หลิงหยุนร้องบอกทุกคนทันที“ท่านปู่เกา.. ด้านนอกมีคนขับรถมาจอด ข้าจะออกไปดูก่อน!”
แต่เกาจิ้นสงกลับหัวเราะออกมาพร้อมกับโบกมือให้หลิงหยุนนั่งลง “เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไปดูหรอก.. นั่นคงเป็นพ่อครัวของข้าเอง!”
เกาเฉินเฉินหันไปบอกหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“หลิงหยุน.. ท่านปู่ไม่ได้กินของอร่อยมานาน.. เมื่อเช้าก็บ่นว่าอาหารที่พี่ใหญ่ซื้อมารสชาติไม่ดี ท่านปู่จึงสั่งให้พี่ใหญ่โทรไปเรียกพ่อครัวที่ท่านปู่ชื่นชอบรสชาติอาหาร ให้พวกเขามาทำอาหารเที่ยงให้ทุกคนทานที่บ้าน จะได้เป็นการเฉลิมฉลองไปในตัวด้วย..”
และผู้ที่มาก็คือพ่อครัวที่เกาเทียนหลงโทรเรียกจริงๆ!
ด้านหน้ารถมินิบัสนั้น..นอกเหนือจากคนขับรถแล้ว ก็มีชายวัยกลางคนอายุตั้งแต่สามสิบถึงห้าสิบนั่งอยู่สามคน ส่วนด้านหลังก็จะมีเด็กหนุ่มสาวนั่งอยู่อีกห้าคน แล้วก็ยังมีวัตถุดิบต่างๆสำหรับทำอาหาร มีทั้งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์อยู่เต็มรถ..
ชายวัยกลางคนเดินลงมาจากรถแล้วก็รีบทักทาย และแนะนำตัวว่าเขาเป็นพ่อครัวที่ถูกเรียกให้มาทำอาหารที่นี่
หลิงหยุนถอนจิตหยั่งรู้กลับมาพร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจว่า‘ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในตระกูลระดับต้นๆของประเทศนี้ ช่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่หรูหรายิ่งนัก..’
…..
หลังจากที่พ่อครัวทั้งสามและผู้ช่วยจัดเตรียมอาหารสำหรับมื้อเที่ยงพร้อมแล้ว ทุกคนก็นำขึ้นมาเสิรฟที่โต๊ะอาหาร เกาจิ้นสงจึงพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะทุกคน..พวกเรามาร่วมดื่มฉลองกันได้แล้ว!”
“สำหรับเหล้าแก้วแรก..ข้าขอดื่มให้กับหลิงหยุน! ขอบคุณที่ได้ช่วยชีวิตคนตระกูลเกาไว้!”
ผู้นำตระกูลเกาคนก่อนไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้หลิงหยุนได้ปฏิเสธหลังจากพูดจบเขาก็กระดกแก้วเหล้าเข้าปากทันที
“แก้วที่สอง..ข้าขอดื่มแสดงความยินดี และฉลองที่ตระกูลเกาของเราได้ผ่านพ้นความทุกข์ยากมาได้ราวกับเกิดใหม่อีกครั้ง.. ดื่ม!”
“แก้วที่สาม..ข้าขอดื่มฉลองให้กับการหมั้นหมายระหว่างเฉินเฉินกับหลิงหยุน และการรวมเป็นทองแผ่นเดียวกันของตระกูลเกากับตระกูลหลิง!”
ทุกคนในห้องต่างก็ร่วมดื่มและรับประทานอาหารกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ภายในห้องมีเพียงเสียงหัวเราะ และบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุข..
และนี่เป็นการร่วมรับประทานอาหารอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างหลิงหยุนกับตระกูลเกา!
……
การรับประทานอาหารดำเนินไปร่วมสองชั่วโมงและในช่วงบ่ายคนตระกูลเกาก็ได้เตรียมตัวที่จะกลับบ้านกันแล้ว ระหว่างที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกันอยู่นั้น เกาเฉินเฉินก็แอบกระซิบกับหลิงหยุน..
“หลิงหยุน..แม่ของฉันอยากให้ฉันกลับไปอยู่บ้านเป็นเพื่อนสักสองสามวัน..”
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามขึ้นว่า“คุณต้องการให้ผมส่งคนไปคอยคุ้มครองมั๊ย”
เกาเฉินเฉินยิ้มให้พร้อมกับตอบไปว่า“เรื่องนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วง! ท่านปู่บอกว่าสถานการณ์ในปักกิ่งเวลานี้ ที่ดูเหมือนสงบนั้น ความจริงแล้วต่างฝ่ายต่างก็นิ่งดูท่าทีกันอยู่ ทั้งหมดนี้อาจเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิงของนายก็เป็นได้..”
