บทที่ 666 ทัศนคติที่ถูกต้องต่ออาร์คานา

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

แอนนิคมองอาจารย์ของตนด้วยความประหม่า แต่ก็เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว การที่คนขี้อายอย่างเขาลุกขึ้นมาแสดงความเห็นแย้งต่ออาจารย์นั้นก็เหมือนกับการกระโดดจากอัลลินลงไปยังพื้นโลกโดยไร้ซึ่งเวทมนตร์ป้องกัน ทว่า ความเข้าใจในขอบเขตโลกจุลภาคของเขากลับกระตุ้นให้เขากล้าออกมาพูดความเห็นของตนเอง!

ท่านอีวานส์จะโกรธเขา หรือผิดหวังในตัวเขาหรือไม่นะ

แต่ว่า เมื่อแอนนิคมองเข้าไปในดวงตาของลูเซียน อีวานส์ เขก็ต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะมันหาได้มีวี่แว่วของทาะหรือความผิดหวังแม้สักนิด ใบหน้าเขากลับนิ่งสงบเยือกเย็นอย่างยิ่ง

“อะไรคือปัญหาที่เจ้านึกถึงงั้นหรือ” ลูเซียนถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งขณะอยู่ภายใต้สายตาของเหล่าจอมเวท

แอนนิคสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเอ่ยตอบ “การสังเกตการณ์จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์นั้นจริงอยู่ขอรับ แต่เราไม่อาจบอกได้ว่ามันคือจิตสำนึก การสังเกตการณ์ควรจะเป็นกลาง และไม่ว่าสิ่งมีชีวิตรูปแบบใดหรือกระทั่งสิ่งไม่มีชีวิตก็ควรจะเป็นเช่นนั้น มันยังต้องมีการสำรวจวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้เรารู้ว่าการซ้อนทับของควอนตัมเกิดขึ้นเมื่อใดขอรับ”

เขาพอจะเพียงมีแนวคิดคร่าวๆ เท่านั้น จึงไม่อาจอธิบายให้ชัดเจนกว่านี้ได้

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นขอรับ” สปรินต์เอ่ยเสียงดัง ตัวเขาเองก็อดแปลกใจมิได้ที่แอนนิคแสดงความคิดเห็นของตนเองได้สำเร็จภายใต้แรงกดดันมหาศาลเช่นนี้

ดักลาสเองก็เห็นด้วย “แม้ว่าจะยังไม่มีแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มาสนับสนุน แต่แบบนี้ฟังดูเป็นรูปธรรมมากกว่า ลูเซียน ทฤษฎีของเจ้าเป็นนามธรรมมากเกินไป

เฟอร์นันโดมิได้ออกความเห็นอันใด แต่สีหน้าเขาก็แสดงออกชัดว่าเขาถือหางฝ่ายแอนนิค แม้ว่ามันจะไม่ได้หมายความว่าเขาเชื่อว่าแอนนิคพูดถูก แต่อย่างไรมันก็ดูเหมือนว่าทฤษฎีของลูเซียนนั้นไร้สาระจนเกินไป

เหล่ามหาจอมเวทคนที่เหลือต่างก็แสดงท่าทางไปในทิศทางเดียวกัน

“อ้อ แต่หากเป็นเช่นนั้น แล้วเราจะอธิบายเวทมนตร์ได้อย่างไรกัน เราจะอธิบายเกี่ยวกับพลังศักดิ์สิทธิ์และพลังศรัทธาได้อย่างไร แอนนิค คำพูดของเจ้าไม่ได้เผื่อที่ให้กับพลังเหนือธรรมชาติเลย” น้ำเสียงของลูเซียนยังคงนุ่มนวลนิ่งสงบ

แอนนิคอ้าปากเล็กน้อยขณะพยายามจะอธิบาย แต่เขากลับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี

“ลูเซียน เลิกเชื่อมโยงสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันเสียที ข้อเท็จจริงที่ว่ามันไม่มีพื้นที่ให้กับเวทมนตร์ในโลกจุลภาค มิได้หมายความว่ามันจะไม่มีอยู่ในขอบเขตของโลกอื่นๆ นี่” เฟอร์นันโดเอ่ยแทรก

