หลิงหยุนนั่งหลับตานิ่งอยู่เนิ่นนานผ่านไปราวยี่สิบนาทีเขาจึงเอื้อมมือไปจับแขนเสี่ยวเม่ยเม่ยพร้อมกับบอกนางว่า
  “เอาล่ะข้าหายเมื่อยแล้ว..เดี๋ยวข้าจะออกไปฝึกวิชาข้างนอกสักครู่ เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว!”
  ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูสมาชิกตระกูลเกาทั้งสิบคนที่เขาเพิ่งทำการรักษาให้และพบว่าสี่คนที่รักษาไปก่อนนั้น เวลานี้ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว และต่างก็พ้นขีดอันตรายกันหมดแล้ว จะมีก็เพียงแค่ร่างกายที่ยังอ่อนแออยู่บ้างเท่านั้น..
  เวลานี้ลู่เฉียวเฟิงที่หลิงหยุนทำการรักษาให้เป็นรายแรกนั้นตื่นขึ้นมาก่อนใคร และกำลังนั่งคุยอยู่กับเกาเฉินเฉินบนเตียง
  เมื่อเห็นคนตระกูลเกาต่างก็ปลอดภัยกันหมดเช่นนี้หลิงหยุนจึงสามารถออกไปฝึกวิชาได้ด้วยความโล่งอก สำหรับเขาแล้ว.. การฝึกวิชานับเป็นเรื่องใหญ่ และสำคัญที่สุดในชีวิต!   เมื่อไหร่ที่มีเวลา..หลิงหยุนก็มักจะฝึกวิชาอย่างสม่ำเสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถก้าวหน้าขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้!
  โม่วู๋เตาที่จนป่านนี้ยังไม่ได้หลับได้นอนนั้นเมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนจะออกไปฝึกวิชาต่อก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาเหลือบมองหลิงหยุนตาขวางพร้อมกับพูดจาประชดประชัน
  “เจ้าคนเสียสติผู้นี้จะบ้าฝึกวิชาไปถึงใหนกันนะ”แล้วก็หลับตาลงทันที..
  เวลารุ่งสางเช่นนี้..เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การฝึกวิชาดาราคุ้มกายอย่างที่สุด และแน่นอนว่าหลิงหยุนจะไม่ยอมพลาดช่วงเวลาดีๆนี้ไปอย่างแน่นอน ฉินตงเฉี่วยเองก็เช่นกัน!
  ทั้งคู่ฝึกฝนวิชาจนกระทั่งถึงเจ็ดโมงเช้า..
  เกาเทียนหลงทำหน้าที่ดูแลคนในครอบครัวอยางดีและคนที่เขาต้องเอาใจใส่มากที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นปู่และพ่อของเขา เพราะหลังจากที่หลิงหยุนรักษาทุกคนให้หายจากการเป็นแวมไพร์แล้วนั้น ร่างกายของพวกเขาก็มีสภาพเป็นเพียงร่างกายของมนุษย์ธรรมดาทั่วไปซึ่งกำลังอ่อนแอ และต้องการการเอาใจใส่ดูแล..
  คนตระกูลเกาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ไม่หวาดกลัวต่อแสงอาทิตย์ดังก่อนอีกเช่นนี้ย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายของพวกเขาได้กลับคืนสู่สภาวะปกติแล้ว!
  และเวลานี้เกาซิงฉางและเกาเทียนหลง ก็ได้นั่งคอยหลิงหยุนอยู่ที่ห้องรับแขกเป็นเวลานานแล้ว..
  “หลิงหยุน..ท่านพ่อบอกกับข้าว่าเขารู้สึกหิว และอยากกินอาหาร ข้าให้พวกเขากินอาหารได้หรือไม่ ถ้าได้.. ข้าควรให้พวกเขากินอะไรดี?”
  ทันทีที่เห็นหลิงหยุนเดินเข้ามาในบ้านเกาเทียนหลงก็ร้องตะโกนถามทันที..