“ท่านปู่บอกว่าตราบใดที่นายยังไม่ปรากฏตัวตระกูลหลงกับตระกูลเย่ก็คงจะยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ เมื่อสองตระกูลใหญ่ไม่เคลื่อนไหว ตระกูลอื่นๆก็คงทำได้เพียงแค่นั่งดูเงียบๆ!”
“สถานการณ์ในปักกิ่งช่วงนี้จึงนับว่าปลอดภัยมากไม่เช่นนั้นท่านปู่คงจะไม่ตัดสินใจพาทุกคนกลับไปบ้านตระกูลเกาอย่างแน่นอน!”
“ท่านปู่ยังบอกอีกว่า..การที่พวกเรากลับเข้าบ้านตระกูลเกาเช่นนี้ ย่อมเป็นการประกาศว่าแผนการของตระกูลเฉินนั้นล้มเหลว อีกทั้งเฉินเจี้ยนกุ่ยเองก็ถูกจับตัวไว้ได้เช่นนี้ ตระกูลเฉินคงไม่กล้าแอบเล่นงานตระกูลเกาอีก..”
“การกลับไปของตระกูลเกาครั้งนี้ตระกูลอื่นๆในปักกิ่งคงต้องมีปฏิกิริยาออกมาบ้าง และยิ่งตระกูลต่างๆ เคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นผลดีกับนายมากขึ้นเท่านั้น..”
“และการที่พี่ใหญ่ไปร่วมพิธีเปิดบริษัทเทียนตี้อย่างเปิดเผยเช่นนั้นก็เพื่อเป็นการประกาศว่าใครที่คิดจะเป็นศัตรูกับนาย ก็เท่ากับเป็นศัตรูของตระกูลเกาด้วย!”
“ท่านปู่บอกว่า..ช่วงเวลานี้คงไม่มีใครกล้าแอบเล่นงานตระกูลเกาแน่ จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัยยิ่ง!”
หลิงหยุนได้ฟังคำบอกเล่าของเกาเฉินเฉินก็ได้แต่คิดในใจว่า‘อาวุโสเกานับว่าฉลาดล้ำลึกยิ่งนัก มิน่าวันนี้จึงได้เรียกพ่อครัวมาทำอาหารเลี้ยงฉลองกันอย่างเอิกเกริก..’
หลิงหยุนพยักหน้า“เอาล่ะ.. ถ้าอย่างนั้นคุณก็ตามทุกคนกลับไปบ้านตระกูลเกา ถึงแม้ว่าเรื่องร้ายๆ จะได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ที่ผ่านมาตระกูลเกาก็ต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวไปมาก ในใจคงจะยังเสียใจอยู่ไม่น้อย..”
เกาเฉินเฉินกุมมือหลิงหยุนไว้พร้อมกับเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. นายต้องรับปากฉันว่าจะระมัดระวังตัวให้มาก และไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น นายต้องโทรบอกฉัน อย่าให้ฉันต้องกังวลใจ..”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆ“เฉินเฉิน.. คุณทำใจให้สบาย ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะผมจะไม่เป็นอะไรแน่!”
…..
ในช่วงเวลาเย็น..หลิงหยุนเดินตามออกไปส่งคนตระกูลเกาที่สวนหน้าบ้าน และได้สั่งให้มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดไปนำตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยออกมาจากห้องใต้ดิน.. “ท่านปู่เกา..ข้าขอมอบเฉินเจี้ยนกุ่ยให้กับท่าน! จากนี้ไปแล้วแต่ท่านปู่จะจัดการเช่นใดกับมัน”
นาทีที่หลิงหยุนส่งเฉินเจี้ยนกุ่ยให้กับตระกูลเกานั้นเฉินเจี้ยนกุ่ยก็นับเป็นศพในสายตาของเขาแล้ว เขาจึงไม่สนใจว่ามันจะตายด้วยวิธีใด
หลังจากส่งคนตระกูลเกากลับไปแล้วภายในสวนหน้าบ้านก็เหลือเพียงหลิงหยุนกับมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดสองคนเท่านั้น..
“เอ็ดเวิร์ด..ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับสูงสุดขั้นมาร์ควิสแล้วงั้นรึ”
“ใช่แล้วเจ้านายที่เคารพ..”
“อืมม..ไว้รอให้ถึงคืนพระจันทร์เต็มดวงเมื่อใด ข้าจะช่วยให้เจ้าเข้าสู่ขั้นดยุค!”
แววตาของมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดปรากฏร่องรอยแห่งความยินดีพร้อมกับร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ขอบคุณเจ้านายที่เคารพ!” “เอาล่ะ..เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว คืนนี้ต้องออกไปทำงานกับข้า!”
จากนั้นหลิงหยุนก็กลับเข้าไปในห้องนอนปลี่ยนเป็นชุดผ้าแพรไหมดำ และออกไปฝึกวิชาดาราคุ้มกายอยู่ด้านนอก.. ไอลีนโนเวล
เวลานี้หลิงหยุนได้ฝึกดาราคุ้มกายเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นที่สองแล้วแต่การจะเข้าสู่ขั้นที่สามได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก แต่หลิงหยุนก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนต่อไปเท่านั้น..
นั่นเพราะวิชาดาราคุ้มกายนั้นนับเป็นวิชาที่ใช้ปกป้องร่างกายได้ดีที่สุด ไม่เพียงแค่ใช้ในการต่อสู้เท่านั้น แต่หลิงหยุนยังเตรียมไว้สำหรับการรับทัณฑ์สวรรค์ในด่านสุดท้ายของตัวเองด้วย..
หลิงหยุนฝึกวิชาต่อเนื่องกันถึงสองชั่วโมงจนกระทั่งเวลาห้าทุ่มตรงหลิงหยุนจึงได้หยุด..
……
ในยามค่ำคืน..หลิงหยุนกับมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดกระโดดข้ามกำแพงบ้านออกไป ทั้งคู่มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ และตรงเข้าไปในป่าลึกอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ..เจ้ากลายร่างได้แล้ว!”
ทันทีที่มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดกลายร่างปีกใหญ่ของมันก็สยายออกมาจากแผ่นหลัง และกำลังกระพือปีกบินอยู่กลางอากาศ
หลิงหยุนกระโดดขึ้นไปยืนบนแผ่นหลังของมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดพร้อมกับสั่งว่า“มุ่งหน้าไปทางทิศใต้!”
หลิงหยุนกำลังจะเดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลเฉินที่อยู่ชานเมืองด้านใต้ของปักกิ่งนั่นเอง..
เพียงแค่ยี่สิบนาที..ทั้งคู่ก็กำลังบินอยู่เหนือคฤหาสน์ตระกูลเฉิน!
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปยังป่าทึบบนภูเขาลูกหนึ่งพร้อมกับสั่งให้มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดร่อนลงที่นั่น
“เอ็ดเวิร์ด..เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปทำธุระบางอย่างในบ้านตระกูลเฉิน ระหว่างนี้เจ้าก็กลายร่างเป็นค้างคาว และคอยฟังเสียงหากข้าต้องการความช่วยเหลือ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็นำผ้าขึ้นมาคลุมใบหน้าไว้เหลือเพียงแค่ลูกตาสองข้างเท่านั้น หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ขั้นสุด และกระโดดออกจากป่าทึบมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลเฉินทันที..
“พวกมันคงต้องคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนาแน่!”
เป็นไปอย่างที่หลิงหยุนคาดไว้จริงๆภายในสวนด้านหลังของคฤหาสน์ตระกูลเฉินเวลานี้ นอกจากจะมียอดฝีมือห้าคนยืนเฝ้าอยู่แล้ว ก็ยังมียอดฝีมืออีกหลายคนที่คอยซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆด้วย..
แต่ถึงกระนั้น..การป้องกันที่แน่นหนาเช่นนี้ก็ไม่ได้มีความหมายในสายตาของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย เพราะด้วยจิตหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งทำให้เขามองเห็นยอดฝีมือที่ซุ่มอยู่ได้อย่างชัดเจน และสามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
หลิงหยุนมาคฤหาสน์ตระกูลเฉินในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมาแก้แค้นเหมือนครั้งก่อน แต่เขามาเพื่อหาสิ่งของบางอย่าง.. เฉินเซินได้เล่าให้หลิงหยุนฟังว่า..หลิงห่าวจ้างเฉินเซินไปฆ่าหลิงหยุนด้วยเงินจำนวนยี่สิบล้านหยวน แต่เนื่องจากภารกิจล้มเหลว หลิงห่าวจึงได้ขอเงินจำนวนยี่สิบล้านคืน และได้เซ็นต์เช็คจำนวนสองล้านให้กับเฉินเซินเป็นค่าเหนื่อยแทน..