ลูเซียนแย้มยิ้ม “ทฤษฎีของข้ายังเป็นเพียงการคาดเดาขอรับ เป็นการคาดเดาที่สามารถรวมเอาความมีเหตุผลของพลังเหนือธรรมชาติทั้งหมดไว้ด้วยกัน ตอนนี้เราทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนหนักแน่น เพราะฉะนั้น ให้เวลาเราทุกฝ่ายได้ทำการสำรวจและทำการทดลองเพิ่มเสียก่อน ข้าหวังว่าเราจะค้นพบความจริงของโลกใบนี้ได้ขอรับ”

เหล่าจอมเวทรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นับเป็นครั้งแรกที่ท่านอีวานส์มิได้โยนทฤษฎีกับแบบการทดลองที่เที่ยงตรงแม่นยำมากมายใส่พวกเขาเพื่อกำชัยชนะเหมือนอย่างทุกๆ ครั้ง แต่นั่นก็ทำให้พวกเขารู้สึกโล่งอกในขณะเดียวกัน

อย่างไรเสีย แบบนี้ก็น่าจะเป็นผลลัพธ์ที่คนผู้หนึ่งจะคาดหวังได้

ในตอนนั้นเอง ลูเซียนก็แย้มยิ้มแล้วหันไปมองทางกลุ่มมหาจอมเวทกับลูกศิษย์ของตน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “จนถึงตอนนี้ ข้าพอจะมีความคิดดีๆ เกี่ยวกับการทดลองทั้งสาม ซึ่งที่ผ่านมาข้ายังไม่สามารถทำได้ ข้าหวังว่าเราจะทำได้สำเร็จด้วยความร่วมแรงร่วมใจ ซึ่งนั่นจะเป็นการสนับสนุนคำอธิบายของโลกจุลภาคของเราได้ดียิ่ง”

“เราทุกคนรู้ว่าความแตกต่างของอุณหภูมินั้นมาจากการแผ่รังสีความร้อนของโมเลกุลในระดับต่างๆ ด้วยเหตุนี้ ในการทดลองแรก หากเราควบคุมอนุภาคขนาดเล็กจิ๋วมิให้ขยับวนเวียนไปรอบๆ ได้ เราก็จะเข้าใกล้ศูนย์สัมบูรรณ์ขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น และภายใต้สภาพการณ์นี้ อนุภาคขนาดเล็กจิ๋วก็อาจจะอยู่ในสภาวะควอนตัมแบบเดียวกัน เราจึงทดสอบความคิดของเราได้ด้วยหลากหลายวิธี…”

เขาบรรยายโดยคร่าวถึงวิธีการสร้าง ‘กับดัก’ เพื่อดักจับอนุภาคขนาดเล็กจิ๋วโดยใช้สนามแม่เหล็กรุนแรงหรือแสงเลเซอร์ แล้วเขาก็ ‘คาดเดา’ วิธีสังเกตการณ์การซ้อนทับของควอนตัมโดยใช้ขั้นตอนการวิจัยที่เหมาะสมภายในชั่วเวลาสั้นๆ แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพียงการคาดเดาทางทฤษฎีเหมือนกับความเพ้อฝันก็ตาม

จอมเวททุกคนในที่นั้นต่างคุ้นเคยกับแนวคิดเรื่องสนามแม่เหล็กกันดี และลูเซียนก็เคยนำเสนอคำอธิบายเกี่ยวกับแสงเลเซอร์หลังจากที่เขาได้ศึกษาเวทเพ่งพยาบาทไปแล้ว หินทับทิมกับลูกแก้วเวทมนตร์และอันญมณีต่างๆ สามารถเสริมเวทมนตร์ประเภทลำแสงของนักเวทได้ และยังให้ความร้อนสูงมากเสียด้วย แต่แน่นอนว่ามันใช้การได้เพียงในระยะที่จำกัดเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ มันจึงมิใช่เรื่องยากสำหรับผู้ฟังที่จะเข้าใจกรอบแนวคิดที่การทดลองแรกใช้เป็นหลักยึด เฮลเลนรับฟังด้วยความสนใจเป็นพิเศษ เพราะว่าแนวคิดนี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลกับคำถามมากมายที่นางมีในขณะศึกษาเวทมนตร์หิมะและน้ำแข็งชั้นตำนานของนาง ทว่า เรื่องการจัดตั้งกับดักในรูปแบบใดนั้น ลูเซียนไม่คิดจะแบ่งปันกับผู้ฟังในที่นี้ เพราะเขาจะเก็บงำมันไว้กับตัว หากว่าเขาคิดหาวิธีได้ล่ะก็นะ

