ฝนที่กระหน่ำมื่อคืนนี้ชะล้างความอ่อนเปลี้ยไปจนหมดสิ้น หน่วยคุ้มกันทั้งสามตระกูลเริ่มสวมทั้งหมวกเหล็กเสื้อเกราะ แผ่นเกราะดำเมื่อมถูกขัดจนเงาวับ ม้าศึกก็ถูกแปรงขนจนขึ้นเงา ขนแผงคอถูกสาวใช้ถักเป็นเส้นเปียเล็กๆทั้งแถบ ติดเครื่องประดับที่มีทั้งหมดทำให้ดูโอ่อ่าสง่าผ่าเผย รูปร่างทหารที่ใหญ่โตปานขุนเขาขี่ม้าศึกที่แข็งแรงสูงใหญ่ดูเป็นหน่วยรบที่ทั้งหรูหราสุดขีดทั้งเก่งกาจสุดยอด ถนนแผ่นหินเขียวส่วนตรงกลางที่สึกกร่อนยังมีน้ำขังอยู่บ้าง ถูกเท้าม้าย่ำจนน้ำกระเซ็นไปทั่ว
ทางสามสิบลี้พริบตาเดียวก็ไปถึง ประตูเมืองลั่วหยางที่ใหญ่ทะมึนมหึมามองเห็นได้แต่ไกล ธงใหญ่ของตระกูลอวิ๋น,เฉิงและหนิวได้คลี่ออกมาแล้ว ขบวนสองร้อยกว่าคนค่อยๆเคลื่อนไปที่ประตูเมือง
ผู้ดูแลร้านทั้งสามตระกูลในลั่วหยางรออยู่ที่ประตูเมืองแต่เช้าพอเห็นขบวนรถปรากฏก็รีบเข้ามาต้อนรับ อวิ๋นเยี่ยทั้งสามคนนั่งอยู่บนม้ามองดูประตูเมืองที่ปิดมิดชิดทั้งเฝ้าระวังอย่างหนาแน่นแล้วชักไม่ชอบใจ บอกผู้ดูแลร้านว่า “หนังสือที่พวกเราจะไปนมัสการวัดเส้าหลินได้ส่งให้ผู้ว่าเมืองลั่วหยางแล้ว ทำไมประตูเมืองจึงยังเฝ้าระวังอย่างหนาแน่นเช่นนี้ เห็นพวกเราเป็นโจรเสี่ยงหม่าหรือ”
เห็นเจ้านายเกิดอารมณ์ผู้ดูแลร้านสามตระกูลรีบคุกเข่า ผู้ดูแลร้านตระกูลอวิ๋นอธิบายว่า “โหวเหยีย หนังสือได้ยื่นที่ประตูจวนผู้ว่าตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน ผู้ว่าหลิวก็ตอบตกลงที่จะมาต้อนรับวันนี้ ใครจะรู้ว่าพลบค่ำเมื่อวานมีคนร้ายบุกเข้ามาทางประตูตะวันตก มือถือทวนฟันคนที่หวนโซ่วฟางหกสิบสามคน สังหารแก๊งอันธพาลลั่วหยางแก๊งหนึ่งจนหมดสิ้นแล้วออกไปทางประตูตะวันออก ผู้ว่าหลิวได้รายงานเรื่องนี้ให้ขุนพลรักษาเมืองลั่วหยางแล้วเวลานี้ยังเฝ้าอยู่ที่จวนผู้ว่ารอคำตอบดังนั้นจึงไม่สามารถมาได้ ให้รองผู้ว่าลั่วหยางเว่ยโซ่วและผู้บัญชาการประจำกองตู้เอี๋ยนให้มารอรับโหวเหยีย,เสี่ยวกงเหยียกับเสี่ยวโหวเหยีย”
ในเมื่อมีขุนนางท้องถิ่นมาแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงลงม้าค่อยๆเดินขึ้นหน้าโดยมีเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ตามอยู่ข้างหลัง ที่ตามอยู่หลังผู้ดูแลร้านตระกูลอวิ๋นเป็นชายกลางคนสองคน ไม่ต้องรออวิ๋นเยี่ยถามก็กุมมือทำความเคารพ “ข้าน้อยเว่ยโซ่วเป็นรองผู้ว่าลั่วหยางคารวะอวิ๋นโหว,นายพันเฉิงและนายพันหนิว เมื่อวานลั่วหยางไม่สงบทำให้อับอายอวิ๋นโหวยิ่งนักโปรดให้อภัยที่ขาดตกบกพร่องด้วย”