  หลิงหยุนได้ฟังถึงกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข“เจ้ายังจะต้องถามข้าอีกรึ เวลานี้ทุกคนกลับมาเป็นปกติแล้ว พวกเขาอยากกินอะไร เจ้าก็หาให้พวกเขากินได้เลย เพียงแต่ต้องพยายามให้ทุกคนได้รับสารอาหารที่เพียงพอเท่านั้น..”
  “อ่อ..ข้าเข้าใจแล้ว!”   เกาเทียนหลงพยักหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขแล้วจึงพูดต่อว่า “ข้าจะออกไปหาซื้ออาหาร เสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้กับทุกคนก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา..”
  “เจ้าต้องการให้ข้าไปเป็นเพื่อนหรือไม่”หลิงหยุนเอ่ยถามเกาเทียนหลง
  เกาเทียนหลงรู้ดีว่าหลิงหยุนเป็นห่วงความปลอดภัยของเตนเองเขาจึงได้แต่หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “หลิงหยุน..เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง! นี่ยังกลางวันแสกๆอยู่เลย อีกอย่างปักกิ่งก็เป็นบ้านเกิดของข้า..”
  เห็นได้ชัดว่า..หลังจากที่คนตระกูลเกากลับมาเป็นปกติแล้วนั้น เกาเทียนหลงก็กลับมากล้าหาญ และมั่นใจมากยิ่งกว่าเดิม
  หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งเกาเทียนหลงจึงพูดต่อว่า“อีกอย่าง.. เวลานี้ตระกูลเฉินเองก็ยังเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำไป..”
  หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง“ฮ่า..ฮ่า.. เอาล่ะ! ข้าจะไปเปิดประตูให้เจ้าเอง..”
  หลิงหยุนเดินไปเปิดประตูรั้วให้เกาเทียนหลงระหว่างที่เดินเข้าบ้านเขาก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจดูอีกรอบ และพบว่าเวลานี้สมาชิกทั้งสิบของตระกูลเกาต่างก็ตื่นนอนกันหมดแล้ว หลิงหยุนจึงหันไปร้องบอกกับฉินตงเฉี่วยว่า..
  “น้าหญิง..ข้าหิวแล้ว พวกเราออกไปทานอาหารเช้ากันดีกว่า!”
  หลิงหยุนจงใจพูดให้คนตระกูลเกาที่อยู่ข้างบนได้ยินเวลานี้แม้ว่าทุกคนจะกลับมาเป็นคนปกติแล้ว แต่หลิงหยุนก็รู้ดีว่าพวกเขาคงต้องการพื้นที่ความเป็นส่วนตัว เพื่อพูดคุยกันตามประสาคนในครอบครัว..
  อีกทั้งหลิงหยุนฉินตงเฉี่วย และเสี่ยวเม่ยเม่ย ต่างก็มีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ว่องไว หากพวกเขายังอยู่ในบ้านเช่นนี้ คนตระกูลเกาคงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะพูดคุยกัน..
  “ก็ดี..ข้าเองก็หิวมากแล้วเช่นกัน พวกเราไปกันเลย!” ฉินตงเฉี่วยนั้นเข้าใจความต้องการของหลิงหยุนดี จึงรีบตอบรับเสียงดัง  จากนั้นหลิงหยุนก็พูดกับเกาเฉินเฉินผ่านกระแสจิต
  -เฉินเฉิน..ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร ผมกับคนอื่นๆจะออกไปข้างนอกก่อน คุณกับคนในครอบครัวจะได้มีเวลาเป็นส่วนตัว แล้วถ้ามีอะไรก็รีบโทรหาผมทันที!–
  ……
  “ดูท่าคนตระกูลเกาทั้งหมดคงจะกลับไปบ้านคืนนี้แน่!และทุกคนคงจะต้องมีเรื่องพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว..!”