แต่ถึงกระนั้น สำหรับเหล่ามหาจอมเวทแล้ว ทิศทางถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าขั้นตอนจำเพาะเจาะจงใดๆ เสมอ!

โอลิเวอร์มิได้แสดงสีหน้าดีใจจนเกินไป และยังมีความตื่นเต้นแฝงอยู่อีกด้วย หากว่าพวกเขามองเห็นสภาวะซ้อนทับได้จริงๆ พวกเขาย่อมมั่นใจว่าความลับของมนุษย์ครึ่งเทพจะต้องมีอยู่ในโลกจุลภาคอย่างแน่นอน แต่ก็ยังมีอุปสรรคใหญ่หลวงอีกนานับประการที่ต้องเอาชนะให้ได้ก่อนจะเริ่มต้นการทดลอง ซึ่งไม่มีทางทำให้เสร็จได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ

“แต่นี่ไม่ได้อธิบายถึงวิธีการเปลี่ยนถ่ายสภาวะจากโลกจุลภาคสู่โลกมหัพภาคเลยนะขอรับ การทดลองนี้มีแต่จะพิสูจน์ว่าการซ้อนทับนั้นมีอยู่จริง…” แอนนิคเอ่ยขึ้น

ทั้งแอนนิคและสปรินต์ต่างเชื่อว่าการทดลองที่อาจารย์ตนอ้างอิงถึงนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็ยังเชื่ออีกด้วยว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่จะตามมา

ลูเซียนพยักหน้าแล้วพูดต่อ “ในการทดลองนี้ เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกสองแบบ”

“การเปลี่ยนแปลงแรกคือหลังจากที่อิเล็กตรอนเคลื่อนผ่านช่องเปิดคู่และเกิดการแทรกสอดตัวมันเอง เราจะตัดสินใจว่าเราอยากจะเห็นคุณสมบัติความเป็นคลื่นหรืออนุภาคกันแน่ จากนั้น ก่อนที่มันจะเคลื่อนมากระทบกับจอภาพ เราก็จะสร้างความเปลี่ยนแปลงตามการตัดสินใจบนจอภาพ ในกรณีนี้ ภาพการทดลองที่แสดงจะเป็นเช่นไร”

“แน่นอนว่าเราจะได้เห็นคุณสมบัติความเป็นคลื่น ในเวลาที่อิเล็กตรอนเคลื่อนผ่านช่องเปิดคู่และเกิดการแทรกสอดขึ้น…” จอมเวทคนหนึ่งพูดความเห็นที่หลายๆ คนต่างคิดเหมือนกัน ทว่า เขากลับหยุดพูดไปเสียดื้อๆ…พวกเขาเคยได้รับบทเรียนในเรื่องขอบเขตโลกจุลภาค ซึ่งเป็นขอบเขตที่ไม่อาจทำนายอะไรได้เลยมาแล้ว มิมีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าการสังเกตการณ์ของพวกเขาจะไปเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไปแล้วหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น กฎของเหตุและผลตามลำดับเวลาก็จะไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป!

ลูเซียนจงใจบิดเบียนแบบการทดลองเล็กน้อยเผื่อว่าจะมีใครคิดหาคำตอบได้เร็วเกินไป และศีรษะของผู้ที่ค้นพบก็จะระเบิดอย่างแน่นอน จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อว่า “การเปลี่ยนแปลงแบบที่สองคือการที่เราจะสังเกตดูว่าช่องเปิดใดที่อิเล็กตรอนเคลื่อนผ่านโดยใช้วิธีที่จะแทรกสอดความเคลื่อนไหวน้อยที่สุด แต่หลังจากจดบันทึก สัญญาณเตือนของเราจะไม่ส่งเสียงหรือส่งสัญญาณให้เรารู้แต่อย่างใด กลับกัน เครื่องมือจะลบบันทึกทิ้งในทันที แบบนั้นเราจะได้เห็นคุณสมบัติความเป็นคลื่นหรืออนุภาคกันเล่า”