“อวิ๋นโหวเป็นโหวฝ่ายบู๊ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องการปกครองท้องถิ่น ข้าเพียงแค่ไปนมัสการวัดเส้าหลินนอกนั้นล้วนไม่สนใจ” รู้แล้วว่าหมอนี่คิดอะไรอยู่ คือกังวลว่าอวิ๋นเยี่ยจะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้เรื่องที่น่าจะทำให้เงียบไปได้กลับมาวุ่นวายขึ้นอีก ความสัมพันธ์ของขุนนางบุ๋นบู๊ยุคต้าถังปกติก็ไม่ราบรื่นนักอยู่แล้ว เรื่องที่ถือโอกาสกวนน้ำให้ขุ่นนั้นต่างคนต่างทำกันถนัดนัก
อวิ๋นเยี่ยเองอยากให้เรื่องนี้ถูกฝังให้ลึกที่สุดอยู่แล้ว การกระทำของซ่านอิงเมื่อคืนนี้ทำให้เขาตกใจยิ่งนัก หกสิบสามคนถูกเขาสังหารหมดสิ้นในเวลาชั่วครู่เดียว หมอนี่แทบจะเป็นเทวดาได้แล้ว
เอี๋ยนโซ่วเห็นอวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ทำให้ดีใจจนออกนอกหน้า ส่งสายตาให้ผู้บัญชาการประจำกองตู้เอี๋ยน ตู้เอี๋ยนรีบขึ้นหน้ายิ้มทำความเคารพ “มักได้ยินชื่ออวิ๋นโหวในหนังสือครอบครัว ไม่นึกว่าจะได้พบตัวจริงในวันนี้ช่างเป็นบุญวาสนาจริงๆเลย”
หมอนี่ไม่ได้ใช้พิธีการขุนนางแต่ใช้แบบเสมอชั้นเดียวกัน ไม่รู้ว่าเขาเป็นรุ่นหลังของใคร ผู้ดูแลบ้านตระกูลอวิ๋นรีบเตือนว่า “โหวเหยีย ผู้บัญชาการประจำกองตู้เป็นหลานอาแท้ๆของตู้เซี่ยง กิจการตระกูลเราที่ลั่วหยางได้รับการดูแลจากผู้บัญชาการมากมาย”
อวิ๋นเยี่ยหัวเราะฮ่าๆคว้ามือตู้เอี๋ยนพูดว่า “ที่แท้เป็นพี่ตู้ ข้าก็เคยได้ยินชื่อแต่ไม่เคยเห็นตัวเหมือนกัน ตู้เซี่ยงเวลานี้อยู่ที่อวี้ซันพักฟื้นโรคปอด ก่อนมายังกำชับข้าว่าหากมีปัญหายุ่งยากให้ขอความช่วยเหลือจากพี่ตู้ได้ ตอนนี้ข้าเป็นแขกมาร้ายหวังว่าพี่ตู้คงไม่ขับไล่ข้าออกไป”
ตู้เอี๋ยนได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดถึงผู้อาวุโส รีบถอยหลังค้อมตัวเคารพพูดว่า “ไม่รู้ว่าอาการป่วยของท่านอาข้าฟื้นคืนปกติแล้วยัง”
อวิ๋นเยี่ยยืดตัวตรงพูดอย่างเป็นงานเป็นการว่า “ตู้เซี่ยงเพียงแค่ไม่สบายเล็กน้อย เวลานี้มีหมอเทวดาซุนดูแลคงไม่มีปัญหา ก่อนออกเดินทางยังเห็นตู้เซี่ยงกับอาจารย์จ้าวเอี๋ยนหลิงนั่งแพไม้ไผ่ดื่มน้ำชาสนทนากันอยู่ มีสุขภาพดีมาก”
ตู้เอี๋ยนได้ยินอวิ๋นเยี่ยพูดดังนั้นจึงวางใจลง ตระกูลตู้เวลานี้ต้องอาศัยตู้หรูฮุ่ยคอยอุปถัมภ์ค้ำจุน จะเกิดโรคภัยไม่ได้เด็ดขาด กำลังจะขอบคุณอวิ๋นเยี่ยกลับได้ยินเฉิงฉู่มั่วพูดว่า “เมื่อยมานานแล้วยังไม่จบกัน ทั้งสามครอบครัวยังรอเข้าเมืองกันอยู่”
อวิ๋นเยี่ยกับตู้เอี๋ยนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ตู้เอี๋ยนผายมือเชิญ มือไม่ทันลงเฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ก็ขึ้นม้าไปแล้ว กำลังจะเข้าเมือง มองรองผู้ว่ากับผู้บัญชาการราวกับไม่มีตัวตน
อวิ๋นเยี่ยฝืนยิ้มให้เว่ยโซ่วกับตู้เอี๋ยนแล้วพูดว่า “ทั้งสองท่านโปรดอย่าถือสา ทั้งคู่อยู่ที่ฉางอันก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่สามารถควบคุมได้เลย”