  “ตระกูลฉินเองก็มีบ้านอยู่ในปักกิ่งหลายหลังข้าจะไปพักที่บ้านตระกูลฉิน และจะไปจัดการเรื่องของตัวเองด้วย!”
  “ถ้าเช่นนั้นข้าเองก็จะไปพักที่โรงแรม!”เสี่ยวเม่ยเม่ยร้องบอกเช่นกัน
  มีเพียงโม่วู๋เตาที่ถามออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก“แล้วข้าล่ะ! ข้าจะทำเช่นไร?”
  นักพรตน้อยเพิ่งลงจากเขามาเป็นครั้งแรกไม่มีแม้แต่บัตรประจำตัวประชาชน อีกทั้งยังไม่มีเงินที่จะไปนอนโรงแรมด้วย..
  “ทำเช่นใดงั้นรึเจ้าก็ไปเดินสำรวจตามท้องถนนดูว่ามีร้านกาแฟที่ใหนบ้าง แล้วก็ไปอาศัยซุกตัวอยู่ตามร้านเหล่านั้นสิ!” หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
  แต่กลับคิดไม่ถึงว่าโม่วู่เตาจะหัวเราะออกมาและตอบโต้ทันที “อืมม.. เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย! ข้าว่าจะเดินเล่นตามถนนหนทางในปักกิ่งไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็จะได้บอกกับทุกคนที่พบเห็นว่า – เวลานี้หลิงหยุนแห่งจิงฉูได้มาถึงปักกิ่งแล้ว!”
  “เจ้าว่าดีหรือไม่”โม่วู๋เตาหันไปถามหลิงหยุน
  “ฝากไว้ก่อนเถอะ!ไว้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าคราวหลัง..”
  หลิงหยุนกัดฟันกรอดก่อนจะหันไปบอกโม่วู๋เตาว่า “เอาล่ะ.. ข้าจะช่วยจองโรงแรมห้าดาวให้กับเจ้าเอง เอาห้องเพรสซิเดนท์สูทเลยดีหรือไม่”
  โม่วู่เตาหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างผู้กุมชัยชนะ..
  เหตุใดหลิงหยุนจึงต้องพาโม่วู๋เตามาปักกิ่งด้วยอย่างนั้นหรือก็เพราะเขาต้องการให้โม่วู๋เตาใช้วิชาทำนายดวงชะตาที่แม่นยำนั้น มาช่วยตามหาพ่อของเขา – หลิงเสี่ยว..
  หลังจากรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้วฉินตงเฉี่วยก็เรียกรถแท๊กซี่กลับไปบ้าน ส่วนหลิงหยุนก็ขับรถไปส่งเสี่ยวเม่ยเม่ยกับโม่วู๋เตาที่โรงแรม หลังจากนั้นเขาก็ขับรถเล่นในปักกิ่งเพื่อทำความคุ้นเคยกับถนนหนทางไปเรื่อยๆ..
  จนกระทั่งเกาเฉินเฉินโทรเข้ามาหลิงหยุนจึงได้ขับรถกลับไปที่บ้าน และไปถึงในเวลาสิบโมงครึ่งพอดี เมื่อเดินเข้าไปภายในบ้าน หลิงหยุนก็พบว่าสมาชิกตระกูลเกาทั้งสิบสองคนได้นั่งรอเขาอยู่ภายในห้องรับแขกกันหมดแล้ว..
  และทันทีที่หลิงหยุนก้าวเท้าเข้าไปในห้องรับแขกเกาจิ้นสงก็ลุกขึ้นจากโซฟาทันที และคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นตาม..
  เวลานี้คนตระกูลเกาทั้งหมดต่างก็ได้รับประทานอาหารเช้าและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่กันหมดแล้ว สายตาทุกคู่ที่จ้องมองมาทางหลิงหยุนนั้น ล้วนเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งใจ..