และที่หลิงหยุนมาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาหาเช็คที่มีลายเซ็นต์ของหลิงห่าวนั่นเอง!
หลิงห่าวเป็นลูกของหลิงเจิ้นซึ่งเป็นผู้นำตระกูลหลิงคนปัจจุบันหลิงหยุนจึงจำเป็นต้องหาหลักฐานการกระทำผิดของหลิงห่าว เพื่อให้เขาไม่สามารถดิ้นหลุดได้ และที่หลิงหยุนไม่ฆ่าเฉินเซินกับไห่ซานนั้น ก็เพราะต้องการให้ทั้งคู่มาเป็นพยานในเรื่องนี้นั่นเอง!
ในเมื่อมีทั้งพยานหลักฐานและพยานบุคคลเช่นนี้ ก็ยากนักที่หลิงห่าวจะสามารถแก้ต่างได้..
หลิงหยุนกระโดดเข้าไปทางหน้าต่างและตรงไปยังห้องนอนของเฉินเซิน ด้วยจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุน เขาจึงหาเช็คใบนั้นพบได้อย่างง่ายดาย.. ‘ในที่สุดข้าก็พบแล้ว!’
หลิงหยุนจัดการเรียกเช็คใบนั้นเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ทันทีและกำลังเตรียมตัวทีจะกลับออกไป แต่ระหว่างนั้นเขาก็ได้ยินบทสนทนาของคนสองคนดังขึ้น
“ไห่เผิง..ตระกูลเย่ให้คำตอบกับเจ้าหรือยัง”
“ท่านพ่อ..ผู้นำตระกูลเย่ยังคงนิ่งเฉย ไม่ให้คำตอบใดๆเลย!”
‘เฉินไห่เผิงงั้นรึ’
‘เฉินไห่เผิงเป็นผู้นำตระกูลเฉินคนปัจจุบันไม่ใช่รึถ้าเช่นนั้น.. คนที่เฉินไห่เผิงเรียกว่าท่านพ่อ ก็คงจะเป็นเฉินจิ้งเทียนสินะ!’
และทันทีที่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่หลิงหยุนก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะกลับออกไปทันที เขาค่อยๆ ขยายรัศมีของจิตหยั่งรู้ออกอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้สองพ่อลูกตระกูลเฉินจับได้..
‘และนี่คงตรงกับสุภาษิตที่ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวสินะ!’
ภารกิจสำคัญที่สุดของหลิงหยุนในการมาปักกิ่งครั้งนี้ก็คือการช่วยหลิงเสี่ยว!แต่ในเมื่อคนตระกูลหลิงเองยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม หลิงหยุนจึงไม่กล้าผลีผลามเช่นกัน..
และตราบใดที่ยังหาตัวหลิงเสี่ยวไม่พบหลิงหยุนเองก็ไม่ต้องการสร้างคลื่นแห่งความปั่นป่วนขึ้นในปักกิ่งอีก ด้วยเหตุนี้.. ความตั้งใจของหลิงหยุนจึงเพียงแค่ต้องการจะมาเอาเช็คใบนี้เท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะได้อะไรที่มากกว่านั้น..
และนี่คือบทสนทนาระหว่างผู้นำตระกูลเฉินทั้งสองรุ่นมีหรือที่หลิงหยุนจะยอมปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ..
แต่หลิงหยุนเองก็รู้ว่าเฉินไห่เผิงนั้นอยู่ในขั้นเซียงเทียน-6ส่วนเฉินจิ้งเทียนก็น่าจะอยู่ในขั้นเซียงเทียน-8 เป็นอย่างน้อย ด้วยเหตุนี้.. หลิงหยนุจึงไม่กล้าที่จะขยายรัศมีจิตหยั่งรู้ออกไปกว้างนัก เขาจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะประสาทสัมผัสของยอดฝีมือในขั้นเซียงเทียนขึ้นไปนั้น จะแหลมคมและรับรู้ได้ละเอียดเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสาทสัมผัสในการได้ยิน หากให้อีกฝ่ายตรวจพบจิตหยั่งรู้ของตนเองเข้าหลิงหยุนคงต้องถูกจับได้แน่..
ใช่ว่าหลิงหยุนจะเกรงกลัวสองพ่อลูกตระกูลเฉินเพียงแต่จะทำให้เขาพลาดโอกาสที่จะได้ล่วงรู้บทสนทนาที่สองพ่อลูกกำลังจะคุยกันต่างหากเล่า..
จากนั้น..หลิงหยุนก็เปลี่ยนจากการหายใจแบบปกติ มาเป็นการหายใจแบบภายใน!
หากจะเปรียบจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนในเวลานี้ก็คงเปรียบได้กับอากาศที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่เพราะอากาศนั้นอยู่นิ่งไม่เคลื่อนไหวไปมาเช่นลม ผู้คนจึงไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของอากาศเช่นเดียวกับการรับรู้สายลม..
และเวลานี้..สองพ่อลูกก็ได้เข้ามาอยู่ในรัศมีการรับรู้ของหลิงหยุนแล้ว คนหนึ่งเป็นชายชราที่มีอายุราวเจ็ดสิบปี ส่วนอีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุราวสี่สิบปี..
ชายชราวัยเจ็ดสิบปีผู้นี้มีรูปร่างผอมสูงผมยาว ใบหน้ายาว และมีหนวดเครายาว จมูกโด่งแหลมงุ้ม เบ้าตาลึก และดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยว และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฉินจิ้งเทียน..
ส่วนเฉินไห่เผิงนั้นสูงไร่เรี่ยกับเฉินจิ้งเทียนเพียงแต่ค่อนข้างอ้วนท้วนกว่า และสง่างามกว่า แต่ก็ดูร้ายกาจกว่าเช่นกัน..
หลิงหยุนได้ยินเฉินจิ้งเทียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา“คิดไม่ถึงว่าตระกูลเย่จะกล้าเมินเฉย และนิ่งดูดายต่อตระกูลเฉินเช่นนี้! พวกเขาไม่นึกถึงมิตรภาพที่เคยมี และเรื่องที่สองตระกูลเคยทำร่วมกันเลยงั้นรึ”
เฉินไห่เผิงกัดฟันกรอดพร้อมกับพูดออกไปว่า“ท่านพ่อ.. ลูกไม่เอาใหนเอง! ข้าทำให้ตระกูลเฉินต้องสูญเสียเงินทองไปอย่างมากมายมหาศาล และทำให้ตระกูลเฉินต้องพบกับความเจ็บปวด และถูกทอดทิ้งให้เดียวดายเช่นนี้..”
ดวงตาคมราวกับเหยี่ยวของเฉินจิ้งเทียนคู่นั้นจ้องมองเฉินไห่เผิงนิ่งนานก่อนจะพูดออกมาว่า
“การที่เจ้าให้เฉินเจี้ยนกุ่ยจัดการกับตระกูลเกาเช่นนั้นข้าก็ว่าเป็นแผนการที่ดี แต่เกิดเหตุการพลิกผันเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่ได้นึกตำหนิเจ้า..” หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ..
“เพียงแต่..”
ครั้งนี้น้ำเสียงของเฉินจิ้งเทียนเต็มไปด้วยความดุดัน“การที่เจ้าส่งคนไปจับตัวหลิงเย่วมา เพื่อหวังบีบบังคับให้ตระกูลหลิงยอมร่วมมือกับตระกูลเฉินนั้น นับเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์!”
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ใคร่ครวญให้รอบคอบเสียก่อน”
“เจ้ายังไม่รู้จักคนตระกูลหลิงดีพอ..แม้ตระกูลหลิงจะได้รับความหายนะจนตกต่ำมาถึงสิบแปดปี แต่ตลอดสิบแปดปีมานี้ เจ้าเคยเห็นตระกูลหลิงยอมอ่อนข้อ และร่วมมือกับตระกูลใดบ้าง ”
“แม้แต่ตระกูลหลงที่ยื่นมือเข้าช่วยตระกูลหลิงมาโดยตลอดนั้นตระกูลหลิงก็เพียงแค่แสดงความซาบซึ้งใจ แต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมอยู่ในการควบคุมของตระกูลหลงเลยสักครั้ง!” “เจ้ามันโง่สิ้นดี!”
ยิ่งพูด..เฉินจิ้งเทียนก็ยิ่งโกรธมากขึ้น จนไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป เขาฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะหินเสียงดังปังด้วยความโมโห พร้อมกับร้องตะโกนออกไปเสียงดัง
“เวลานี้..ไม่เพียงตระกูลเกาไม่ถูกทำลายสิ้นซาก และตระกูลหลิงก็ยังคงไม่สิ้นสลาย แต่กลับกลายเป็นว่าตระกูลเฉินต้องเป็นฝ่ายสูญเสียความแข็งแกร่งลงไปอย่างมากมาย ตอนนี้จะหวังให้ตระกูลเย่สนับสนุนก็คงจะยากแล้ว!”
เฉินไห่เผิงถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นอย่างสำนึกผิด..
“เป็นความผิดของลูกเอง!”