เว่ยโซ่วเป็นสุนัขจิ้งจอกที่อยู่วงการขุนนางมานานปีจึงไม่แสดงสีหน้าอะไรให้เห็นอยู่แล้ว เรื่องที่ทั้งคู่ทำเสียมารยาทก็ไม่ได้ถือสา ยิ้มพูดว่า “ข้าเตรียมสุราเล็กน้อยที่ภัตตาคารชุนเฟิงอีผิ่นโหลวต้อนรับโหวเหยีย ไม่ทราบจะได้ไหม”
“อวิ๋นเยี่ยครั้งนี้รับคำสั่งท่านย่าไปนมัสการวัดเส้าหลิน มิกล้าดื่มกินให้เสียพิธีการ ขอท่านรองผู้ว่าโปรดให้อภัยด้วย”
เว่ยโซ่วรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้จึงไม่ได้ฝืนอีก เดินพร้อมอวิ๋นเยี่ยเข้าเมืองลั่วหยาง
ลั่วหยางสมกับเป็นเมืองที่มีสมญาว่าเมืองยิ่งยงสุดหล้า กำแพงเมืองสูงแปดจั้งเป็นรองพียงฉางอัน ลำน้ำป้องกันเมืองไหลเชี่ยวกรากกว้างสามจั้งเต็ม กำแพงเมืองเต็มไปด้วยรอยบิ่นกร่อนทั้งรอยดาบขวานฟันไฟเผายังเหลืออยู่ให้เห็น บันทึกความโหดร้ายทารุณของสงครามแต่ละครั้ง
อวิ๋นเยี่ยลูบคลำโบราณสถานเหล่านั้นแล้วนึกภาพขณะที่สิบแปดทัพกบฏรุมโจมตีลั่วหยาง ลูกธนูปานฝูงตั๊กแตน ชีวิตดังเส้นฟาง ศพแล้วศพเล่าร่วงหล่นลงมาจากกำแพงเมือง เกิดระลอกคลื่นในลำน้ำป้องกันเมืองทีเดียวแล้วก็สาบสูญไป
ชัยชนะที่ได้จากกองซากศพ หลี่ซื่อหมินชนะชนิดหมิ่นเหม่สุดๆ ซากศพของเหล่ากบฏกลายเป็นอาหารสุนัขป่าไปหมดนานแล้ว
“กำแพงเมืองมิใช่ไม่สูงพอ ลำน้ำป้องกันเมืองมิใช่ไม่ลึกพอ อาวุธมิใช่ไม่แกร่งคมพอ เสบียงกรังมิใช่ไม่เพียงพอ ผู้รักษาเมืองยังต้องทิ้งเมืองไป เพราะชัยภูมิมิสำคัญเท่าจิตใจผู้รักษาเมือง จึงพูดได้ว่า ราษฎรมิใช่ว่าเพียงอาศัยการปิดชายแดนก็จะห้ามอยู่ ชาติมิใช่เพียงอาศัยสิ่งขีดขวางทางธรรมชาติก็จะป้องกันอยู่ การระบือเกียรติทั่วแผ่นดินมิใช่เพียงอาศัยความคมกริบของอาวุธเท่านั้น”
อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆก็นึกถึงคำพูดของปราชญ์เมิ่งจื่อ จึงท่องออกมาโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงปรบมือพบว่าเป็นเว่ยโซ่ว ตู้เอี๋ยนก็ถูมือตามด้วย จึงยิ้มพูดว่า “พอเห็นเมืองลั่วหยางก็นึกถึงเรื่องเก่าที่ฝ่าบาทใช้ร้อยทหารม้าสู้ศึกโต้วเจี้ยนเต๋อ นึกภาพฝ่าบาทสง่างาม ผาดโผนในหมู่ทหารหาญ หาใครเทียบเทียม แม้กระทั่งป้อมปราการที่แข็งแกร่งเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งฝีเท้าของฝ่าบาทได้เลย ทำให้เกิดความเลื่อมใสยิ่งนัก”
“อวิ๋นโหวเรียนมากรู้กว้าง เข้าถึงสารพัดความรู้ ไม่นึกว่าแม้แต่เมิ่งจื่อก็ยังสุดแสนแม่นยำ เมื่อครู่ที่เข้าถึงคงได้รับประโยชน์ยิ่งนัก ข้านั้นชราภาพไร้คุณค่าแล้วอยู่คู่ลั่วหยางทุกวันกลับไม่ได้รับผลอะไรเลย คิดแล้วช่างน่าเสียดายสุดแสน”