  “ท่านปู่เกา..ท่านลุงเกา.. ท่านป้าลู่.. และทุกๆท่าน ข้าขอแสดงความยินดีด้วย!”
  หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างเบิกบานพร้อมกับเป็นฝ่ายเอ่ยทักทาย และแสดงความยินดีกับทุกคน..
  เกาจิ้นสงกระแอมเบาๆแล้วจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับหลิงหยุน “หลิงหยุน.. พวกเราทุกคนได้หารือกันแล้ว และตกลงกันว่าจะกลับบ้านตระกูลเกาในคืนนี้ แต่ก่อนกลับข้ามีเรื่องต้องประกาศให้ทุกคนได้รับทราบเสียก่อน..”
  เกาจิ้นสงเห็นสีหน้าประหลาดใจปนตกใจของหลิงหยุก็ได้แต่เย้าแหย่ว่า“หลิงหยุน.. เจ้าไม่ต้องทำสีหน้าตกใจถึงเพียงนั้นก็ได้! เพราะเรื่องที่ข้าจะประกาศนั้นก็คือ.. ข้าจะจัดให้มีพิธีหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับเฉินเฉินโดยเร็วที่สุด!”
  “หมั้นหมาย..”หลิงหยุนถึงกับอึ้งไป..   เขาคิดไม่ถึงว่า..หลังจากที่คนตระกูลเกากลับมาใช้ชีวิตภายใต้แสงตะวันได้นั้น เรื่องแรกที่พวกเขาจะทำกลับเป็นเรื่องการหมั้นหมายระหว่างเขากับเกาเฉินเฉิน..
  เกาเฉินเฉินนั้นแม้จะล่วงรู้การตัดสินใจของผู้เฒ่าตระกูลเกาก่อนหน้านี้แล้วเมื่อได้ฟังคำประกาศ เธอก็ถึงกับเขินอาย และใจเต้นรัวราวกับกลอง เกาเฉินเฉินได้แต่หลบหน้าหลบตาไม่กล้าเงยหน้ามองหลิงหยุน แต่ใบหน้านั้นบ่งบอกว่ากำลังมีความสุขอย่างที่สุด..
  หลิงหยุนเองก็ถึงกับหน้าแดงเช่นกันรอบกายเขานั้นมีสาวงามรายล้อมอยู่มากมาย แต่ก็ยังไม่มีใครจับจองตัวเขาด้วยการหมั้นหมายอย่างจริงจังเช่นนี้มาก่อน..
  “เอ่อ..ท่านปู่เกา.. เรื่องหมั้นหมายนั่น..”
  การหมั้นหมายเป็นเรื่องการตัดสินใจของพ่อแม่และความเหมาะสม! หลิงหยุนเองก็ไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ จึงไม่รู้ว่าควรต้องตอบกลับไปเช่นใด
  เกาจิ้นสงเห็นหลิงหยุนมีท่าทีลังเลจึงร้องถามขึ้นทันที “ทำไมรึ หรือเจ้าคิดว่าเฉินเฉินไม่เหมาะกับเจ้า? หรือเป็นเพราะเจ้าไม่พึงพอใจตระกูลเกาของเรา?” novel-lucky
  “เอ่อ..ท่านปู่เกา ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”
  เกาจิ้นสงแสร้งทำสีหน้าเคร่งเครียด“แล้วเจ้าหมายความเช่นใด ข้ามอบหลานสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจให้กับเจ้า เฉินเฉินเองงดงามราวดอกไม้แรกแย้ม แต่เจ้ากลับลังเล.. หรือเจ้าไม่พอใจ?”
  เกาจิ้นสงพูดจบก็ยกมือขึ้นลูบไล้หนวดยาวของตนเองจนคนอื่นๆ อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้..
