สิ่งที่ดำรงอยู่ในฝันร้าย

แผนการของเฉินเกอนั้นเรียบง่ายมาก เขากำลังจะใช้ความเชื่อมโยงพิเศษระหว่างพวกผีเดินไปตามที่เขาเดินก่อนหน้านี้ แต่ไม่เหมือนครั้งก่อน คราวนี้ เขาตัดสินใจให้ไป๋ชิวหลินมาแทนตำแหน่งของเขา เขาอยากจะเห็นว่าสถานการณ์แบบเดียวกันจะเกิดขึ้นไหมหากว่าผู้ที่ถูกปิดตาเป็นผีตนหนึ่ง ไป๋ชิวหลินถูกบอสของเขาเอาผ้ามาผูกตาก่อนที่จะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ทำใจให้ว่างเปล่าแล้วเดินไป” เฉินเกอและซู่อินยืนอยู่ห่างจากไป๋ชิวหลินที่ถูกปิดตาราว ๆ สามหรือสี่เมตร จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะเข้าไปช่วยทันที

แม้ไม่รู้ว่าบอสของเขาต้องการอะไร ไป๋ชิวหลินก็ยังทำตามคำสั่ง เพราะว่าในใจเขา บอสของเขานั้นถูกเสมอ เขาเดินไปตามอุโมงค์อยู่นานแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉินเกอนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับไป๋ชิวหลิน กระทั่งตอนที่เขาถูกบอกให้ถอดผ้าปิดตาออก ใบหน้าของไป๋ชิวหลินก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจการกระทำของบอสของเขา

“ปิดตาผีนั้นไม่มีประโยชน์ แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ? ผีส่วนใหญ่นั้นก็คือรูปแบบหนึ่งจากความปรารถนาที่ยังเหลืออยู่ของคนเป็น และความแตกต่างใหญ่หลวงที่สุดระหว่างพวกเขากับคนทั่วไปก็คือพวกเขาไม่มีร่างเนื้อ เป็นไปได้ไหมว่าเพราะตอนที่ฉันลืมตาเดินไปตามอุโมงค์ มันจะเป็นโลกที่คนเป็นมองเห็น แต่เมื่อฉันปิดตา ฉันก็กำลังเดินไปตามโลกของวิญญาณ?”

คนทั่วไปคงไม่คิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ แต่เฉินเกอนั้นต่างออกไป ในด้านนี้ เขามีประสบการณ์มากมาย และวิธีการคิดของเขาก็ต่างไปจากคนส่วนใหญ่ หลายครั้ง เขายังใช้มุมมองอย่างผีมองสิ่งต่าง ๆ

“ฉันยืนยันเรื่องนี้ไม่ได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว ในกรณีนี้ การทดลองนี้ไม่ได้ยืนยันสิ่งใดโดยตรง– สิ่งประหลาดจะเกิดขึ้นเฉพาะหลังจากที่ฉันปิดตาตัวเองแล้วเท่านั้น” ให้ผีมาแทนที่เขาเพื่อหาทางออกนั้นเป็นไปไม่ได้ และเฉินเกอก็กลับไปที่เดิมอีก

“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องทำด้วยตัวเอง แต่คราวนี้มีพนักงานของฉันอยู่รอบ ๆ มันน่าจะปลอดภัยขึ้น” เฉินเกอนำพวกผีกลับไปที่รถแท็กซี่ สั่งการเหล่าโจวกับไป๋ชิวหลินสองสามอย่างก่อนที่จะปิดตาตัวเอง นี่เป็นครั้งที่สามของเขาแล้วที่จะเดินไปในอุโมงค์

ความมืดกลืนกินเฉินเกอ แต่เขาไม่รู้สึกกังวลเมื่อมีพนักงานของเขาจับตามองเขาอยู่ เขาเดินไปตามอุโมงค์อยู่สิบนาที ก่อนที่ในที่สุดจะหยุดเท้าลง ทางแยกบนถนนนั้นไม่ปรากฏขึ้น และอุโมงค์ก็มุ่งตรงไปเป็นทางเดียว นำไปสู่ที่ไหนสักแห่งหนี่ง

“ทำไมฉันถึงล้มเหลวอีกล่ะคราวนี้? ปัญหาอยู่ตรงไหน?” ความแตกต่างระหว่างการเดินครั้งแรกและครั้งที่สามของเขาก็คือจำนวนผู้เข้าร่วม ครั้งแรกนั้นเฉินเกอไปกับคนขับรถ แต่ครั้งนี้ เฉินเกอไปกับพนักงานของเขา

“จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมงั้นหรือ? ไม่เหมือนอย่างนั้นนะ มันเป็นไปได้มากกว่าว่าพนักงานของฉันนั้นป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านั้นที่ปรากฏขึ้นรอบตัวฉันเข้าถึงฉันได้”

ตอนที่คนขับรถหายตัวไป เขาพูดถึงสิ่งประหลาดปรากฏขึ้นที่ข้างแก้มซ้ายของเฉินเกอ พอคิดกลับไป การเปลี่ยนแปลงของอุโมงค์ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งประหลาดนั่น

“คนขับรถหายตัวไประหว่างที่กำลังพูด และนั่นก็น่าจะเป็นการกระทำของสิ่งนั้นเช่นกัน” เฉินเกอมองไปตามอุโมงค์มืดและเริ่มลังเล มีพนักงานของเขาอยู่ด้วย สิ่งนั้นก็ไม่กล้าลงมือ แต่ถ้าเขาให้พนักงานกลับไป ก็ไม่มีอะไรรับรองความปลอดภัยของเขาเอง

