คราวนี้ เขาไม่ได้นับเสียงหัวใจเต้นหรือว่าจำนวนก้าวของตัวเอง เขาทำใจว่างเปล่าอย่างแท้จริง

ลูบไปตามผิวเปียก ๆ ของผนังถ้ำ เขาเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมือของเขาจับไม่โดนอะไรเลย

*ในผนังมีโพรงหรือ?*อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นทางตรง และไม่มีทางแยก ดังนั้นเรื่องเช่นนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

ฉันควรจะดึงผ้าปิดตาออกดูไหม? ก่อนที่เฉินเกอจะตัดสินใจ จู่ ๆ ก็มีคนดึงแขนเขาและคนผู้นั้นที่ตัวสั่นอย่างแรงจนเฉินเกอรู้สึกได้ผ่านการสัมผัส

“ใจเย็นก่อน คุณเห็นอะไร?” ความไม่รู้นั้นมักจะน่ากลัวที่สุด หลังจากสูญเสียการมองเห็น อารมณ์ของเฉินเกอนั้นก็ได้รับอิทธิพลจากคนรอบตัวง่ายขึ้น

“มันอยู่ทางซ้ายของคุณ สิ่งนั้นอยู่ติดกับแก้มซ้ายของคุณเลย เขาอยู่ใกล้มาก ได้โปรดอย่าขยับ!” คนขับรถตอบอย่างตระหนก เสียงของเขาเต็มไปด้วยความหวาดผวา

“ไม่ต้องตื่นตระหนก อธิบายรูปร่างของสิ่งนั้นสิ เป็นคนหรือว่าแมลง?” เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม ระมัดระวังไม่ขยับกล้ามเนื้อสักมัด แต่เขารออยู่นานแล้วยังไม่มีคำตอบเลย “คุณยังอยู่ไหม?”

ในอุโมงค์ว่างเปล่า มีแค่เสียงของเฉินเกอเองที่ก้องอยู่ คนขับรถดูเหมือนจะหายวับไปในอากาศ

“เขาเห็นอะไรกันแน่?” ถ้าคนขับรถยังไม่หายตัวไป เฉินเกอก็คงไม่กังวลอย่างนี้ แต่จังหวะเวลานั้นน่าสงสัยเกินไป เขาทิ้งข้อความกำกวมถึงเพียงนั้นเอาไว้ก่อนที่จะหายตัวไป เขาบอกเฉินเกออย่างชัดเจนมากว่ามีบางอย่างที่ดูแตกต่างและอาจจะน่ากลัวอยู่ติดกับแก้มซ้ายของเฉินเกอ

“การหายตัวไปของคนขับรถน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ แต่ว่านั่นก็ไม่แน่ อาจจะเกิดบางอย่างขึ้นกับผู้ชายคนนั้นไปแล้วตั้งแต่ฉันตัดสินใจปิดตาตัวเอง และมันอาจจะเป็นใครสักคนที่กำลังตามหลังฉันอยู่ เขาอาจจะจงใจพยายามทำให้ฉันมองไปทางซ้าย” เฉินเกอไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือเสี่ยงโชคภายในความเป็นไปได้ที่เขายังควบคุมได้

เฉินเกอยกแขนขึ้นแตะที่ด้านซ้ายของใบหน้าตัวเอง– ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น เขาถอนหายใจโล่งอกก่อนที่จะขยับแขนของเขาไปยังกำแพงช้า ๆ ไม่ช้าปลายนิ้วของเขาก็แตะถูกผนังหินเย็น ๆ และเขาก็ไม่ได้ปัดผ่านอะไรที่ดูประหลาด เขาเหยียดนิ้วออกไปแล้วหยุดอยู่ที่ขอบของผนังและจุดที่สงสัยว่าเป็นโพรง

“มีรอยแยกประหลาดบนถนนที่ควรจะตรง ฉันควรจะเลี้ยวเข้าไปดูไหม?” เฉินเกอหักห้ามความต้องการจะดึงผ้าปิดตาออกแล้วยกทั้งสองมือขึ้น และก็เหมือนกับคนตาบอดคนหนึ่ง เขาขยับตัวไปทางปากทางที่เปิดออกทางด้านซ้ายของเขาช้า ๆ

“ทางนี้จะนำฉันไปที่ไหนกัน?” มันควรจะเป็นอุโมงค์ตรง ๆ แต่เพราะอะไรไม่รู้ เขากลับมาจบลงในเขาวงกต ทุก ๆ สองสามก้าว เฉินเกอจะทิ้งรอยครูดลึกเอาไว้บนกำแพง ทิ้งร่องรอยเอาไว้ด้านหลังเป็นทาง