  ความสัมพันธ์ระหว่างหลิงหยุนกับเกาเฉินเฉินนั้นทุกคนในตระกูลเกาต่างก็รู้กันดี ไม่ว่าอย่างไรทั้งคู่ก็ต้องลงเอยกันอยู่ดี เมื่อหลิงหยุนรู้ตัวว่าถูกเย้าแหย่ เขาจึงได้แต่พูดขึ้นว่า
  “ท่านปู่เกา..เฉินเฉินเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับข้า มีหรือที่ข้าจะไม่พอใจ ข้ายินดีที่จะหมั้นหมายกับเฉินเฉินอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่สามารถจัดการด้วยตนเองได้..”
  หลิงหยุนจัดการโยนการตัดสินใจในเรื่องนี้ทั้งหมดให้กับตระกูลหลิงไป..
  เกาจิ้นสงยิ้มอย่างรู้ทันพร้อมกับถามขึ้นว่า“หลิงหยุน.. เจ้าไม่ต้องโยนการตัดสินใจเรื่องนี้ไปให้กับผู้อื่น เจ้าเพียงแค่ตอบข้ามาต่อหน้าเฉินเฉินว่าเจ้าจะยินดีหมั้นหมายกับเฉินเฉินหรือไม่”
  “ข้าย่อมยินดีแน่!”หลิงหยุนตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
  เกาจิ้นสงได้ฟังก็เอาแต่หัวเราะไม่หยุด..จากนั้นทุกคนต่างก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน..
  หลังจากนั่งพูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่เกาจิ้นสงจึงถามขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เมื่อครู่เจ้าบอกว่าการหมั้นหมายเป็นเรื่องของผู้ใหญ่จัดการ แต่ฟังจากเฉินเฉินแล้ว.. ตอนนี้แม่ของเจ้าก็ไม่ได้อยู่จิงฉูไม่ใช่รึ”
  เพียงแค่ฟังคำถามของเกาจิ้นสงหลิงหยุนก็สามารถเข้าใจได้ทันที เขาจึงตอบไปว่า “ท่านปู่เกา.. ท่านไม่จำเป็นต้องถามข้าเช่นนี้! ข้ารู้ว่าท่านเองก็คงคาดเดาอยู่ในใจแล้ว ข้าจึงขอบอกกับทุกท่านตามตรง..”
  “ท่านปู่เกา..เท่าลุงเกา.. ท่านป้าลู่..”
  “ข้าหลิงหยุน..เป็นทายาทของตระกูลหลิง และพ่อแท้ๆ ของข้าก็คือคุณชายสาม – หลิงเสี่ยว ส่วนแม่ผู้ให้กำเนิดข้าก็คือธิดาพรรคมารคนก่อน!”
  ระหว่างที่พูดออกไปนั้นสายตาของหลิงหยุนก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเกาจิ้นสงเพื่อสังเกตดูปฏิกิริยาของเขา และทันทีที่ฐานะที่แท้จริงของหลิงหยุนถูกเปิดเผย ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกต่างก็นิ่งเงียบกันหมด แม้กระทั่งเกาเฉินเฉิน..
  “ฮ่า..ฮ่า..”
  แต่จู่ๆเกาจิ้นสงกลับหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน และพูดกับหลิงหยุนว่า
  “ข้าเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องเป็นทายาทตระกูลหลิงและเป็นลูกของหลิงเสี่ยว! ที่แท้เจ้าก็เป็นหลานชายของตาเฒ่าหลิงลี่นี่เอง ฮ่า.. ฮ่า..!”   “เฉินเฉิน..การที่ปู่ให้เจ้าไปอยู่จิงฉูนั้น นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของปู่เลยทีเดียว!”
  เกาจิ้นสงยังคงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขและทุกคนในตระกูลเกาก็เช่นกัน ทุกคนต่างก็มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม..
  หลิงหยุนเห็นทุกคนกำลังหัวเราะอย่างมีความสุขเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบเรียกสมุนไพรเหอโชวู และโสมพันปีออกมาวางไว้บนโต๊ะรับแขกด้านหน้าทันที..