เขาก้มหน้าลงไปดูที่โทรศัพท์ เฉินเกออยากรู้ว่าเขายังมีเวลาเหลือในการทำภารกิจอยู่เท่าไหร่ แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เขาพบว่าเวลาบนโทรศัพท์ของเขานั้นกำลังเดินถอยหลัง เหมือนแทนที่มันจะเป็นนาฬิกา มันกลับกลายไปเป็นตัวจับเวลา

“เกิดอะไรขึ้นกับโทรศัพท์ของฉัน? ทำไมเวลาถึงเดินถอยหลัง? ฉันเข้ามาในอุโมงค์อย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ว่าเวลาที่แสดงอยู่กลับเป็นตอนที่ฉันเข้ามาในอุโมงค์ตอนแรก”

มีบางอย่างเกิดขึ้น เฉินเกอเอนตัวพิงผนังแล้วขมวดคิ้วใคร่ครวญ

“ไม่มีใครมีพลังมากพอที่จะเข้าไปก่อกวนเวลาได้ ดังนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่?” เขาไม่ได้กระวนกระวายอย่างนี้มานานแล้ว ในเวลาเช่นนี้ พนักงานของเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้

เมื่อไม่มีวิธีการออกไปจากอุโมงค์นี้ เฉินเกอก็ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ อย่าว่าแต่จะทำภารกิจทดลองให้สำเร็จเลย

เขามองเข้าไปในความมืด และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นย่ำแย่ “สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นตอนที่ฉันมาที่นี่คนเดียวครั้งแรก”

เมื่อคิดกลับไปถึงภารกิจก่อนหน้าของเขาและนึกถึงรายละเอียดต่าง ๆ ในที่สุดเฉินเกอก็ตัดสินใจได้ เขาเก็บผีทั้งหมดของเขากลับเข้าไปในหนังสือการ์ตูน และอุโมงค์ที่ก่อนหน้านี้คนอยู่เต็มไปหมดจู่ ๆ ก็เย็นและเงียบ ในความมืด มีเพียงสองเงายืนอยู่ตรงกันข้ามกัน

“นายก็ไปได้แล้วแหละ ที่เหลือให้ฉันจัดการ” เฉินเกอตบบ่าซู่อินเบา ๆ แล้วปิดเครื่องเล่นเทป เขาเก็บทุกอย่างกลับไปแล้วก็ลุกขึ้น เขาเก็บสายตาให้นิ่งและไม่ปรากฏร่องรอยความกลัวบนใบหน้าสักนิด

“ภารกิจทั้งหมดของโทรศัพท์เครื่องดำนั้นยุติธรรม หากไม่พยายาม ก็ไม่มีสิ่งตอบแทน และความเสี่ยงกับรางวัลนั้นก็เป็นสัดส่วนกันเสมอ

“ฉันไม่ได้ผจญภัยอย่างนี้มานานแล้ว ฉันเกือบจะลืมความรู้สึกนี้ที่เป็นธรรมดาตอนที่ฉันได้โทรศัพท์เครื่องดำมาแรก ๆ ความรู้สึกของการเดินอยู่บนขอบเหวหรือด้ายบาง ๆ เคลื่อนไหวผิดเพียงครั้งเดียว ทุกอย่างก็จบ”

เฉินเกอสูดลมหายใจลึกและพูดกับอากาศ

“และตอนนี้ ฉันก็อยู่ลำพังคนเดียวอีกครั้ง”

เขายัดกระเป๋าของเขาเข้าไปในแท็กซี่ และก็เหมือนภารกิจระดับฝันร้ายครั้งก่อน เขาโดดเดี่ยวลำพังแล้ว ไม่มีอาวุธ ไม่มีพนักงานทั้งหลาย เขาเดินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของความมืดโดยไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเอง

“ฉันอยากจะเห็นว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรหลังจากฉันหลับตาลง” ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ฟางหยวนดูเหมือนจะพูดอย่างนั้นออกไปอย่างท้าทาย สายตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งผยอง เขาหยิบแขนเสื้อที่ฉีกออกนั้นออกมาแล้วในวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะพันผ้าปิดตา เขาก็มองไปยังด้านหลังตัวเองและเรียกชื่อจางหยาเงียบ ๆ

ไม่มีคำตอบ– เงาของเขาเป็นแค่เงาของเขา พันผ้าปิดตาแล้ว และครั้งนี้ ไม่มีใครอยู่กับเขา เหมือนภารกิจระดับฝันร้ายครั้งแรก ๆ ของเขาเลย

เขาแตะมือบนผนังแล้วเดินไปข้างหน้าช้า ๆ เขาเดินไปแค่ไม่กี่เมตรก็ได้ยินเสียงแกรกกรากปรากฏขึ้นที่ข้างหูเหมือนไส้เดือนนับพัน ๆ ตัวไต่อยู่บนผนัง

“ทุกอย่างจะเสียเปล่าไปทันทีที่ฉันลืมตาขึ้น ดังนั้นครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็จะไม่ลืมตาขึ้นมา” ความมั่นใจส่วนหนึ่งของเฉินเกอนั้นมาจากจางหยาที่ในเงาของเขา เขารู้ว่าเธอคงไม่ต้องการเห็นเขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง

“มาสิ ให้ฉันได้เห็นว่าที่ปลายอุโมงค์มันมีอะไร” เฉินเกอไม่ลังเลและเดินผ่านเสียงแกรกกรากนั่นไป เขากำลังใช้ตัวเองเป็นเหยื่อรอให้ ‘ปลาใหญ่’ ในอุโมงค์มาติดเบ็ด

มันเหมือนมีใครสักคนเป่าลมเข้ามาในหูของเขา และอุณหภูมิของร่างกายของเขาก็ลดลงแต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดยั้งการก้าวเดินของเฉินเกอได้