คารมเว่ยโซ่วแฝงอารมณ์ผ่อนคลาย การคุยกับคนเช่นนี้จึงไม่น่าเบื่อ หลังจากที่ต่างยกย่องความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินให้มีอายุหมื่นปีแล้วทั้งสามคนก็ขี่ม้าเข้าเมืองด้วยกัน
ต่อให้มีผู้เก่งกล้าเข้าเมืองสังหารผู้คน ความพลุกพล่านของลั่วหยางก็ไม่ลดลงแม้แต่น้อย คนเดินถนนทั้งไปทั้งมาไม่มีหยุด ต่างไม่ได้ระมัดระวังมากเท่าฉางอันแต่เพิ่มการปล่อยอารมณ์มากขึ้น ความหนักแน่นลดลงแต่ความเฉิดฉายมากขึ้น ตลาดทั้งตะวันออกตะวันตกไม่สามารถปิดกั้นความอยากได้ทรัพย์ของเหล่าพ่อค้า วางแผงขายไม่ได้แต่ไม่ห้ามการทูนของใส่ตะกร้าบนศีรษะเร่ขายผู้คน หนุ่มหาบของมือถือป๋องแป๋งใช้เสียงกู่เรียกขายประสานกันได้อย่างกลมกลืนน่าดูทีเดียว ทั้งยังมีสาวหูจีสวยงามหยาดเยิ้มอุ้มไหสุราส่งสายตาหวานฉ่ำให้ผู้คน อยากให้ผู้คนได้ลิ้มรสสุราที่เพิ่งมาถึงของตัวเอง
“ทุกท่านต่างเป็นขุนนางชั้นยอด ดูแค่ความเจริญฟูเฟื่องทั้งเมืองก็รู้ได้ว่าทุกท่านต้องลงแรงมหาศาลเพียงไหน อวิ๋นเยี่ยนับถือจริงๆ” จะต้องขจัดสิ่งที่ซ่านอิงก่อกรรมไว้ให้หมดเกลี้ยงไม่เช่นนั้นจะมีภัยแฝงอีก เจ้านี่สังหารหลงซันคนเดียวก็พอแล้วทำไมต้องไปล้างหมดทั้งแก๊ง เจ้าจะให้ผู้ว่าหลิว,รองผู้ว่าเว่ยกับผู้บัญชาการตู้กลบเกลื่อนให้เจ้าอย่างไรกัน
“น่าแค้นใจโจรร้ายนั้นเหิมเกริมสุดกำลัง กลางวันแสกๆละเลงเลือดเมืองลั่วหยาง พวกข้าเตรียมหนังสือฎีกาขอรับโทษรอให้ราชสำนักกำหนดโทษลงมา” พูดถึงนี่แล้วใบหน้าที่หมดอารมณ์ของเว่ยโซ่วปรากฏออกมาชัดเจน ตู้เอี๋ยนก็มีแต่ความสิ้นหวังเต็มหน้า
“ราษฎรเจ็บตายมากมายนักหรือ” อวิ๋นเยี่ยโกรธจัด
“ก็ไม่เชิง ที่ตายล้วนเป็นพวกอันธพาลชั่วช้า เพียงแต่ทางการไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนจึงไม่สามารถจับตัวคนเหล่านี้มาลงโทษได้ ใครจะนึกได้ว่าพวกเขาไปหาเรื่องคนที่ไม่สมควรมีเรื่อง นับว่าผลกรรมตามสนองจึงโดนล้างจนเกลี้ยงแล้วหนีไกลพันลี้ ฟ้าดินกว้างใหญ่พวกเราจะไปตามจับได้อย่างไร”
ตู้เอี๋ยนนับว่ามาจากตระกูลขุนนางผู้ใหญ่จึงไม่ได้ปิดบังอวิ๋นเยี่ย พูดความในใจออกมา
“ข้าเข้าใจว่าราษฎรซื่อตรงถูกสังหารโดยไม่มีความผิดเสียอีก เตรียมให้ทหารครอบครัวติดตามจับกุม ที่แท้เป็นพวกอันธพาล ตายไปก็ตายไปจะมีอะไรนักหนา เรื่องต่อสู้ตามฆ่ากันระหว่างแก๊งต่างๆไม่ใช่เรื่องที่ทางการจะควบคุมได้ ก่อนหน้านี้เกิดเพลิงไหม้ใหญ่ในฉางอันก็เพราะอันธพาลพวกนี้ ฝ่าบาทกริ้วจัดให้ถอนรากถอนโคนพวกกลุ่มพันธมิตรเสือขาว ถึงขนาดพบธนูตีเมืองในรังโจรของพวกเขา ดังนั้นเรื่องแค่นี้ของพวกท่านจึงไม่นับว่าเป็นเรื่อง”