  ทุกคนในห้องต่างก็นิ่งเงียบไปหมดและสายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องอยู่ที่สมุนไพรล้ำค่าบนโต๊ะ..
  “นี่..นี่..”
  แม้แต่ปู่ของเกาเฉินเฉินเองก็ยังถึงกับอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก..
  และนี่คือของขวัญที่หลิงหยุนตั้งใจนำมามอบให้กับตระกูลเกาเพียงแต่เขายังไม่ได้มอบให้เพราะต้องการให้ร่างกายของทุกคนฟื้นตัวเสียก่อน..
  เกาจิ้นสงถึงกับริมฝีปากสั่นและยื่นมือออกไปลูบไล้สมุนไพรล้ำค่าเหล่านั้น พร้อมกับพูดออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ..
  “นี่เป็นสมุนไพรล้ำค่าที่หาได้ยากนักในโลกใบนี้!”
  หลิงหยุนอธิบายให้เกาจิ้นสงฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ท่านปู่เกา.. สมุนไพรทั้งสองชนิดนี้สามารถกินร่วมกันได้ หลังจากที่กินเข้าไปแล้วร่างกายของท่านก็จะล้ำเลิศกว่าก่อนยิ่งนัก!”
  “หลิงหยุน..นี่เป็นของขวัญที่มีราคาแพงมากจนเกินไป!”
  หลิงหยุนตอบกลับไปทันที“ท่านลุงเกา.. ยังเทียบไม่ได้กับของขวัญที่พวกท่านมอบให้ข้า!”
  เกาจิ้นสงตอบกลับไปว่า“เจ้าอย่าพูดเพ้อเจ้อ.. สมุนไพรล้ำค่าเช่นนี้ ต่อให้มีเงินมากมายเพียงใดก็หาซื้อไม่ได้!”
  หลิงหยุนไม่ต้องการโต้เถียงจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที“ท่านปู่เกา.. ข้ามีเรื่องเล็กน้อยอยากจะขอร้องท่าน!”
  “พูดมาเถิด..ต่อให้มีคำขอร้องเป็นร้อย ข้าก็จะรับปากเจ้า!”
  หลิงหยุนทำท่าทางครุ่นคิดในที่สุดก็พูดออกไปว่า “ท่านปู่เกา.. พ่อของข้า – หลิงเสี่ยว ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใหนกันแน่ ข้าจึงอยากจะขอร้องท่าน และทุกๆคน ให้เก็บเรื่องฐานะของข้าไว้เป็นความลับ..”
  เกาจิ้นสงแทบไม่รอให้หลิงหยุนพูดจบ“หลิงหยุน.. จากวันนี้ไปตระกูลหลิงกับตระกูลเกาก็นับเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ยังต้องเกรงใจอีกทำไมกัน”
  “ตั้งแต่วันนี้..เรื่องของตระกูลหลิง ก็คือเรื่องของตระกูลเกา!”
  “เหตุการณ์เมื่อสิบแปดปีก่อนนั้น..ข้ารู้ดีว่าตระกูลหลิงต้องผ่านเรื่องราวหนักหนาสาหัสอะไรมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิงเสี่ยว!”
  “ไม่เพียงแค่พวกเราจะเก็บเรื่องฐานะของเจ้าไว้เป็นความลับอย่างดีแต่จากนี้ไปตระกูลเกาก็พร้อมบุกน้ำลุยไฟไปพร้อมกับเจ้า และจะไม่มีทางทอดทิ้งตระกูลหลิงอย่างแน่นอน!”
  หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าเกาจิ้นสงจะพูดจาหนักแน่นถึงเพียงนี้เขาจึงได้แต่กล่าวขอบคุณกลับไป
  “ข้าหลิงหยุน..ขอบคุณท่านปู่เกา!”
  แต่ระหว่างนั้นจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็จับภาพรถสองคันที่มาจอดอยู่หน้าประตูรั้วได้..