ใบหน้าแอนนิคซีดเผือดอีกครา เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงก็คือ เพื่อบอกให้ได้ว่าสิ่งที่ส่งผลต่อการทดลองนั้นเป็นการสังเกตการณ์ของเครื่องมือ หรือการสังเกตการณ์ของ ‘พวกเขา’ กันแน่

นั่นคือการทดลองสามแบบที่ลูเซียนต้องการจะแบ่งปันกับทุกคน หลังจากนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาและเอ่ยถาม “วันนี้ขอจบการบรรยายแต่เพียงเท่านี้ ท่านใดมีคำถามหรือข้อเสนอแนะอะไรหรือไม่ขอรับ”

กว่าครู่ใหญ่ที่มิมีผู้ใดเอื้อนเอ่ยสิ่งใด เพราะต่างฝ่ายต่างยังคงคิดทบทวนถึงการทดลองทั้งสามแบบที่ลูเซียนแบ่งปันกับพวกเขา

ดักลาสครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่กลับแฝงด้วยความมุ่งมั่น “ข้าเองก็มีการทดลองทางความคิดเช่นกัน ตามคำอธิบายของเจ้า ก่อนที่การสังเกตการณ์จะเกิดขึ้น อนุภาคขนาดเล็กจิ๋วอยู่ในรูปแบบของกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนที่มีสภาวะที่เป็นไปได้มากมายหลากหลายซ้อนทับกัน และเจ้าก็คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างจะเกิดขึ้นกับอนุภาคและทำให้มันแยกตัวออกเป็นสองอนุภาคที่เล็กยิ่งกว่านั้นแล้วมุ่งหน้าไปคนละทิศทาง ในระหว่างกระบวนการนั้น หากไม่มีผู้สังเกตการณ์เข้ามายุ่ง สองอนุภาคจิ๋วจะยังคงอยู่ในสภาวะซ้อนทับและจะยึดตามขอบเขตนั้นต่อไป…”

“เมื่อมีระยะห่างพอ การตรวจสอบของผู้สังเกตการณ์ต่ออนุภาคหนึ่งจะนำไปสู่การตัดสินสภาวะของอนุภาค ส่งผลให้อนุภาคอื่นๆ เป็นไปตามนั้นและพังทลายลงทันที ใช่หรือไม่ การกระทำในระยะไกลจะขัดแย้งกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือไม่”

ถ้อยคำของดักลาสทำให้จอมเวทส่วนใหญ่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า วันนี้พวกเขาต้องผ่านอะไรมามากมาย ตั้งแต่แมวของโอลิเวอร์ การทดลองของลูเซียน ไปจนถึงความพัวพันซับซ้อนในอนุภาคของดักลาส ทั้งหมดที่ว่ามานั้นเป็นการทดลองทางความคิดที่มีความซับซ้อนและชวนให้ตกตะลึงมากพอจะทำให้ศีรษะของพวกเขาระเบิดโพลง พวกเขาไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไหร่ จึงนึกหวาดกลัวคนทั้งสามไม่น้อย

“ข้าคิดว่ามันจะเกิดขึ้นขอรับ แต่นี่ไม่ได้ขัดแย้งต่อทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษเลย ก่อนการสังเกตการณ์ อนุภาคขนาดเล็กจิ๋วจะแผ่ไปทั่วในอวกาศตามฟังก์ชั่นคลื่น สองอนุภาคที่ว่านั้นยังนับเป็นหนึ่งหน่วยที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้อีกแล้วขอรับ” ลูเซียนตอบโดยสรุป ด้วยไม่กล้าพูดให้ชัดเจนและเจาะจงจนเกินไป

ดักลาสพยักหน้า “ข้าจะลองทำการทดลองดูว่ามันเป็นความจริงหรือไม่”