หาเหตุผลให้พวกเขาพ้นความรับผิดชอบ ขุนนางยุคต้นถังยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องการบังบนหลอกล่าง ไม่รู้ว่าไม่รู้จักธรรมเนียมวงการขุนนางได้อย่างไรกัน หากทุกคนล้วนโปร่งแสงราวน้ำใสทั้งสว่างราวกระจกเงา แล้วตระกูลอวิ๋นจะหาประโยชน์จากที่ไหนได้เล่า
จริงดังนั้น ทั้งคู่ตาสว่างขึ้นมาทันทีถามพร้อมกันว่า “ที่อวิ๋นโหวเล่าเป็นเรื่องจริงแน่หรือ” เรื่องนี้หลี่ซื่อหมินถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าจึงไม่ได้แจ้งให้รู้กันทั่วหล้า คนที่รู้มีไม่มาก กระทั่งขุนนางลั่วหยางที่อยู่ข้างนอกก็ยังไม่อยู่ในฐานะที่จะรู้ได้
“พี่ตู้ เรื่องนี้ตู้เซี่ยงรู้ละเอียดยิบให้ม้าเร็วถามตู้เซี่ยงเป็นพยานก็ได้แล้ว ไม่มีอะไรยากหรอกอันธพาลตายไม่กี่คน ลั่วหยางมีแต่จะเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น” อวิ๋นเยี่ยยังคงพยายามเปิดสมองให้ขุนนางคู่นี้ต่อ ไม่รู้ว่าพวกเขาทำไมจึงเลื่อนขึ้นมาได้ถึงขุนนางระดับหัวหน้าท้องถิ่นได้
ทั้งคู่ต่างทำความเคารพอวิ๋นเยี่ยอย่างสูง เมื่อเสร็จเรื่องรับรองอวิ๋นเยี่ยแล้วก็รีบขอโทษอำลาจากไป คงไปปรึกษาหารือผู้ว่าหลิวเรื่องความเป็นไปได้ในการจัดการเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กมลายหายไป
อวิ๋นเยี่ยมีความมั่นใจในตัวพวกเขาอย่างมาก นี่เป็นสัญชาตญาณของขุนนางท้องถิ่น ตัวเองเพียงแค่ปลุกสัญชาตญาณแต่กำเนิดของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาจะต้องจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อยด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องให้อวิ๋นเยี่ยต้องเปลืองสมองคิดอีก
เฉิงฉู่มั่ว,หนิวเจี้ยนหู่และซ่านอิงนั่งอยู่ที่โถงใหญ่รออวิ๋นเยี่ย ทุกคนต่างหน้าตาเคร่งเครียด แม้แต่ซ่านอิงก็ยังสำนึกผิดเต็มหน้า เดิมทีตัวเองนึกเพียงแค่สังหารหลงซันคนเดียว ใครจะรู้ว่าไปเจอพวกนี้กำลังจับเด็กหลายคนใส่ไห ซ่านอิงที่คลุกคลีอยู่ในวงการผิดกฏหมายมีหรือจะไม่รู้ว่าพวกนี้กำลังสร้างคนแคระ รออีกหลายปีค่อยขายให้พวกละครเร่ ให้ผู้คนดูเล่นหาความสนุกกัน
ความทุกข์ยากของเด็กเหล่านั้นไม่มีใครสนใจอีกต่อไป ด้วยบันดาลโทสะอย่างมากจึงได้เปิดการสังหารหมู่ กำจัดพวกนี้จนหมดเกลี้ยงทุบไหแตกหมดแล้วปล่อยเด็กออกมาทั้งหมด ทั้งแบ่งทรัพย์สินให้พวกเขาไปแล้วให้กลับบ้านกันเอง
ด้วยเหตุผลนี้เอง อวิ๋นเยี่ย,เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่จึงไม่ได้ตำหนิซ่านอิง พวกเขารู้ว่าหากตัวเองพบเรื่องทารุณกรรมเช่นนี้คงลงมือหนักยิ่งกว่านี้อีก ที่กังวลเรื่องเดียวในเวลานี้ก็คือการตามสืบของทางการ หากตั้งใจสืบหาจริงๆ ย่อมไม่มีความลับที่ปิดได้ตลอดกาลในโลกนี้