เขาเดินต่อไปอย่างนั้นอยู่หลายนาที และปลายนิ้วของเฉินเกอก็แตะถูกความว่างเปล่าเป็นครั้งที่สอง ทางแยกอีกหนึ่งเส้นปรากฏขึ้นบนการเดินทางของเขา

มันเป็นเพราะคำใบ้ของโทรศัพท์เครื่องดำที่ทำให้เฉินเกอตัดสินใจปิดตาตัวเอง แต่ผลที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายมาก อุโมงค์ตรง ๆ เส้นนี้ดูเหมือนจะแยกออกเป็นทางเลี้ยวและมุมมากมายไร้สิ้นสุด เหมือนชะตาชีวิตของคน ไม่มีใครรู้ว่าอะไรกำลังรออยู่ที่ทางเลี้ยวข้างหน้า

“ซู่อิน…” เฉินเกอนั้นกลัวว่าตัวเองจะเจอกับเรื่องอันตรายหรือพาตัวเองเข้าสู่อันตรายอย่างกะทันหันเมื่อเขาแกะผ้าปิดตาออก ดังนั้นก่อนที่จะทำเช่นนั้น เขาก็เรียกซู่อินออกมา กลิ่นเลือดลอยอยู่ในอากาศ และเฉินเกอก็สูดลมหายใจลึก ความกระวนกระวายของเขาสงบลง และตัวตนของซู่อินก็ทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยที่เขาขาดไป

เฉินเกอขยี้ตาแล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาหยินหยาง เขาพบอย่างประหลาดใจว่าเขากำลังยืนอยู่จุดที่เขาเริ่มออกเดิน ไม่กี่เมตรด้านหลังเขานั้นเป็นแท็กซี่ที่เต็มไปด้วยรอยฝ่ามือสีเลือด

ยานพาหนะนั่นยังอยู่ที่เดิม แต่ว่าคนขับรถนั้นหายไปแล้ว มีซู่อินอยู่ด้วย เฉินเกอจึงเดินเข้าไปในอุโมงค์ เขาไม่เจอทางแยกอะไรเลย และเขาก็ไม่เจอรอยที่เขาขูดเอาไว้บนกำแพงด้วย

อุโมงค์ที่เขาเห็นด้วยตาและอุโมงค์ที่เขาสัมผัสด้วยปลายนิ้วนั้นดูจะไม่ใช่อุโมงค์เดียวกัน นี่เป็นความรู้สึกประหลาดเหมือนหนึ่งในนั้นเป็นของจริง และอีกหนึ่งนั้นเป็นความฝัน แต่ก็น่าแปลกทีเดียว พวกมันผสมผสานกันด้วยสักวิธีหนึ่งจนกลายเป็นวังวนซ้ำ ๆ ไร้สิ้นสุด

“ไม่แปลกใจที่เงานั่นพ่ายแพ้ในที่เช่นนี้ ฉันคงต้องบอกว่าตัวเองโชคดีที่หนีออกไปได้เมื่อครั้งก่อน” อุโมงค์ถ้ำมังกรขาวนั้นเป็นสถานที่อันพิเศษ แต่เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลเบื้องหลังความพิเศษของมันเช่นกัน

“ดังนั้น คำถามก็คือ อุโมงค์ไหนที่เป็นของจริง? และทำไมวิญญาณไร้บ้านเหล่านั้นถึงได้ถาโถมเข้ามาที่นี่กัน? เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันคิดว่าที่นี่นั้นเป็นวัฏจักรการกลับไปเกิดใหม่?”

ภารกิจทดลองนี้นั้นซับซ้อนกว่าที่เฉินเกอคิดมาก เขาไม่กล้าวู่วาม เขาพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนแล้วปล่อยพนักงานทั้งหมดของเขาออกมา

“เหล่าโจวกับต้วนเยว่ ผมอยากให้คุณสองคนคอยดูแลรถเอาไว้ คนที่เหลือตามฉันมา พยายามอย่าทิ้งระยะห่างระหว่างแต่ละคนมากเกินไป” เฉินเกอเคยเข้ามาในอุโมงค์นี้มาก่อน และจากการค้นหาทางออนไลน์ของเขา เขารู้ว่าอุโมงค์นี้ยาวแค่ไหน

เฉินเกอเรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาก็เพราะต้องการทดสอบสมมติฐานของตนเอง