ในที่สุด การบรรยายที่สมควรได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เวทมนตร์ก็จบลง ขณะเดินออกมาจากห้องเรียน ลูเซียนก็ให้รู้สึกเหนื่อยอ่อน เขานวดหัวคิ้ว ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องทำงานของตน

ไม่นาน บรรดาลูกศิษย์ก็มาหาเขา โดยอ้างว่ามีคำถามจะถาม

หลังจากถามคำถามมากมายที่เห็นได้ชัดว่ามิได้เตรียมการมาอย่างรอบคอบ ไฮดี้ก็รวบรวมความกล้าถามออกมา “ท่านไม่โกรธพวกเราหรือเจ้าคะอาจารย์”

“โกรธเรื่องอะไรรึ” ลูเซียนถามกลับ

ไฮดี้ชี้ไปทางประตูห้องทำงานพลางตอบ “แอนนิคกับสปรินต์ไม่กล้าเข้ามาหาอาจารย์เจ้าค่ะ พวกเขากังวลว่าท่านจะโกรธที่พวกเขาท้าทายท่าน และไม่ยืนหยัดเคียงข้างท่าน”

ลูเซียนยิ้มขณะส่ายศีรษะ “ไม่เลยสักนิด ข้ากลับดีใจเสียอีกที่ได้เห็นเช่นั้น”

“อะไรนะ” เหล่าลูกศิษย์ต่างมึนงง

“ในอาร์คานาศาสตร์ เราเชื่อในผลการทดลองและการสังเกตการณ์ รวมถึงทฤษฎีต่างๆ ที่มีรากฐานมาจากสิ่งเหล่านั้น มิได้ยึดถือที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง” ลูเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม้ว่าตั้งแต่ข้าเข้ามาในสภา ข้าจะคาดการณ์ถูกต้องมาโดยตลอดและโค่นล้มทฤษฎีดั้งเดิมไปมากมาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นควรจะเชื่อตามข้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา และไม่โต้แย้งอะไรเลยเวลาที่ข้านำเสนอข้อสันนิษฐานไร้สาระที่ขัดแย้งกับตรรกะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์”

“…นั่นคือทัศนคติต่ออาร์คานาที่เลวร้ายที่สุด! ในตอนที่ข้านำเสนอการอธิบายตามความน่าจะเป็น หลักความไม่แน่นอน และผลกระทบจากผู้สังเกตการณ์ ข้าก็ถูกอาจารย์ก่นด่า ท่านประธานก็ไม่เห็นด้วยกับข้า นี่มิใช่เพราะพวกท่านดื้อรั้น แต่เป็นเพราะพวกท่านมีความเชื่อทางอาร์คานาเป็นของตนเอง ซึ่งสั่งสมมาจากผลการทดลองและปรากฏการณ์มากมาย มันไม่สำคัญเลยว่าพวกท่านจะไม่เห็นด้วยกับข้า ตราบใดที่พวกท่านมีความเชื่อเป็นของตนเอง…”

“หากพวกท่านเห็นด้วยกับข้าอย่างง่ายดาย พวกท่านคงมิมีทางได้เป็นมหาจอมเวท สปรินต์กับแอนนิคทำถูกแล้วที่ยืนกรานไม่เชื่อจนกว่าข้าจะมีหลักฐานแน่นหนามาสนับสนุนทฤษฎีนี้” ลูเซียนยิ้มกว้าง ฉวยโอกาสนี้สั่งสอนลูกศิษย์เกี่ยวกับทัศนคติที่ถูกต้อง

“ถ้าเกิดว่าข้าคิดผิดเล่า” ลูเซียนถาม

ไฮดี้เค้นรอยยิ้มออกมาขณะตอบ “ตอนนี้ข้าไม่เข้าใจเรื่องโลกจุลภาคเลยสักนิดเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้น ข้าจะจดจ่อสมาธิกับสูตรและการทดลองต่างๆ เพื่อศึกษาเรื่องปัญญาประดิษฐ์ จะยังไม่ติดตามเรื่องทฤษฎีที่หักมุมไปมาในช่วงนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ”

เลย์เรีย คาทรินา และเชลีย์ต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ตอนนี้พวกนางรู้สึกเหมือนศีรษะระเบิดไปแล้วอย่างไรมิทราบ